(ความเดิมจากเอนทรี่เก่า)
ฉันคิดว่าการที่เซวังยอมคืนเงินให้แต่โดยดีคงเป็นเพราะไม่อยากทำเรื่องยื่นใหม่
อีกรอบ แล้วยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเองซ้ำสอง รวมไปถึงคำโกหกใหญ่โตของ
เพื่อนร่วมงาน ที่พยายามเข้ามาเปลี่ยนรูปคดีแต่ดันกลับกลายเป็นที่เรื่องวายป่วงแทน
Dha-Hanu ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเขตพื้นที่ควบคุมพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นวาระใดก็ตาม
การทะเล่อทะล่าถือวิสาสะเข้าไปแบบตัวไม่มีใบอนุญาตฯ ในมือคงเป็นเรื่องที่
เราจะอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็คงเป็นไปไม่ได้ จากคำบอกเล่าที่กุขึ้นมาอย่าง
เลื่อนลอยของใครบางคนจากเรื่องที่เกิดในเอนทรี่ก่อน มันดูไม่น่าเชื่อถือเสีย
เท่าไหร่ อีกอย่างคนในแวดวงนี้มักขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า บอกความจริงได้...แต่ไม่
จำเป็นต้องพูดหมด
เพราะตามเนื้อความแล้ว หากไม่ทำใบ PAP ตามปกติ
เราจำเป็นจะต้องมีใบอนุญาตอีกตัวที่ต้องขอเป็นกรณีพิเศษสำหรับวาระนี้ค่ะ
โดยต้องมีใบคำร้องที่ต้องไปรับมาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของรัฐ ซึ่งที่ตั้ง
อยู่ตรงข้ามกับ J&K Bank และลานจอดรถรับจ้าง แล้วจากนั้นก็นำไปยื่นต่อ
D.C. Office โดยที่ทำการนั้นอยู่แถวสนามโปโลอีกที ติดต่อเฉพาะในเวลา
ราชการและปิดวันอาทิตย์
ถึงจะดูมีข้อจำกัด เฉพาะสองวันที่มีงานและต้องออกจากพื้นที่ตามเวลาที่ระบุไว้
ก็ตาม อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมหรือผ่านนายหน้าแถมยังไม่ต้อง
ลงชื่อผู้ร่วมเดินทางร่วมกับคนอื่นด้วย เว้นแต่ต้องทำให้ทันและไปให้ทันเท่านั้น

หน้าตาของใบอนุญาตฯ ที่ทำขึ้นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ส่วนแบบฟอร์มสำหรับยื่นคำร้องเราไม่ได้ถ่ายเก็บไว้
เรื่องวุ่น ๆ ของตอนถัดมาก็มีอยู่ว่าฉันได้รับ Special Permit ที่ว่าอยู่ในมือแล้ว
ก็จริงแต่ก็ไปไม่ทันเที่ยวรถโดยสารรอบเช้าในวันนั้น เหตุเพราะเมื่อวานนี้กว่า
ศูนย์บริการท่องเที่ยวฯ เปิดทำการก็โน่นแน่ะ 10 โมงเช้าคงเสียเวลาไปอีกครึ่งวัน
เลยหาเรื่องไปเที่ยวนอกเลห์ซะก่อน ทีนี้รอบขากลับรถโดยสารจากหมู่บ้าน
Sakti ก็ดันมีแค่เที่ยวเดียวในตอน 4 โมงเย็น แถมยังวิ่งได้หวานเย็นอีกตะหาก
ฉันเลยกลับมาถึงเลห์ ตอนเย็นราว ๆ ห้าโมงและบึ่งไปติดต่อที่ศูนย์บริการนัก
ท่องเที่ยวทันที...โชคดีที่ยังไม่ปิดคนที่ประจำอยู่ในนั้น เขาส่งใบคำร้องมาให้
ฉบับหนึ่ง ตอนแรกโล่งใจมากที่ยังทันการทำเรื่องดันไม่ได้จบลงที่นี่ค่ะ
เจ้าหน้าที่บอกให้ไปยื่นที่ D.C. Office ในวันถัดไปแทน เพราะในตอนนี้ปิด
ทำการไปเรียบร้อยแล้ว
วันถัดมาก็คือวันเดียวกับที่ต้องเดินทาง เลยต้องเสี่ยงเอาว่าจะทันมั้ย มีบางคน
บอกว่า สำนักงานเปิด 9 โมง (ประตูอ่ะเปิด) แต่ที่จริงแล้วคือ 10 โมง ตามเวลา
งานปกติแหละ ...ฉันน่าจะเป็นบุคคลแรกที่เข้าไปติดต่อ และได้ยื่นใบคำร้องฯ
ก่อน 10 โมง หลังมีเจ้าหน้าที่มานั่งประจำการกันแล้ว
มีผู้ชายต่างชาติสองคน เดินเข้ามาสอบถามเรื่องงานเทศกาลที่หมู่บ้านอารยัน
เหมือนกันแต่พวกเขาไม่มีเอกสารเตรียมมาเหมือนกับฉัน อาจดีกว่าแค่ตรงที่ขับ
รถมอเตอร์ไซด์กันมาเอง เจ้าหน้าที่แจ้งให้ไปรับใบคำร้องที่ว่าจากศูนย์บริการ
นักท่องเที่ยวฯ เสียก่อน พวกเขาจึงต้องแว้นออกไปยังที่ดังกล่าว เพื่อไปรับ
เอกสารไปตามลำดับขั้นตอน...
แล้วเวลาก็เดินไปอย่างรวดเร็วมาก เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเตรียมยื่นเรื่องให้ฉัน
เป็นที่เรียบร้อย จะมาช้าก็ตอนรอลายเซ็นจากผู้มีอำนาจฯ กว่าเรื่องจะเสร็จก็ราว
สิบเอ็ดโมง หลังจากได้รับใบอนุญาตพิเศษมาก็รีบเดินจ้ำต่อไปยังท่ารถทันที
หากใครทราบระยะทางของความห่างไกลนี้ คงนึกภาพออก 55 อยากให้เลห์
มีวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างจริง ๆ เลย
วันนี้เป็นวันอังคาร จะมีรถโดยสารท้องถิ่นที่วิ่งถึงเขตที่ตั้งของหมู่บ้านอารยัน
แค่รอบเดียว นั่นคือเที่ยวรถไป Dha – Beema รถออกไปจากเลห์ตั้งแต่เวลา
9 โมงเช้าแล้ว เหลือเพียงแค่รถโดยสารที่จะวิ่งไป Tia – Temisgam รอบบ่าย
ผู้โดยสารบนรถคันนั้นเต็มไปด้วยบรรดา เมเมเล อาบีเล ที่แต่งชุดแบบท้องถิ่น
พากันนั่งหมุนกงล้ออธิษฐานในมือคั่นเวลากันอย่างใจเย็น…
ช่างเป็นอากัปกิริยาตรงข้ามกับความใจร้อนของฉันในตอนนั้น ที่แทบอยากออก
ไปยืนแหกปากตะโกนโวยวายกลางลานทรายตรงท่ารถให้มันรู้แล้วรู้รอด!
ไปไม่ได้ ก็คือไม่ได้ไป
ฉันเดินออกมาจากท่ารถ พร้อมใบอนุญาตฯ ที่ได้มาอยู่ในมือแล้วแท้ ๆ
แต่ไม่ได้ใช้ คิดซะว่าเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกัน ในปีถัดไปจากนี้หัวกระดาษ
ของเอกสารที่ออกโดยราชการ คงเปลี่ยนจาก Government of Jammu
and Kashmir ไปใช้เป็นชื่ออื่นแทนแล้ว
ก่อนที่จะข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม ก็ดันมีการปิดกั้นทางรถวิ่งเป็นการชั่วคราว
เพราะมีเหล่าเด็กนักเรียนและคนบางส่วนกำลังเดินขบวนถือป้ายผ่านมา และมี
วงดุริยางค์ร่วมด้วยอีกต่อ
เมื่อเดินเรื่อย ๆ มาถึงจน Main Bazaar บรรดาร้านค้า ร้านอาหาร ตลอดจน
กิจการต่าง ๆ แถบนั้นพากันปิดเกลี้ยง พื้นที่แถบนั้นจึงมีแต่ผู้คนที่เป็นนักท่อง-
เที่ยวที่หลงมาเดินผิดเวลา ต่างพยายามเมียงมองหาร้านอาหารสักแห่ง ที่น่าจะ
เปิดให้บริการในตอนนั้นบ้าง
ส่วนที่หัวมุมตลาดมีทหารยืนประจำการอยู่หนึ่งรายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอเดิน
ไปถามเขาก็บอกว่า ไม่ได้เกิดเหตุเคอร์ฟิวหรือมีการนัดปิดร้านเพื่อประท้วงอะไร
เดี๋ยวช่วงบ่าย ๆ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ ...มารู้ภายหลังว่า วันนี้มีการรำลึก
ถึงบุคคลสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น
จุดวางม้านั่งกลาง Main Bazaar ในเวลาใกล้เที่ยง แทบไม่มีคนไปนั่งเพราะ
แดดจ้ามาก หลายคนที่มาปักหลักรอให้ร้านอาหารเปิดหรือมีธุระปะปังให้ต้องมา
วนเวียนอยู่ในบริเวณนี้ จึงต้องหาที่นั่งหลบแดดกันตามริมขอบทางเท้าบ้าง
ไม่ก็ตามมุมต่าง ๆ ที่สะดวก

ฉันหาที่นั่งพักชั่วคราวตรงหน้าร้านขายผลไม้อบแห้ง ด้วยเพราะมีคนมานั่งอยู่
ก่อนแล้วเป็นนักท่องเที่ยวเอเชียรายหนึ่งที่ระบุสัญญาติไม่ค่อยออก เธอมีอายุ
มากกว่าฉันและมาคนเดียวเหมือนกัน
เราแทบไม่คุยอะไรกันครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายหยิบขนมมาให้สองซอง
"กินสิ...ได้ยินว่ายังไม่มีร้านข้าวเปิดจนกว่าจะถึงบ่ายโมงนะ"
ฉันรับขนมที่ทำด้วยแผ่นข้าวอบกรอบที่ห่อพลาสติกใส บนฉลากที่เขียนเป็น
ภาษาอะไรก็ไม่รู้ "มาจากญี่ปุ่นเหรอ" นี่ถ้าหากเป็นคนไทยก็คงโคตรฟลุ๊ค
"ฉันเป็นชาวไต้หวัน"
ฉันพบ หยาง นักท่องเที่ยวหญิงชาวไต้หวันครั้งแรกที่นี่
จำได้ว่าเรานั่งกินขนมที่ทำมาจากข้าวอบกรอบกันบนริมขอบทางเท้า
ท่ามกลางสายตาของนักท่องเที่ยวรายอื่นที่เผลอมองมายังเราแบบชวนให้คิด
สงสัยว่าไปได้ขนมมากินจากร้านไหนกัน … ความหิวของใครหลายคน ที่กำลัง
เดินหาของกินเพื่อรองท้อง พวกเขาคงรู้สึกทรมานใจกันน่าดู
ข้าวของที่หอบออกมาจากที่พักแต่รุ่งเช้าเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกลในวันนี้
ดูเหมือนจะจบเห่ไปตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่า D.C. Office จะเปิดทำการตอน 10 โมง
และรถประจำทางก็ออกวิ่งตรงเวลา
ฉันไม่อยากอยู่ที่เลห์อย่างไร้จุดหมาย ว่าจะหาทางไปนอกเมืองไกล ๆ
สักที่แทนก่อน หยางจะเดินทางไป Lamayuru ที่มีรถวิ่งตอนรอบบ่ายสาม
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันจึงเปลี่ยนแผนสำหรับวันนี้ทันที
หากยังไม่ถอดใจเรื่องหมู่บ้านอารยัน
แม้ว่าหลังจากนี้จะไม่มีอีเวนต์งานเต้นรำหรือปาร์ตี้เหล้าองุ่น
แบบในเทศกาล ก็ค่อยทำเรื่องขอ PAP ใหม่ภายหลังก็ยังได้