Ladakh 2019 - แวะ Hemis Shukpachan เมื่อฉันยังไม่อยากกลับเลห์ (2) ![]() พื้นที่เพาะปลูก ต้นไม้ หุบเขาและที่ตั้งของชุมชน หลุดจากทุ่งนา เราลงจากรถกันที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูใหญ่โต อาซังเลเดินออกไปเปิดรั้วและขับรถจอดข้างบ้าน คงถึงที่หมายแล้วสินะ ฉันลงจากรถและช่วยหยิบข้าวของที่ซื้อมาจากในเมืองลงมาวางกองกับพื้น พอเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว อาซังเลก็ชี้ให้ดูบ้านอีกหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันดูเก่าแก่แต่ก็ถือว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีส่วนต่อเติมเพิ่มขยาย บริเวณด้านหน้าทางเข้า ฝั่งหนึ่งปลูกข้าวและมีแปลงผักสวนครัว ส่วนอีกด้านมี โครงสร้างของโรงเรือนหลังเล็ก ๆ "ฉันเกิดที่บ้านหลังนั้น อยู่มาตั้งแต่เด็ก" แล้วลุงก็เดินนำลิ่วไปที่บ้านฝั่งตรงข้ามเพื่อพาฉันไปทำความรู้จักกับน้องสะใภ้ ที่ชื่ออังโม่ ผู้ทำหน้าที่ดูแลบ้าน ก่อนที่เขาจะขอแยกตัวกลับบ้าน "เธอพักที่นี่ ละกัน อยากจะอยู่กี่วันก็ได้ตามใจเลย" ![]() หน้าบ้านที่อาซังเล พามาส่งและฝากฉันอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่ง ถึงในเวลานี้จะมีเพียงแค่พี่อังโม่ที่กำลังวุ่นอยู่กับงานครัว แต่ในความจริงบ้านนี้ ประกอบไปด้วยสมาชิกอื่นนอกเหนือจากนี้สามคน นั่นคือสามีและแม่ อีกทั้งยังมี แม่ชีที่เป็นพี่สาวอีกหนึ่งที่กลับมาเยี่ยมบ้านบางครั้งบางครา แต่พูดไม่ทันขาดคำ ฉันก็ได้ยินเสียงโต้ตอบคุยกันดังมาจากลานด้านล่างเป็นผุ้หญิงมีอายุและแม่ชีที่ ดูมีอายุราวสามสิบกว่า ๆ กำลังหอบหิ้วลังแอพริคอตมาส่งให้แม่เฒ่าที่ยุ่งอยู่กับ การตากผลไม้ ![]() พื้นที่ทำครัว ห้องอาหาร ห้องรับแขก และอื่น ๆ ที่ทุกคนต่างต้องมารวมตัวกัน บ้านนี้ยังคงมีเตาแบบโบราณตั้งโชว์ให้เห็น (สำหรับอุ่นอาหารและทำหน้าที่ให้ความ อบอุ่นภายในห้อง) ถึงปัจจุบันนี้พวกเขาจะใช้เตาแก็สสำหรับหุงต้มร่วมด้วยก็ตาม ![]() แม่ชี ผู้เป็นญาติของคนในบ้านกำลังเดินขึ้นมา หลังจากที่ยกลังใส่แอพริคอตมาวางให้ อาบีเล ที่กำลังสาละวนอยู่กับการตากผลไม้และที่ลานกลางบ้าน เมื่อแม่ชีก็เดินขึ้นมาถึงบนบ้าน เธอยิ้มทักและหันกลับไปคุยกับพี่อังโม่ พลาง หยิบเอาแป้งมานวด ๆๆๆ เพื่อเตรียมทำจาปาตีสำหรับมื้อกลางวัน พี่อังโม่เรียก แม่ชีสาวคนนี้ว่า อาเช่ (พี่สาว) ฉันก็เลยต้องเนียนเรียกตามไปด้วยเพราะจำชื่อ ไม่ได้น่ะ ...ถึงชื่อของคนแถวนี้มักตั้งกันแบบซ้ำไปมาแต่ในสารบบความจำของ ตัวเอง ยังไง ๆ มันก็ไม่ค่อยคุ้นกับอิทธิพลทางภาษาที่ได้รับมาจากทิเบตดีนัก ก็เลยต้องอาศัยใช้ศัพท์เครือญาติเรียกแทนไปตามระเบียบ...ขออภัยในความขี้ลืม ![]() คอกเลี้ยงวัวข้างบ้าน โดยมากก็เลี้ยงไว้รีดนม ไถนา แล้วก็เป็นตัวผลิตเชื้อเพลิงจากอึ ตากแห้งของมัน ส่วนอีกหน้าที่พิเศษของพวกมันก็คือช่วยกิน (กำจัด) เศษอาหารเหลือ ของคนอีกทาง ![]() พื้นที่ซักตาก วางผ้าผึ่งกันบนพุ่ม sea buckthorn กันง่าย ๆ แบบนี้ไปเลย นี่เป็นชุดของผู้หญิงลาดักที่สวมทับเอาไว้ด้านนอกค่ะ (มีรูปในเอนทรี่ก่อนหน้า) บริเวณที่ตั้งของบ้าน...ขอเรียกว่าอยู่ท้ายทุ่งละกัน มันอยู่ในตำแหน่งท้ายสุด คือถ้าหลุดไปจากนี้ก็คือทางที่รถวิ่งผ่านมาแล้วนั่นเอง ส่วนใจกลางชุมชนและ จุดขึ้นรถโดยสาร ตั้งอยู่ห่างไกลไปจากบ้านหลังนี้เป็นกิโล หลังกินข้าวมื้อกลางวันร่วมกับพี่อังโม่และแม่ชี พวกเขาก็จะแยกย้ายไปทำงาน ฉันเลยถือโอกาสใช้เวลาครึ่งวันที่เหลือออกเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้าน กลางหุบเขา ทะเลทรายที่แวดล้อมไปด้วยฉากของความแห้งแล้งรายรอบ... ![]() ออกจากบ้านก็เดินไปเรื่อย ๆ ตามเส้นถนนหลัก ![]() แถวนี้ก็มี แอปเปิ้ล แอพริคอต ปลูกกันประปรายตามบ้าน ได้ยินมาว่าถ้าอยากไปแหล่ง ปลูกผลไม้เมืองหนาวที่ขึ้นชื่อก็ต้องไปที่หมู่บ้าน Saspol ![]() ต้นจูนิเปอร์ (Shukpa) เป็นต้นที่ใหญ่มาก ๆ น่าจะอายุเยอะแล้วด้วย ใบของจูนิเปอร์ จะถูก นำมาตากแห้งเพื่อใช้เผาเป็นเครื่องกำยานสำหรับบูชา หากไปตามวัดจะได้กลิ่นคลุ้งมาก ๆ ![]() มีโรงเรียนเล็ก ๆ หนึ่งแห่ง แต่วันนี้ไม่เห็นมีนักเรียนนะ ![]() แอบมองวัวที่ลานบ้านคนอื่น ![]() ตอนเดินมาถึงหน้าบ้านหลังนี้ ก็แอบสะดุดโครงสร้างระเบียงไม้ตรงหน้าต่างโดยบังเอิญ ไม่เคยเห็นบ้านไหนทำยื่นออกมาอยู่ด้านนอก เลยต้องเก็บภาพเอาไว้ซักหน่อย ถ่ายมา 2 มุมเลยค่ะ ![]() ภาพอีกด้านหนึ่ง คงเก่าแก่มาก ๆ เคยมีคนอธิบายเรื่องโครงสร้างของบ้านเรือนแบบดั้งเดิม ให้ฟังว่าโครงสร้างบริเวณฐานด้านล่างจะทำหนาและมีการลาดเอนของผนังด้านนอกเป็นรูป แบบนี้ /| แต่สำหรับบ้านเรือนแบบใหม่ที่แม้จะสร้างให้ดูคล้ายกับของเก่า ก็มักจะก่อ ผนังเรียบเสมอกันแบบนี้ || (ใช้คำถูกมั้ยเนี่ย 555) มันก็เลยดูเปราะบางกว่าและไม่ทน ทรหดเท่าของเดิม ![]() ไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านหลังเดียวกับในหนังสือเล่มนี้มั้ยนะ (Ancient Futures) เราไม่ได้พกไป ตอนเดินทางเลยถ่ายมาแบบไม่ทันมองหามุมที่น่าจะนำมาเทียบกันได้ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ภาพจากหนังสือเล่มนี้มันก็หลายสิบปีแล้วด้วย หากใช่มันก็คงผ่านการบูรณะไปเรียบร้อย ![]() สถูปเก่าที่ริมนา ... ข้าวที่ปลูกอยู่น่าจะเป็นข้าวบาร์เลย์ ![]() มี Dzo (โซ) เดินอยู่กลางทุ่งตัวนึง ![]() มุมจากบนวัด (จุดชมวิวที่สร้างขึ้นใหม่ สามารถมองเห็นมุมสูงได้รอบทิศ) ภาพนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ค่ะ ส่วนบ้านที่มาพักวันนี้ก็สุดปลายนาตรงโน้นนนน หากมองลงมาจากมุมสูง พื้นที่ราบด้านล่างกลับมีสภาพแวดล้อมของต้นไม้ ผืนนาและไร่สวน หลายคนก็คงสงสัยแหละว่าเห็นดูแล้งขนาดนี้แล้วพวกเขาอยู่ กันยังไง คงเป็นเรื่องดีที่ได้มาเที่ยวตอนฤดูร้อน...ก็เลยหาคำตอบได้ไม่ยาก จากบ้านที่ไปพัก บริเวณข้างบ้านมีท่อส่งน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะออก มาโต๋เต๋ ยังทันได้เห็นพี่อังโม่เดินหอบถังใส่น้ำมารองเอาไว้เพื่อใช้ซึ่งน่าจะเป็น น้ำที่ไหลงมาจากหิมะและธารน้ำแข็งบนเขา (Khang-Ri) ที่ละลายในฤดูร้อน คำว่าน้ำในภาษาลาดัก ก็คือ Chu (ชุ) การลำเลียงน้ำเข้าสู่ผืนนาก็จะใช้วิธีขุด ร่องเป็นทางยาวเพื่อชักน้ำเข้ามาในเขตพื้นที่เพาะปลูกของตน วิธีการใช้น้ำที่มีอย่างจำกัดในรูปแบบนี้ จะต้องมีกติกามารยาทต่อกันเพื่อแบ่ง ปันอย่างทั่วถึง...ส่วนของเรื่องของอาหารการกินในพื้นที่ชนบทแบบนี้ มักเก็บ กินจากสิ่งที่ปลูกไว้เองแทบทั้งนั้นค่ะ (นม โยเกิร์ต เนย ชีส ก็รีดเอาจากวัวที่ เลี้ยงไว้) แทบไม่ต้องซื้อหาอะไรมาก ส่วนพื้นที่ในตัวเมืองเลห์ โดยมากก็มีระบบน้ำประปาใช้ เปิดน้ำจากก็อกได้แบบ ง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นก็มักเจอมีคำเตือนหรือการขอความร่วมมือในการใช้น้ำ อย่างประหยัดเสมอ ๆ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด ![]() บริเวณธารน้ำไหล ![]() ช่องส่งน้ำและร่องน้ำ ![]() มีการนำหินและเสื้อผ้าเก่ามาปิดกั้นทางน้ำ เพื่อชักน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูกของตัวเอง เมื่อได้น้ำไปใช้ตามที่ต้องการแล้ว ก็จะต้องมาเปิดช่องทางให้คนอื่นได้ใช้ต่อ ส่วนแหล่งน้ำธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากใต้ดินจะถูกนำมาใช้เพื่อการบริโภค ตาม ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า Chu-mik (Mik แปลว่า ดวงตา) ก็ฟังดูบังเอิญมากที่ ถอดออกมาเป็นภาษาไทยจะตรงกับคำว่า “ตาน้ำ” เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการตั้งถิ่นฐานจึงขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำเป็นสำคัญ พูดง่าย ๆ ก็คือ *หากไม่มีแหล่งน้ำ ก็ย่อมไม่มีหมู่บ้าน ![]() จากที่ตั้งของวัด เราเดินข้ามมายังอีกฟากหนึ่งที่ดูจะเริ่มไปห่างไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย ![]() มีป้ายปักอยู่สองป้าย ตัวแรกเป็นแผนที่และระบุตำแหน่งของสัตว์ประจำถิ่นว่าอาศัยใน บริเวณไหนแถวนี้เป็นเขตพื้นที่อนุรักษ์ค่ะ และอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรที่ชื่อว่า Snow Leopard Conservancy (SLC-IT) อยากทราบข้อมูลก็ไปที่เว็บเขาละกัน : https://snowleopardindia.org รอบนี้เราไม่ได้ไปเดินส่องสัตว์ไกลถึงบนเขานะคะ ให้ลุยเดี่ยวแบบไม่รู้ทิศทางนี่ไม่เอาอ่ะ ส่วนอีกป้ายหนึ่งเป็นกฏข้อห้ามต่าง ๆ ที่แจ้งเตือนว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำบ้าง ![]() สุดทางแค่นี้พอไกลกว่านี้ไม่น่ารอด มีแต่ภูเขาทะเลทรายแล้วก็ความเวิ้งว้าง มองทางไปไกลสุดถนนแล้วก็บอกกับตัวเอง พอเถอะ...ใกล้ถึงเวลาเย็นแล้ว! ก่อนจะทอดน่องเดินกลับ ดันไปเห็นภาพบางอย่างเข้าบนเนินทรายไกล ๆ มันเป็นตัวอะไรบางอย่างที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว แล้วก็จ้องมองลงมาด้านล่าง นั่นมัน Blue sheep, Ibex รึ Urial ก็ไม่รู้ ....แต่ไม่น่าใช่เสือดาวแน่นอน ฉันนึกเดาส่งไปต่าง ๆ นานา จากขนาดตัวและรูปทรง เลยลองเสี่ยงย้อนกลับ ไปดูซักหน่อย เอาแบบค่อย ๆ ซุ่ม เดินก้าวเบา ๆ เพื่อไม่ให้มันตกใจ ![]() ตัวประหลาดที่ยืนอยู่บนเนินดิน ใกล้ ๆ กับหินก้อนใหญ่สีน้ำตาลเข้ม มันแอบมีขยับหนีเล็กน้อยแต่ไม่ได้หายลับไป ฉันได้ยินเสียงกระดิ่งดังแว่วมา แล้วอยู่ ๆ ก็ส่งเสียงร้องที่ดูเหมือนจะเป็นการหัวเราะเยาะและเฉลยตัวให้รู้ว่า เอ็งไม่ต้องทำเป็นซุ่มแอบดูข้าแล้วมนุษย์ ~ โถ ที่แท้ก็ ลา นี่เอง! แบบนี้ต้อง โทษแสงแดดที่ทำให้ตาพร่าสิเนอะ ![]() กว่าฉันจะเดินกลับที่พักก็เย็นมากแล้ว เลยได้เห็นคนเลี้ยงวัวที่กำลังจูงวัวกลับบ้านผ่านมาพอดี ชาวบ้านมักจะต้อนฝูงสัตว์ไปกินหญ้าบนเนินเขาที่อยู่ไกลจากตัวหมู่บ้าน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเรียก ว่า พู (Phu) ถือเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ค่ะ ถึงจะเป็นเวลาเย็นแต่มันก็ยังไม่มืดค่ำซะหน่อย ทีแรกฉันก็ขึ้นไปนั่งเล่นในห้อง ครัวดูพี่อังโม่หุงข้าวจากหม้ออัดแรงดัน แล้วก็เตรียมหั่นผักที่เก็บมาจากในสวน เตรียมทำมื้อเย็น ด้วยพื้นที่จำกัดและเรื่องทำอาหารที่มื้อนั้น จะมีแค่เพียงเมนู เดียวนั่นคือ เท็นทุก (Then thuk) เลยไม่มีอะไรให้ฉันได้ช่วยอะไรมากนัก " ไปพักที่ห้องเธอก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่ำ ๆ จะเรียกมานั่งกินข้าว" พี่อังโม่ คงเห็นว่าฉันอาจดูนั่งเงียบ ๆ เลยชี้ไปยังห้องที่ยกให้เป็นที่นอนค้างแรม ในคืนนี้ ฉันได้แต่ย้ายเป้ไปวางไว้ที่นั่นแล้วก็ขอตัวลงมาด้านล่างแทน ยังเห็น อาบีเลนั่งง่วนกับแอพริคอตอยู่อย่างไม่วางมือเลยอยากเข้าไปช่วยมั่ง ![]() ผลแอพริคอต ที่วางกองไว้ตรงนี้จะถูกนำมาแกะแยกเนื้อและเม็ด อาบีเล (คุณยาย) แรก ๆ สื่อสารยากหน่อย แต่ก็ยอมให้ฉันร่วมวงนั่งแอพริคอต ไปด้วย ผลไม้ชนิดนี้รวมถึงพืชเมืองหนาวอื่น ๆ ถูกนำมาทดลองปลูกโดยรัฐบาล อินเดียหลังจากที่เข้ามาดูแลพื้นที่ของลาดัก เราทำการฉีกเนื้อเพื่อแยกเอาเม็ดออกมา และจะรวบรวมไปตากแห้งภายหลัง ส่วนของเม็ดอาจนำเอาไปทำน้ำมัน ไม่ก็กระเทาะเอาส่วนที่เป็นแกนกลางด้าน ในมาเป็นของกินได้อีก ฉันรู้ความลับของมันมาก่อนว่ายังมีส่วนที่กินได้จากเม็ดด้านใน แต่น่าเสียดาย ที่ทุก ๆ ครั้ง เมื่อฉันซื้อผลแอพริคอตแบบสด ๆ มาแล้วเก็บส่วนของเม็ดเอาไว้ เพื่อหวังทุบกินเล่นแทนถั่วภายหลัง ไม่รู้ว่าทำไมตรงแกนด้านในที่ว่ามันถึงขมปี๋ ไปซะทุกรอบ (เฮ้อ ไม่อร่อยเหมือนกับที่ไปซื้อมากินซักนิด ... หากใครทราบความลับนี้ วานช่วยบอกทีเต๊อะ) ![]() ลองของกินเล่นก่อนมื้อเย็นที่ดูไม่น่าจะเข้ากัน "สะตุ๊ ๆๆๆ" อาบีเล พูดอะไรมาก็ไม่รู้ประมาณว่า สะตุก สะตุ๊ เนี่ยแหละ...แล้วก็ชี้ไปยังด้าน หลังของฉัน ก็หันไปควานหยิบมาให้จนถูกได้ซะที มันคือโหลพลาสติกที่ใส่ ผงซัมป้า เอาไว้ หนนี้ไม่รู้ว่าทำไมยายถึงเรียกว่า สะตุ๊ ... แหมนี่ถ้าเรียก'งัมเฟ' คงหาเจอไปนานแล้ว เอ่อ....แล้วนี่ยายจะเอาชาด้วยมั้ยเนี่ย? อาบีเล โบกไม้โบกมือทำท่าทางบอกว่างานนี้ไม่ต้องการชา ว่าแล้วแกก็เอาส่วน เนื้อของผลไม้มาจุ่มลงในผงข้าวบาร์เลย์คั่วเพื่อสาธิตของกินเล่นระหว่างนั่ง ทำงานให้ดู และชวนให้กินตาม...ซึ่งมันก็เข้ากันดีนะ เราแกะแอพริคอตกองนี้ได้ไม่ทันหมด อาเชเล ที่เป็นแม่ชีเดินลงมาเรียกให้ไป รอกินมื้อเย็นบนบ้านได้แล้ว พร้อมกับช่วยเก็บของให้เข้าที่เพื่อเคลียร์ลานตาก คงกลัวน้ำค้างลงช่วงกลางคืน สามีของพี่อังโม่ ก็เพิ่งกลับมาถึงบ้านตอนเย็น พวกเขาคงคุยกันถึงเรื่องแขกแปลกหน้าที่จะมาพักค้างอยู่ในบ้านคืนนี้แล้ว หลังมื้ออาหาร พวกเรายังคงนั่งขลุกกันอยู่ในครัวพักใหญ่ อาบีเลเปิดวิทยุฟัง ข่าวครู่เดียว ส่วนฉันเปิดรูปถ่ายที่ในกล้องให้ครอบครัวนี้ดู พวกเขาก็อยากรู้ เหมือนกันว่าฉันไปไหนมาบ้างในลาดัก แต่พอเห็นก็แอบแปลกใจกันที่ว่าทำไม มันถึงมีแต่รูปต้นไม้ รูปวัว รูปท้องนา เยอะแยะไปหมดล่ะเนี่ย ลำดับภาพไล่ย้อนลงมาจนถึงรูปหน้าหมู่บ้านสุดท้ายของ Hanu Gongma ที่มีภาพของลุงกระเป๋ารถเมล์ยืนเป็นแบบตรงหน้าป้าย...แน่นอนว่า เมื่อได้เห็น บุคคลในภาพดังกล่าวพวกเขาก็นึกออกและพูดถึงชื่อลุงขึ้นมาได้ทันที "เพิ่มเติม" * บทความสั้นและภาพล้อเลียนที่หยิบยกประโยคตอนท้ายมาเอ่ยถึงเรื่องน้ำ https://web.facebook.com/reachladakh/photos/a.10150256511693595/10153661897013595/?type=3&theater - เส้นทางเทรกที่ผ่านหมู่บ้าน Hemis Shukpachan คือ Sham valley trek - มีเที่ยวรถวิ่งตรงมาจากเลห์ แต่ไม่ได้มีให้บริการทุกวัน - จุดขึ้นรถประจำทางในหมู่บ้านนี้ จะอยู่ใกล้ ๆ กับวัด (ถามร้านค้าแถวนั้นได้) - รอบนี้ใช้ fix lens เพราะเลนส์ตัวหลักมันพัง...เลยถ่ายได้แค่ระยะเดียวค่ะ
ปักมุดไว้ก่อนเย็นนี้งานเลิกจะเข้ามาอ่านครับผม
![]() โดย: สมาชิกหมายเลข 4149951
![]() ชอบบรรยากาศแบบนี้
อิจฉาน้องฟ้าจุงเลย ชอบๆๆๆๆๆ โหวต โดย: อุ้มสี
![]() ![]() ตื่นเช้ามาอ่านจนจบ ...อ่านแล้วก็ให้คิดตามกับการได้พักกินนอนที่บ้าน...ของชาวท้องถิ่น เพราะที่คิดดู บ้านคนชาติเดียวกัน หากไม่รู้จักหรือสนิทกันจริงๆก็ยากที่จะได้เข้าไปเดินเล่น
โดย: สมาชิกหมายเลข 4149951
![]() แอพริคอตดูคล้าย ๆ พุทราจริง ๆ ด้วยแฮะ (เม้นต์เผื่อบล็อกที่แล้วด้วย)
แต่วิธีการกินน่าจะต่างกันมากเลย มีการจุ่มแป้งด้วย (ถ้าเป็นบ้านเราคงเอาผลไม้ไปจิ้มเกลือ >.<) ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน ที่บอกว่ากรอบหน้าต่าง จริง ๆ น่าจะเป็นระเบียงนะ (รูปในหนังสือเขียนว่า balconies) แต่ระเบียงเค้าเป็นโครงไม้ยึดกับผนังโดยตรง เลยยื่นมากไม่ได้ อืมมมม ที่ลาดัก ถ้าไม่ถ่ายรูปต้นไม้ รูปวัว รูปท้องนา แล้วจะถ่ายอะไรดีล่ะ นึกไม่ออกจริง ๆ แฮะ ^^" โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก
![]() ^
ขอบใจน้อ....เดี๋ยวค่อยกลับไปแก้เรื่อง'ระเบียง' หาคำจำกัดความไม่ได้แฮะ นึกว่าตัวระเบียงต้อง ยื่นตัวออกมาเยอะกว่านี้น่ะ ![]() โดย: กาบริเอล
![]() วันก่อนรีบเม้นต์แล้วรีบไปนอน เลยลืมเขียนอะไรไปอย่าง
ตอนแรกกะจะปล่อย ๆ ไป แต่คิดไปคิดมาควรกลับมาบอกดีกว่าเนอะ ^^" "ต่าง ๆ นานา" โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก
![]() ขอบคุณสำหรับภาษาที่ไปเพิ่มเติมให้นะคะ
ฮินดี มีการเรียกแบบแยกเพศด้วยนะคะ ดีจัง เรียกปุ๊บรู้เลยว่าแมวตัวผู้หรือตัวเมีย ![]() โดย: ฟ้าใสวันใหม่
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|