หากเทียบตารางการเดินรถ จากที่เอามาลงเป็นแนวทางไว้ในเอนทรี่เก่า ๆ
เที่ยวรถไป Dha – Baima (อ่านว่า บีม่า) จะมาในรอบ 9 โมงเช้า ของทุกวัน
แต่หากเป็นเที่ยวรถไป Hanu จะมีเพียงแต่รอบเดียวต่อสัปดาห์ คือทุกวันศุกร์
ในเวลา 9 โมงเช้าเท่านั้น ฉันเลือกเดินทางในวันศุกร์เพราะดูมีตัวเลือกที่มาก
กว่าหนึ่ง แล้วก็ยังแอบคาดหวังว่าจะเจอกับกลุ่มนักท่องเที่ยวสักสองสามคนที่
พลัดหลงเข้ามาบนเส้นทางนี้
Permit (PAP) เข้าพื้นที่พิเศษ ที่เพิ่งได้รับมาจากตัวแทนฯ รายใหม่เมื่อวานนี้
ถูกย้ำนักน้ำหนา ว่าต้องระบุเขต Dha, Hanu ให้ได้นั้น ก็มีอยู่ในมือเรียบร้อย
โดยหนนี้ได้มีรายนามนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้สองรายเข้ามาอยู่รวมในจำนวน
ผู้ร่วมทาง (แบบหลอก ๆ) บนหน้ากระดาษ
เช้าวันนี้ที่ฝั่งคิวรถของเอกชน ก็มีรถโดยสารคันใหญ่จอดเรียงรายกันตามปกติ
รถประจำทางเหล่านี้ มักไม่มีป้ายติดบอกไว้หากไม่ใช่จังหวะใกล้ออกแบบที่มี
เสียงกระเป๋ารถเมล์มายืนตะโกนเรียกลูกค้าก็เดายาก – แต่ในขณะนั้นอาจช้า
เกินกว่าจะได้ที่นั่งดี ๆ แล้วล่ะ...
ฉันเดินไล่ถามรถแทบทุกคันที่ติดเครื่องจอดเรียงกันอยู่ บางคันก็มีชาวบ้านขึ้น
ไปนั่งรอกันแล้ว บางคันก็ว่าง และที่แน่ ๆ ตัวคนขับรถหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้
มีกระเป๋ารถเมล์คนหนึ่งเดินอยู่ที่ลานจอด เลยเข้าไปถามเขาถึงเที่ยวรถไป
Hanu ลุงแกก็เหมือนจะไม่รู้เหมือนกันเลยพามาที่ จุดรายงานตัวของบรรดา-
รถโดยสารฯ ที่มีเหล่าคนเดินรถประจำทางมายืนออกันรอบโต๊ะเพื่อแจ้งชื่อและ
ป้ายทะเบียนต่อคนดูแล (ขอเรียกว่า'หัวหน้าวิน'ละกัน) ท่ามกลางความชุลมุน
ในห้องจัดคิวเดินรถ ลุงกระเป๋ารถฯ คนนั้น ตะโกนบอกหัวหน้าวินช่วยเช็คข้อมูล
ให้เจ้านี่มันหน่อย
“จะไปที่ไหน” หัวหน้าวิน ชะโงกหน้ามาถาม
“ฮนู” ฉันตะโกนกลับ เพราะยืนไกลเป็นเมตร
เขาเปิดคู่มือประจำกาย เป็นสมุดเล่มยาวซึ่งกำลังใช้จดหมายเลขทะเบียนรถ
โดยไล่นิ้วตรวจหาทะเบียนรถที่กำลังจะวิ่งมาจอดให้
“ไปรอขึ้นที่จุดจอดริมซ้ายสุดทะเบียน xxxx นะ”
พอหมดธุระแล้ว ก็หันไปวุ่นวายกับการรายงานตัวของบรรดาคิวรถในรอบเช้าต่อ
รถที่จะวิ่งไปยัง Dha – Baima มีผู้โดยสารทั่ว ๆ ไป คละปนกัน หลายคนก็ดู
เป็นคนพื้นที่ทั่วไป มีชาวอินเดียสองรายที่นั่งเบาะหลังคนขับ ทั้งคู่ตัดผมได้
เนี้ยบ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตที่รีดเรียบกริบ พร้อมกับสัมภาระใบใหญ่ที่
วางข้างตัว – มาทรงนี้ก็เดาได้ว่ากำลังเดินทางกลับเข้ากรมฯ
นอกเหนือจากนั้นก็คงนั่งรถไปลงกลางทางนอกเลห์กันเสียมากกว่า (จะมีสักกี่
คนที่เดินทางไปจนสุดสาย) เว้นเสียแต่ก็ผู้หญิงร่างท้วมรายหนึ่งที่เดินขึ้นไป
บนรถคันดังกล่าว แกไว้ผมยาวเฟื้อยและรวบเก็บโดยการถักเปียเป็นปอยเล็ก ๆ
หลายเส้นพร้อมกับสวมเครื่องประดับศีรษะที่ดูแปลกไปจากคนแถวนี้ หน้าตาคม
เข้มและจมูกที่โด่งเป็นสันชัดเจน
ป้าเป็นคนขายผลไม้ที่บริเวณทางเท้าของ Main Bazaar แน่นอนว่า เป็นคนที่
มีหน้าตาโดดเด่นคนหนึ่งทีเดียว จากการแต่งตัวที่รักษาเอกลักษณ์ชาติพันธุ์
ตัวเองตลอดเวลาแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ฉันจำได้แม่นเลย
ในวันนี้ แกอาจเดินทางไกลไปรับผลไม้จากนอกเมืองเพื่อนำกลับมาขาย
ไม่ก็กลับไปที่หมู่บ้านตัวเอง น่าเสียดายที่ป้าเดินทางไปกับรถคันแรกที่จะวิ่งไป
Dha-Baima ทำให้อดรู้เลยว่า แกเป็นชาวอารยันที่มาจากหมู่บ้านไหนกัน…
ก่อนรถบัสนั้นจะตีออกจากท่ารถฯ ก็มีอีกคันหนึ่งเพิ่งวิ่งมาจอดข้าง ๆ ซึ่งเป็นรถ
สำหรับวิ่งไป Hanu นั่นเอง…มาเลทกว่ากำหนดในตารางมากทีเดียว ประมาณ
เก้าโมงเช้า นั่นก็หมายความว่ากว่ารถจะเคลื่อนออกก็คงใช้เวลานานเกือบครึ่ง
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ฉันจองที่นั่งริมหน้าต่างไว้ แม้ว่าวิวจากการเดินทางหนนี้
จะไปซ้ำกับเส้นทางเดียวกันกับ Lamayuru แต่ฉันก็ยังอยากเห็นภาพของสังคัม
อีกรอบ
มีสาวต่างชาติผมสีบลอนด์รายหนึ่งเดินดุ่มขึ้นมาบนรถ ที่นั่งของฉันอยู่ตำแหน่ง
เบาะทีสองรองจากที่นั่งหน้าประตูทางขึ้น เลยถือโอกาสยื่นหน้าไปถามว่าจะไป
ลงที่ฮนูหรือปล่าว เธอยิ้มและพยักหน้าตอบรับ “จะไปเหมือนกันใช่ป่ะ” ….
ใจชื้นขึ้นมานิดนึง มีคนลงที่เดียวกันละ
แต่ถัดมาก็มีชายชาวอินเดียหนึ่งรายเดินขึ้นรถไล่หลังมา เขามากับสาวต่างชาติ
คนนั้น....ดูแล้วไม่น่าจะเคยไปเที่ยวที่หมู่บ้านดังกล่าวมาก่อนแน่ ๆ ฉันได้ยินเขา
ยืนถามชายที่นั่งเบาะหน้าตรงริมประตูทางขึ้นถึงการเดินทางและที่พัก
กว่ารถจะเริ่มออกจากท่ารถฯ ก็ใช้เวลานานพอสมควรราวหนึ่งชั่วโมง เพราะรอ
คนมาฝากสัมภาระ เป็นลัง กระสอบ อะไรนักหนาก็ไม่รู้ ขึ้นไปมัดไว้บนหลังคา
ไม่ก็เอามาจัดวางบนรถ คงเป็นการฝากส่งของไปยังนอกเมือง เอาน่ะ รถเที่ยวนี้
เขามีวิ่งแค่สัปดาห์ละหน
นอกเหนือจากนี้ยังมีคนต่างชาติอีกสามรายที่มาด้วยกันเป็นผู้ชายสองและหญิง
อีกหนึ่งที่แบกเป้ใบใหญ่โตเหมือนเตรียมตัวจะไปเข้าป่าสักสองอาทิตย์ พวกเขา
มีปลายทางไปยังที่ไหนก็ไม่รู้ ฉันได้แต่ภาวนาขอให้ไปลงฮนู (นับจำนวนต่าง
ชาติบนรถคันนี้ก็ 5 คน) แล้วเวลาเดินทางก็มาถึงตอน 10 โมงตรง...นี่ก็นั่งรอซะ
จนหายตื่นเต้นไปละ
“ฮัลโล่” ลุงกระเป๋ารถฯ ส่งสัญญาณเสียงเรียกฉัน
พร้อมทำท่าเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อรอคำตอบว่าจะไปลงที่ไหน
“ฮนู” ฉันรู้แค่ว่าหมู่บ้านที่จะไปคือ ฮนู
“ฮนู ไหน?”
อ้าว … มันมีกี่ฮนูล่ะเนี่ย
“Hanu thang, Hanu Yokma, Hanu Gongma”
ลุงแจกแจงตัวเลือกมาให้สามหมู่บ้าน
เอ๊อะ …. ดีนะที่ไม่มี Hanu man แถมอีก
เอาหล่ะ มันคงเป็นเรื่องจนปัญญาเกินกว่าจะทราบได้ ทีแรกลุงออกตั๋วสำหรับ
Hanu Yokma ให้มันมีราคา 230 รูปี แต่ฉันเปลี่ยนใจขอไปลงปลายทางที่ชื่อ
Hanu Gongma แบบว่าจะตระเวนเที่ยวไล่ลงมาเรื่อย ๆ หลังจากนี้ เลยต้อง
อัพเพิ่มราคาอีก 47 รูปี หากคะเนจากค่าตั๋ว ก็เท่ากับว่าระยะทางระหว่างสอง
หมู่บ้านนี้ก็ไกลเอาเรื่องพอสมควร
เนื่องจากเราได้เดินทางกันในช่วงสาย ประมาณเที่ยงกว่า ๆ จึงมีการหยุดรถเพื่อ
พักกินอาหารที่ร้านริมทางแห่งหนึ่งแถว ๆ เขต Nimoo ถ้าใครไม่อยากรออะไร
นานหรือมีพิธีรีตองในการกินมาก ก็แนะนำให้สั่ง โมโม่ (Momo) จะได้ไวสุด…
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595863411.jpg)
หนึ่งในกลุ่มแบกเป้ที่มากันสามราย พวกเขาพากันลงที่ Nimoo
หลังจากกลุ่มแบกเป้สามรายนั้นลงจากรถไปแล้ว ก็ไม่มีชาวต่างชาติรายอื่นมา
ขึ้นรถกลางทางเพิ่มเติมอีก คงเหลือแค่สาวผมบลอนด์รายนั้นและฉันเท่านั้น
แต่ว่าจะหาทางเข้าไปคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องด่านตำรวจที่ Khaltsi ยังไงดีหนอ
ดูเหมือนว่าชาวอินเดียที่มาด้วยกันจะเกาะติดแจ ...แบบว่า ณ ห้วงเวลานี้พวกข้า
จะคุยกันแค่สองคน
ตามกฏของเจ้า PAP ตัวนี้เนี่ย ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปแบบ
อิสระเสรีตามลำพังได้ ซึ่งถ้าจะไปขอเตี๊ยมกับสาวต่างชาติ หรืออาจต้องพ่วง
นายคนนั้นไปด้วยก็ตาม ว่าพวกเราเดินทางมาด้วยกันก็อาจจะช่วยให้สะดวกขึ้น
ช่วงเวลาประมาณบ่ายแก่ เมื่อมาถึงด่านตำรวจตรง Khaltsi ที่เก่าเวลาใหม่…
เป็นที่เดียวกับที่เคยลงจากรถมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เมื่อหนก่อน แต่รอบนี้
ต้องมีเอกสารประกอบด้วย เราสามคนเดินลงจากรถพร้อมกันโดยมีกระเป๋ารถฯ
เป็นคนนำไป ส่วนคนขับรถก็นั่งหลังพวงมาลัยที่ยังคงติดเครื่องยนต์รอ ฮึ่ม ๆๆๆ
มีชาวบ้านบนรถเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มีแค่ไม่กี่สิบรายกันแล้ว
ฉันแอบเห็นใบอนุญาตของชาวอินเดียที่ถือเตรียมไว้ นั่นก็ทำให้รู้ว่าสำหรับพื้นที่
พิเศษ ไม่เพียงแค่ชาวต่างชาติเท่านั้นที่ต้องทำ – แต่ดูเหมือนจะเป็นคนละ
ประเภทกัน
ด่าน Khaltsi มีตำรวจทำหน้าที่หน้างานสองคน ส่วนภายในอาคารไม่แน่ใจว่า
มีคนนั่งประจำการเพิ่มอีกมั้ย ฉันยื่นพาสปอร์ตและอนุญาตฯ ต่อเจ้าหน้าที่พร้อม
กับสาวคนนั้น อืม … มาจากบราซิลนี่เอง และไม่นานเราก็พบกับปัญหา คราวนี้
มันคือปัญหาโคตรใหญ่สำหรับเราสุด ๆ
“ทำไมมาคนเดียวแล้วเพื่อนที่อยู่ในรายชื่ออีกสองรายหายไปไหน?”
ฉันถูกซักถาม
เอิ่ม … จะให้บอกว่า ทางตัวแทนบริษัทนำเที่ยว จัดทำให้โดยรวมรายชื่อผู้เดิน
ทางคนอื่นมาใส่เสริมแบบปลอม ๆ เพื่อออกใบอนุญาตนี้ มันก็คงไม่เข้าท่า
“เมื่อเช้านี้ฉันนัดพวกเขามาที่ท่ารถ...แต่ไม่เจอกันค่ะ คงไปที่อื่นกันแล้ว”
โอ๊ย...พอก่อนอย่าถามเยอะ เดี๋ยวรู้ว่าพูดไม่จริง!
ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่คืนหลักฐานที่ยื่นไปพร้อมกับชี้ที่บรรทัดล่าง ๆ
ซึ่งมีคำเตือนบอกกำกับไว้ตรงข้อหนึ่งช่วงท้าย
“….no individual foreign tourist may be permitted to enter
the restricted area...มันก็มีระบุบอกนะว่าห้าม”
“งั้นพวกเราก็เข้าไปพร้อม ๆ กันเป็นกลุ่มก็ได้นี่”
ฉันชี้ไปที่สาวบราซิลและชาวอินเดีย
อันความซวยนั้น ก็ยังดำเนินต่อไป
PAP ของสาวบราซิลและชาวอินเดีย
มีเกิดผิดพลาดในเรื่องบางอย่างเข้าให้
ทายถูกมั้ยล่ะว่าเป็นเรื่องอะไรกัน
“ไหนตราประทับสำหรับ Dha, Hanu ครับ” เจ้าหน้าที่พลิกหน้าโน้นนี้
เพื่อค้นดูเส้นทางที่ตามที่ระบุไว้ตรงตาราง tour circuit
“ก็ทางตัวแทนฯ ที่เดินเรื่อง...บอกเราว่าใช้ใบนี้ได้หมดทุกพื้นที่”
ว้ายยย.... เหตุการณ์คุ้น ๆ
สาวบราซิลเจอปัญหาเดียวกับที่ฉันโดนไปหนแรกเป๊ะ และฉันก็คิดว่า
ชาวอินเดียคนนี้ ก็ได้ทำเรื่องมาจากตัวแทนฯ เดียวกันกับเธอแน่ ๆ
เจ้าหน้าที่จึงยกใบอนุญาตฯ ของฉันขึ้นมาโชว์
“ดูนี่นะ พวกคุณไม่มีตราประทับแบบนี้”
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1586363814.jpg)
สรุปคือหากจะเข้าพื้นที่ไหน ก็ต้องมีระบุบอกอย่างชัดเจนตามนั้น...
ตัวแทนบริษัทนำเที่ยวฯ หลายแห่งมักจะพูดเหมารวมไปว่า ทำใบเดียวเข้า
ได้ทุกที่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว
ผิด! เนื่องจากเวลาที่พวกเขากรอก
ข้อมูลลงแบบฟอร์มนี้ จะไม่ได้มีเพียงแค่ ชื่อ หมายเลขหนังสือเดินทาง และ
วีซ่า แต่จำเป็นจะต้องใส่เส้นทางที่จะไปลงในตาราง tour circuit ด้วย
ในกรณีที่อยากเดินทางด้วยเองแบบนี้ (ไม่ได้เหมารถนำเที่ยว)
เอเจนซี่บางราย ก็ชอบเดาสุ่มความน่าจะเป็นเองว่านักท่องเที่ยวจะไปที่ไหน
หากมาเที่ยวลาดัก ก็คงไม่แคล้วที่จะเลือกรูทยอดนิยมให้ก่อน – Dha, Hanu
มันไม่ค่อยป๊อบ จึงมักไม่ค่อยได้ถูกเลือกสักเท่าไหร่ – ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้
อิโหน่อิเหน่ ก็อาจเข้าใจผิดคิดไปว่าใบอนุญาตฯ ตัวเดียวสามารถเที่ยวได้ทุกที่
เช่นกัน
ชายอินเดียเริ่มหน้าเสียเขาหยิบเอามือถือมากดโทรถึงตัวแทนบริษัทนำเที่ยว
แล้วพูดใส่อารมณ์ถึงเรื่องเอกสาร ว่าทำไมถึงไม่ลงเขตพื้นที่นี้ให้ด้วยบลา ๆๆๆๆ
มันเป็นเหตุการณ์ที่ยืดเยื้อนานมาก ๆ ส่วนชาวบ้านที่รออยู่บนรถคงได้นั่งดูเรื่อง
ราวแบบนี้กันจนบ่อยแล้วมั้ง
สักพักหนึ่ง พระที่นั่งบนรถฯ ก็ออกมาดูสถานการณ์ที่เวิ่นเว้อกันมาครู่ใหญ่
โดยเดินขึ้นมาที่จุดตรวจ…หลวงพ่อน่าจะสงสัยว่าคุยอะไรกันนักรอนานละนะ
เจ้าหน้าที่คงรู้จักกับพระ พวกเขาหันไปยกมือไหว้แล้วพูดถึงปัญหาที่เกิด
เอ...แล้วเรื่องของฉันล่ะ?
ใบอนุญาตฯ มีตราประทับครบก็จริง แต่ดันติดที่ไม่มีเพื่อนมาด้วยกันจะทำไงดี
“ยู ต้องกลับเลห์” ตำรวจหันมาบอกฉัน ว่าไม่สามารถให้เข้าไปได้
เฮ้ย...ช็อค ตายตรงนี้เลยได้มั้ย ถ้าจะต้องตีรถกลับเลห์อ่ะ
“พวกคุณต้องนั่งรถกลับ” เขาบอกผลการพิจารณาครั้งนี้
“เรามาถึงครึ่งทางแล้วนะ อยู่ ๆ จะให้กลับงี้ได้ไง”
ชาวอินเดียพยายามขอต่อรอง จากนั้นพวกเขาก็ถูกเชิญไปคุยที่อาคาร
เหลือฉันกับลุงกระเป๋ารถฯ ที่ยังต้องรอข้อสรุป … พวกเขายังคงเจรจากับใคร
ในนั้นก็ไม่รู้ ไม่นานนัก ตำรวจเดินมาเปิดสมุดเพื่อคัดชื่อของฉันลงในไปเล่ม
“ยู ช่วยสัญญาได้มั้ยว่าจะออกมาจากพื้นที่พรุ่งนี้เช้ากับรถคันนี้”
โห นาทีนี้ยังไงก็ได้แล้วจ้า … ฉันตกลง
ต่อจากนั้นก็ได้เดินกลับไปนั่งรอบนรถ และแอบรอลุ้นแทนคู่นั้นอย่างใจจดจ่อ
พวกเขาเดินกลับมาที่รถ ฉันโผล่หน้าไปถามตามเคย “เป็นไงบ้าง?”
สาวบราซิล ดูไม่สดใสเหมือนหนแรกเสียแล้ว “พวกเราต้องอยู่ที่นี่” เธอและ
ชาวอินเดีย วกกลับมาเพื่อเก็บกระเป๋า...ทั้งคู่ไม่ได้ไปต่อ แล้วรถประจำทางก็ได้
วิ่งออกตัวไปจากด่านตรวจของ Khaltsi เสียที
....
สู่เขตแดนของหมู่บ้านชาวอารยัน
ในช่วงครึ่งแรก ฉันแทบไม่ได้หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเก็บสักเท่าไหร่ เพราะวิว
มันจะซ้ำ ๆ กับตอนเดินทางไป Lamayuru แต่พอหลุดจากการตรวจตราที่ชวน
เครียดแล้ว รถจะวิ่งตรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ขนานข้างไปกับแม่น้ำสินธุ มันเป็นภาพ
เส้นถนนที่วิ่งผ่านหุบเขาไปไกลออกไปจากตัวเมือง Khaltsi เรื่อย ๆ เหมือนกับ
ว่าจะแล่นพาไปในพื้นที่ลึกลับที่ไหนสักแห่ง ฉันมองวิวข้างทางและคิดอะไรไป
ไกลว่าถ้าหากครั้งนี้มีคนร่วมทางมาด้วยนะ มันก็คงทำให้ ฉันสามารถตระเวนดู
ภูมิประเทศแถบนี้มากกว่าหนึ่งคืนแน่ ๆ
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595863483.jpg)
หุบเขาที่ดูแห้งแล้งและแม่น้ำสินธุ บนเส้นทางที่เข้าลึกไปไกล
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595863582.jpg)
นาน ๆ ทีถึงจะเจอสิ่งก่อสร้างที่เป็นบ้านเรือนหรือตัววัด
พอหมดวาระเรื่องด่านตรวจก็ใช่ว่ารถจะวิ่งฉิว บางครั้งก็ต้องจอดยาวเพื่อทำการ
จัดส่งสินค้าให้คนที่มารอรับปลายทาง อย่างเช่นตรงสะพานที่มีคนงานยืนกันอยู่
ฟากตรงข้าม รถของเราได้แต่จอดบนเนินแล้วลุงกระเป๋ารถฯ ก็หยิบชิ้นอะไหล่
เครื่องยนต์มายืนเรียกโบกไม้โบกมือ ตะโกนเรียกจนแทบหมดเสียง
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595863686.jpg)
สะพานและถนนที่เชื่อมต่อไปที่ไหนสักแห่ง
หมู่บ้านแรกที่รถวิ่งผ่านหลังจากนี้หากเทียบจากแผนที่ก็คือ Domkhar
จำได้ว่าพระลงจากรถที่ Skurbuchan จึงพาปะติดปะต่อได้บ้างว่าภาพถ่าย
เหล่านี้จะอยู่ช่วงตำแหน่งไหน เพราะยากมากที่จะยกกล้องตลอดทาง บางจุด
ก็ถือเป็นเขตหวงห้าม ทำให้ลุงกระเป๋ารถฯ ต้องคอยเตือนอยู่บ่อย ๆ
ความยาวไกลของเส้นทาง ที่ขนาบกับแม่น้ำที่เคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่สมัยเรียน
ภูมิประเทศที่ดูประหลาด เหมือนจะแห้งแล้งแต่ก็มีการสร้างชุมชนและมีการ
ดำรงอยู่ พืชในนาที่ปลูกไว้ออกดอกสีขาวคือต้นอะไรก็ไม่รู้ ที่นี่มี แอปริคอต
ปลูกกันอย่างดาษดื่น ช่วงนี้คงเป็นฤดูเก็บผลผลิต พวกเขานำเอามันมาตากแดด
ตามเนินหินบ้าง ไม่ก็บนผืนผ้ากระสอบ ผลของมันมีขนาดเล็กและมีชื่อเรียกใน
ภาษาถิ่นว่า Chuli (ชูลี่)
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595863813.jpg)
พระที่โดยสารมาบนรถ ส่วนเด็กเบาะหน้าเดินทางมากับแม่
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595863892.jpg)
อาจเป็น Domkhar ไม่ก็ Skurbuchan
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595864117.jpg)
พืชที่ปลูกบนผืนนา
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595864467.jpg)
จุดลงรถที่ Skurbuchan
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595864710.jpg)
เรามักพบคนสูงอายุถือกงล้ออธิษฐานและลูกประคำเพื่อใช้ภาวนาอยู่ตลอดเวลา
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595864802.jpg)
ที่ตั้งของโรงเรียน และรถโดยสารขนาดเล็กที่วิ่งไปมาระหว่างพื้นที่
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595866802.jpg)
แนวกำแพงหินและเจดีย์ขาว
"ฮัลโล่"
ฉันถูกเรียกให้ลงจากรถอีกครั้งเมื่อมาถึง Hanu thang ที่ตรงนี้มีค่ายทหารที่
เขียนชื่อไว้ว่า Aryan Valley Camp เป็นอีกจุดที่ต้องลงไปรายงานตัวกับทหาร
โดยกระเป๋ารถฯ ต้องทำหน้าที่พาไป ด้านในซุ้มนั้นมีนักท่องเที่ยวรายหนึ่งเป็น
ชาวอินเดียที่ขับรถมอเตอร์ไซด์ตระเวนเที่ยวตามภูมิภาคนี้ ยืนรอตรวจเอกสาร
กับทหารผู้ทำหน้าที่อยู่เพียงนายเดียว
เมื่อถึงตาฉันบ้าง เขาตรวจสอบ PAP ที่ตอนนี้มีผู้เดินทางแค่คนเดียวจากสาม
รายชื่อ เขาถามว่าฉันจะไปไหน อยู่นานเท่าไหร่ พอทราบว่าจะอยู่แค่หนึ่งคืน
ตามคำขอของตำรวจที่ Khaltsi ทหารก็ยกโทรศัพท์ต่อสายเช็คข้อมูลอีกรอบ
ก่อนที่จะปล่อยให้กลับไปขึ้นรถ....
แต่ทั้งนี้รถของเราก็ยังออกไม่ได้อยู่ดี พี่ผู้ชายที่นั่งเบาะหน้ากำลังทำการขนข้าว
ของต่าง ๆ ที่นำมาจากเลห์มาไว้ที่ค่ายทหารนี้ ขนถ่ายลงจากรถเยอะแยะไป
หมดและยังต้องเคลียร์ค่าระวางกับทางรถโดยสารก่อน
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595864937.jpg)
หลังผ่านจุดตรวจ จุดรับส่งสินค้า ที่ทำให้รถต้องหยุดจอดกันแทบตลอด พวกเขาก็เริ่มหวาน
เย็นกันต่อ เช่นมีรถขนมะเขือเทศผ่านมา คนขับก็จอดอีก เพื่อให้กระเป๋ารถเมล์ไปยืนเลือก
ก็ได้มาจำนวนหนึ่ง (พวกเขาบอกว่าจะเอาไว้กินเป็นมื้อค่ำ)
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595864995.jpg)
เหมือนจะสร้างทางกั้นน้ำหรืออะไรสักอย่าง
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595865249.jpg)
พี่มอเตอร์ไซค์คันนี้นี่เอง ที่เข้าไปรายงานตัวตรงเขตทหารพร้อมกับฉัน
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595865423.jpg)
มาถึงหมู่บ้านที่ชื่อว่า Hanu Yokma ที่ ๆ เคยจัดงาน Aryan Festival ที่ผ่านมา
ยังมีคนสูงอายุที่ยังคงสวมเครื่องประดับบนศีรษะแบบชาว Drokpa กันอยู่บ้าง
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595865506.jpg)
ถัดจาก Hanu Yokma รถก็พาขึ้นเขาต่อ ... ฉันนึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่จะถึงปลายทาง
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595865615.jpg)
ผู้โดยสารชุดสุดท้ายบนรถ ลุงกระเป๋ารถฯ เริ่มเดินไปหยิบแอปเปิ้ลที่วางในกระสอบหลังรถ
มาเดินแจกคนละลูกสองลูก กว่าจะถึง Hanu Gongma ก็ได้รวมไปทั้งหมดห้าลูก ฮ่ะ ๆๆๆ
![](https://www.bloggang.com/data/w/wachii/picture/1595865743.jpg)
ปลายทางของเราอยู่ตรงโน้น แสงสุดท้ายที่แตะบนยอดเขาตรงกลางนั้นคือความหวัง
"นั่นไง Hanu Gongma ถัดไปจากนี้ตรงหลังเขานั่นก็คือปากีสถาน"
ฉันได้รับคำตอบจากคนบนรถแล้วว่า จุดหมายปลายทางมันมีหน้าตาเป็นยังไง
ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนนี้ ขอให้มันช่วยส่องสว่างไป
นาน ๆ หน่อยเถอะนะ
---------------------
Tour circuit สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ :
(ส่วนพื้นที่พิเศษบางแห่งที่มีนอกเหนือจากเส้นทางนี้
อาจไม่เปิดให้คนต่างชาติเข้า เช่น Hanle & Chusul และอื่น ๆ)
Khaltsi Sub Division (Drokpa Area) หรือ Aryan
Khaltsi-Domkhar-Skurbuchan-Hanu-Baima-Dha
Nubra Sub Division
a) Khardung La - Khalsar - Trith upto Panamik
b) Khardung La - Khalsar- Hunder- Turtuk-Pachathang -Tyakshi
c) Saboo- Digarla - Digar Labab - Khungru Gompa - Tangyar (Only for trekking)
Nyoma Sub Division
a) Upshi-Chumathang-Mahey-Puga-Tsomoriri Lake/Korzok
b) Upshi-Chumathang-Mahey upto Loma Bend
c) Upshi-Dipling-Puga-Tsomoriri Lake/Korzok
d) Kharu-Changla-Durbuk-Lukhung-Spangmik - Man-Merak (Pangong Lake)
อ้างอิงจาก : https://www.lahdclehpermit.in/pap.pdf
** ขอปรับเปลี่ยนการสะกดตามความเหมาะสมนะคะ
รถประจำทางที่วิ่งไปยังหมู่บ้านอารยันจากเลห์มีเพียงสองสาย
*** จาก Leh ไป Dha - Baima ออกทุกวันรอบ 9 โมงเช้า
*** จาก Leh ไป Hanu ออกทุกวันศุกร์ เวลารถออกจะช้ากว่า Dha (ราว ๆ 10 โมง)
Dha, Hanu ~ ดาห์, ฮนู อาจเรียกติดกันตามความเข้าใจของนักท่องเที่ยว
เมื่อพูดถึงที่ตั้งหมู่บ้านชาวอารยัน แต่ความจริงทั้งสองหมู่บ้านนี้อยู่ห่างกันค่ะ
พี่อุ้มว่าพี่อุ้มห้าวแล้วนะเรื่องเที่ยว
น้องฟ้าห้าวกว่า
สุกยอด
กว่าจะถึงจุดหมายได้เนี่ย
ไหนจะเจอด่าน
ไหนจะรถหวานเย็น
นึกถึงตอนที่ไปเที่ยวสังขละบุรี
ด้วยรถ บขส.
มีจอดกินข้าว มีจอดพักรถ
มีจอดให้ตำรวจขึ้นมาตรวจบนรถ 3 รอบ
พี่อุ้มนั่งไปคนเดียว
เพราะผุ้โดยสารลงที่อ.ทองผาภูมิ
ไม่มีใครนั่งยาวไปสังขละฯ