Kaza, Spiti Valley
Himachal Pradesh
มันน่าจะเป็นจุดหมายของใครหลายคนอยู่เหมือนกัน หลังจากไปป้วนเปี้ยนสืบข้อมูล
การเดินรถโดยสารที่ศูนย์บริการข้อมูลฯ ของรัฐในเลห์ (ลาดัก) ก็ได้เห็นนักท่องเที่ยว
บางรายสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงจุดเชื่อมต่อไปยังหุบเขาสปิติเช่นกัน พวกเขาคาดหวัง
ว่าจะมีรถรับจ้างวิ่งต่อจาก Keylong ตรงเข้า Kaza...ก็แอบฟังอยู่ห่าง ๆ นะ เผื่อว่าจะ
ได้คำตอบนี้ด้วย เป็นที่น่าเสียดายเจ้าหน้าที่ฯ ไม่ได้ทราบถึงข้อมูลที่อยู่ภายนอกเขต
พื้นที่รับผิดชอบของเขา
แต่ยังมีเรื่องที่ฟังดูตลกดีเหมือนกัน เมื่อได้ยินชาวต่างชาติพูดถึง เมืองกาซ่า
หรือคาซ่า เจ้าหน้าที่ผู้ให้ข้อมูลชาวลาดักซึ่งยืนประจำโต๊ะ ณ เวลานั้น กลับบอก
ทวนชื่อของ Kaza ให้ฟังใหม่แทนว่า กาจ้า!
(ต่อจากตอนเดิม)
เรื่องของแหล่งที่พักใน Kaza ถ้าพูดแบบคนเคยมา ก็หาได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลท่องเที่ยวแบบนี้กับสภาพอากาศไม่หนาวเย็นจน
น่าขนลุกจนเกินไป เจ้าของกิจการท้องถิ่นเหล่านี้ จะยังไม่หนี(หนาว)ออกไป
พักร้อนกันแถว ๆ เมือง Mandi กันเกือบหมด ก็จะมีตัวเลือกเยอะพอสมควรเลย
เรามาตั้งหลักที่ฝั่งท่ารถ ย่านนี้มีตลาด ร้านค้า และร้านอาหาร แต่มันก็จอแจจน
เกินไป ที่พักเดิมพุ่งราคาค่าห้องเป็นเท่าตัว เลยต้องตบเท้ากลับหลังหันเปลี่ยน
ทิศย้อนศรไปอีกทาง ข้ามสะพานเชื่อมไปที่ย่าน New Kaza แทนละกัน ถึงแม้ว่า
เพิ่งจะนั่งรถเลยผ่านมาหมาด ๆ ไปแล้ว คงน่าจะมีอีกเกสเฮาส์หนึ่งทีเข้าพักด้วย
แล้วสบายใจกว่านี้

KUNZUM GUESTHOUSE
4 ปีก่อน ประตูเดิมหน้าทางเข้าเป็นไม้และตอนนี้เปลี่ยนเป็นเหล็กเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าการต่อเติมอาคารเป็นสองชั้นเพื่อขยับขยาย จะทำให้เกสเฮาส์นี้ดูเปลี่ยนไป
จนเริ่มไม่มั่นใจว่ายังเป็นกิจการเดิมของครอบครัวป้าคุนซุมหรือไม่ ชื่อเก่าที่ติดไว้
ตรงป้ายอาจพอช่วยยืนยันได้อยู่ว่าเป็นเจ้าของเดิม
"จูเล"
พอก้าวผ่านประตูเหล็กบานเขียว เราก็ส่งเสียงทักให้เจ้าบ้านได้ยิน คำว่า จูเล
หรือในอีกความหมายคือ สวัสดี ขอบคุณ ลาก่อน ที่เคยจำติดปากมาจากลาดัก
ก็สามารถเอามาใช้ที่นี่ได้เช่นกัน
สาวสปิติผมเปียยาวรายหนึ่ง ผู้เป็นสมาชิกของครอบครัวนี้เดินลงจากบ้านออกมา
ต้อนรับผู้มาเยือนรายใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงในเวลาเย็น เธอแนะนำห้องพักที่ใหญ่สำหรับ
นอนได้สี่คน ไล่ขนาดลงเรื่อยมาและตกลงที่จะให้ห้องเล็กสำหรับคนเดียว หลังจาก
ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย ก็แอบถามถึงคุณป้าที่เป็นผู้ดูแลเกสเฮาส์
"แม่ฉันเอง! ตอนนี้เธอออกไปดูแลร้านค้า"
ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปอีกทิศทางหนึ่่ง เป็นคนละฟากกับหน้าที่พัก
โอ้โห สงสัยป้าขยายกิจการเปิดร้านใหญ่โตกว่าเก่าแล้วแหง
นอกเหนือจากนี้ ก็เหลือบไปเจอสาวแว่นอีกรายที่เราคุ้นหน้ามาก เพราะเป็นคนมา
เก็บเศษแก้วกับเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลให้กับเราตอนที่ล้มลื่นหน้าห้องน้ำ เป็นพื้น
ปูนที่เคยมีน้ำหยดไหลจนเปียกนองจากสายยางที่เชื่อมต่อกับก็อกไม่สนิท และมัน
กลายสถานะเป็นน้ำแข็งในตอนท้าย – โอเค นั่นคือสภาพอากาศที่พอจะอธิบายได้
หากใครอยากลองมาในช่วงปลายเดือนตุลาคม
ถัดจากการเอาสัมภาระเก็บห้องให้พอเบาตัว สวมรองเท้าแตะ เพื่อผ่อนคลายตัวเอง
ก็ต้องมาเสียแรงกับความพยายามดันประตูให้ตัวล็อคมันขยับให้ตรงกับแม่กุญแจที่จะ
นำไปคล้อง เปิด ๆ ปิด ๆ ทะเลาะกับบานพับนานมาก จนได้ยินสำเนียงแบบลันดั้น
พูดสวนมาแบบนุ่มนวล "เธอควรจะเรียนรู้เรื่องการไว้วางใจมากกว่านี้นะ"
ชายชาวตะวันตกวัยสี่สิบกว่า กำลังพักผ่อนบนม้านั่งพลาสติกอยู่เยื้องไม่ไกลจาก
ฟากที่เรายืนนัก ด้วยสำเนียงการพูดจาดูคล้ายกับป้าจูเลียต ก็เลยทึกทักเองว่าคง
เป็นชาวลอนดอน (ซึ่งก็ใช่) หลังประสบความสำเร็จกับการคล้องประตูแล้วก็แวะ
ไปคุยด้วยสักหน่อย
เขาชื่อว่า จอร์จ เคยเดินทางมาที่หุบเขาสปิติมาแล้วเมื่อหกปีก่อน
ส่วนเหตุผลของการกลับมาก็คงไม่ต่างไปจากเรานักนั่นก็คือ…แค่คิดถึง
"ทีแรกก็จำไม่ได้หรอกว่าผ่านไปนานแค่ไหน จนอัลบั้มรูปใน google photo
มันผุดโชว์ขึ้นเตือนถึงความทรงจำเมื่อหกปีก่อน" เยี่ยมจริง ๆ
พี่จอร์จรื้อฟื้นความทรงจำเล็ก ๆ บางอย่างกับเกสเฮาส์แห่งนี้ให้ฟัง เมื่อมีหมาสีขาว
ตัวหนึ่งโผล่มาให้เห็น ช่วงล่างของลำตัวตั้งแต่เท้าจนถึงไหล่และก้นเลอะเทอะไป
ด้วยโคลนราวกับว่ามีใครจับตัวมันไปจุ่มฟองดู แววตาของมันเหมือนจะไม่ดุร้ายแต่
ก็ไม่ค่อย peaceful เท่าไหร่
"ตอนเป็นลูกหมามันเคยโดนล่ามไว้ตลอด แต่เดี๋ยวนี้...ดูสิ มันมีอิสระแล้ว"
มันกลายเป็นหมาขี้กลัวไม่กล้าวิ่งไปไกลเกินหน้าบ้าน พี่จอร์จเชื่อแบบนั้น
พักหนึ่งทฤษฎีของแกคงไม่เป็นจริง เมื่อเจ้าขาวมันออกไปวิ่งไล่หมาหมู่แปลกหน้า
ที่มาป้วนเปี้ยนหน้าประตูอย่างบ้าคลั่ง จนแกต้องออกหน้าไปต้อนมันกลับบ้านและ
เลื่อนปิดประตูเหล็กไว้ พร้อมออกอาการเหนื่อยหอบเบา ๆ 555
ไม่นานนัก ป้าคุมซุม ก็ออกมานั่งร่วมวงกับพวกเรา พร้อมยกชานมผสมขิงมาให้จิบ
ถึงแกจะฟังพวกเราไม่ค่อยออก แต่จากสีหน้ากับแววตาดูแกมีความสุขดีเวลาได้นั่งอยู่
ท่ามกลางแขกแปลกหน้าที่มาเข้าพักยังเกสเฮาส์นี้ มันเป็นอัธยาศัยที่ป้ายังคงรักษาไว้
นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราย้อนกลับมาพักกับที่นี่
เราหยิบแผนที่ที่คัดลอกมาจากอินเตอร์เน็ตอีกที มากางโชว์เพื่อถามพี่จอร์จ
สำหรับคำแนะนำ เพราะถึงจะเคยมา...แต่ก็ไม่ได้เที่ยวจนทั่วและรู้ไปทุกเรื่อง
หลังคุยกันพอได้ข้อมูลแบบกรุบกริบ พอนึกขึ้นได้ว่าในช่วงค่ำมีงานเทศกาลฯ
ที่จะจัดขึ้นแถวโรงเรียน...พี่จอร์จโบกมือขอพัก แกว่าเพิ่งมาถึงและรู้สึกมึนหัว
ไม่อยากเดินเหินไปไหนถ้าไม่จำเป็น เพราะอยากปรับตัวกับพื้นที่สูงเสียก่อน
เชื่อว่า พี่จอร์จน่าจะหมดพลังไปตั้งแต่วิ่งตามไอ้ขาวกลับบ้านแล้วล่ะ 
พวกเราลากันตรงนั้น ถึงจะพักอยู่ในเกสเฮาส์เดียวก็จริง แต่ Kaza ก็เป็น
แค่เมืองที่แวะพักเพียงระยะสั้น ๆ สำหรับการตั้งหลักเดินทางเท่านั้น

เดินตามเสียงดนตรีไป เธอจะเห็นเองว่างานจัดที่อยู่บริเวณไหน
ภายหลังสอบถามเรื่องงานในค่ำคืนนี้ ไม่มีใครสักคนในเกสเฮาส์ที่คิดจะหอบลูกจูงหลาน
ไปเที่ยวกันเลย พวกเขาได้แต่แนะนำทิศทางให้รู้คร่าว ๆ เพียงเท่านี้แอบอยากรู้จังว่าจะเป็น
งานที่จัดขึ้นในธีมไหนสำหรับนักท่องเที่ยวหรือชาวเมืองกันนะ?
ถึงคำแนะนำข้างต้นจะฟังดูแปลก ๆ เอาเข้าจริงแล้ว เราก็เดินลัดเลาะออกจากที่พัก
ไปตามเสียงเพลง จนพบกับบริเวณพื้นที่จัดงานมีการทำเวทีและเต็นท์สำหรับจัดพื้นที่
ให้ผู้คนเข้ามานั่งชม และมีเก้าอี้ที่จัดวางให้กับ V.I.P. จำนวนหนึ่ง เรามาถึงในช่วงใกล้
ค่ำมืดและเริ่มมีผู้คนทยอยมาหามุมเหมาะ ๆ ที่พอจะให้เห็นการแสดงได้ง่าย บ้างก็นั่งลง
บนพื้น บ้างก็ยืนชะเง้อเอาจากข้างเต็นท์
เด็กบางรายแต่งตัวด้วยชุดที่เป็นพื้นเมือง พวกเขาสวมหมวกแบบชาวหิมาจัล
บ้างก็เป็นแบบแถบสีเขียว แดง หรือมีลวดลายจากการทอ แต่ก็ยังมีอีกรูปแบบ
ที่เป็นสีเข้ม และดูเหมือนจะติดสัญลักษณ์ที่พับจีบเป็นทรงกลมคล้ายดอกไม้
ติดอยู่ที่ด้านหน้า ดูแปลกตาดี...เป็นรูปแบบหมวกของชาว Lahaul ย่านที่เป็น
บ้านใกล้เรือนเคียงกับ Spiti นั่นเอง
เสียงอึกทึกจากบนเวทีมาจากการเช็คครื่องเสียงและซักซ้อมลองไมค์ มีจอฉาย
โปรเจคเตอร์ถูกตั้งไว้ทางฝั่งขวามือ ฉายภาพสถานที่ ทิวทัศน์และการแสดงพื้นบ้าน
คั่นสลับกันไปมา พิธีกรบนเวทีดำเนินรายการเป็น ภาษาฮินดี ถึงฟังไม่ค่อยออกเราก็
พยายามเงี่ยหูฟังตลอดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเพื่อจับเสียงให้ได้ว่าเมืองนี้มันควรเป็น
กาซ่า หรือ กาจ้า 
มีการสร้างบรรยากาศร้องเพลงแสดงดนตรีเพื่อเปิดงาน ก่อนจะเริ่มมีการเคลียร์
พื้นที่บริเวณด้านหน้าโดยผู้หญิงในเครื่องแบบ (ไม่แน่ใจว่าเป็นตำรวจหรือเปล่า)
เธอพยายามจัดผู้คนให้เขยิบร่นออกห่างจากเวที เว้นระยะให้กับการแสดงท้องถิ่น
ที่ต้องล้อมวงเต้นเปิดงานด้านล่าง เพราะไม่สามารถใช้พื้นที่บนเวทีที่มีจำกัดได้
ผู้คนที่มานั่งร่วมชมงานก็เต็มไปด้วยชาวบ้านท้องถิ่น มีคนต่างชาติบางส่วนเข้ามา
ร่วมวงด้วย บางรายก็ดูว่าอินมาก ถึงกับซื้อผ้าคลุมผมแบบสาวชาวสปิติมาโพกคลุม
ศีรษะ จนดูกลมกลืนไปเลยอย่างเช่นสองสาวชาวรัสเซียที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหน้าถัดไป
ช่วงที่น่าตื่นเต้นคงหนีไม่พ้นการจับเลขรางวัล ลุ้นรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอื่น ๆ
ดูเขาลุ้นกันแล้วก็น่าสนุกดี หลังจบการแสดงท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฯ ก็เปิดพื้นที่
ให้เขยิบเข้าใกล้เวทีมากขึ้น ซึ่งเราก็ขยับย้ายไม่ทันเขาแล้วนะ แทบต้องนั่งมอง
และเก็บภาพจากจุดเดิมจุดเดียวตลอดงาน ...แน่นอนว่า ปัญหาเดียวของเราก็คือ
เลนส์กล้องที่มีอยู่ ณ ตอนนั้น มันซูมไม่ได้ ก็จะแอบเซ็งนิด ๆ
ถ่ายวีดิโอมาค่อนข้างเยอะ เอนทรี่นี้จะแทรกคลิปไว้นะคะ Fix lens กับภาพระยะไกล
นี่ไม่ไหวจะเคลียร์จริง ส่วนภาพบนเวทีถ้าไม่ครอปออกก็จะเห็นแต่หัวคนสวมผ้าคลุม
เด่นเป็นสง่าแย่งซีนไปเลยแหละ

⭗ ชาวเมืองที่มารอชมงานแสดงบนเวที รวมถึงรอจัดสลากลุ้นรางวัลในช่วงหัวค่ำ

⭗ โซนที่นั่งพิเศษสำหรับ V.I.P. และบุคคลทั่วไปถัดจากนั้น (ดูห่างเกินไป จับภาพบนเวทีลำบากเราเลยต้องมานั่งที่พื้นล่าง)

⭗ การแสดงแรกที่ใช้เปิดงานคืนนี้อย่างเป็นทางการ
[คลิป] : https://www.youtube.com/watch?v=renXK9R_OOw
หลังจากนี้ก็จะเป็นการแสดงของเด็กนักเรียน โดยมากก็จะเปิดเพลงเต้นกัน
การแต่งกายก็จะเป็นรูปแบบของกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในรัฐหิมาจัลประเทศ ละแวก Spiti - Kinnaur
และ Lahaul อย่างไรก็ดี มีกลุ่มการแสดงของเด็กต่างถิ่นอย่าง ชาวเนปาล อีกด้วย พวกน้อง ๆ สวมชุดเหมือน
ส่าหรีแล้วเต้นละม้ายคล้ายอินเดียที่สุดแล้ว--ถ้าให้เทียบกับกลุ่มอื่น (ฮา) ทราบมาว่ามีลูกหลานของคนเนปาล
ที่เข้ามาทำงานอยู่แถวนี้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย

การแสดงของกลุ่มนักเรียนฝั่ง Lahaul
[คลิป] : https://www.youtube.com/watch?v=JDuqBXZXm7A

การแสดงของกลุ่มนักเรียนฝั่ง Kinnaur
[คลิป] : https://www.youtube.com/watch?v=Ev0_U_-VHVI

การแสดงของกลุ่มไหนก็ไม่รู้นะ เนี่ย...ไม่ตั้งใจฟังเสียงประกาศเอาซะเลย ^^
จะเห็นว่าบนเวทีมีนักบวชยืนอยู่ ไม่ใช่ว่าเข้าไปร่วมแสดงหรอกนะ
แค่เอาผ้าคะตักผืนขาวไปคล้องอวยพรให้กับกลุ่มนักดนตรีเท่านั้น
[คลิป] : https://www.youtube.com/watch?v=Dwf49MlDxB4
ละครสั้น ใจความสั้น ๆ ที่ลองถามถึงเนื้อหาโดยรวม พวกเขาสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่สปิติกำลัง
เผชิญ เช่น คำแนะนำการทำไร่นาด้วยวิถีประหลาดจากคนนอกพื้นที่ เยาวชนโดนชักจูงไปในทางที่ผิด
ปัญหายาเสพติด เป็นต้น
[คลิป] : https://www.youtube.com/watch?v=9IyZw3ZCW5Y
การแสดงของกลุ่มนักเรียน ที่เราชอบที่สุดก็น่าจะเป็นอันนี้
พวกเขาใช้เสียงเพลงประกอบที่ล้อมวงร้องกันตรงขอบเวที (มุมซ้าย)
รูปแบบการเต้นของย่านนี้ ก็มักจะเป็นการล้อมวงและใช้เท้าก้าวย่ำตามจังหวะเพลง
ท่วงท่าจากมือไม่ค่อยมีบทนำเท่าไหร่ อาจมีใช้คล้องแขนบ้างในบางช่วง ทำนองดนตรี
พื้นบ้านแถวนี้ต่างไปจากที่อื่น ๆ ในอินเดีย คุณอาจไม่ได้ยินเสียงเครื่องสายอย่างซีตาร์
ดีดคลอ หง่าว ๆ หรือกลองทาบล้าดังประสาน ตึ้ม ตึ่ม ๆๆ อยู่ในนั้น แต่เวลาที่ได้ฟังแล้ว
คุณจะนึกออกได้ทันทีเลยล่ะว่าเป็นทำนองเพลงจากพื้นที่ไหนกัน
พอถึงช่วงท้าย ๆ ที่เหล่าการแสดงของนักเรียนหมดลง ผู้คนบางส่วนที่มาดูลูก ๆ หลาน ๆ
ก็พากันเดินจูงมือกลับบ้าน จำนวนผู้คนลดหายไปแต่ก็ไม่มาก กลุ่มที่ยังคงปักหลักก็เยอะ
อยู่นะ เราลุกเดินมาออกจากที่ตรงนั้น มาหาของกินเล่นที่มีขายตามแนวอัฒจันทร์ปูนใน
โซนจัดงานนี้ เก้าอี้บางส่วนถูกยกออกไป แทบไม่มีใครนั่งในซุ้มกันแล้ว หลังใช้เวลาครู่
หนึ่งปรับเครื่องเสียงและผู้ดำเนินรายการ เวทีนั้นก็กลายเป็นการเปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ แทน
ผู้คนที่รอช่วงเวลานี้เตรียมวอร์มเสียงร้องคลอตาม ขยับเท้า และเต้น กันอย่างครึกครื้น
ปนเปไปทั้งชาวเมืองและผู้คนต่างถิ่น ในค่ำคืนสุดท้ายของงานเทศกาล แน่นอนว่าพบ
เจอคนกลุ่มไหนยืนล้อมวงย่ำเท้าเต้นกัน พวกเขาคงเป็นชาว Himachali เป็นแน่แท้
[คลิป] : https://www.youtube.com/watch?v=A7kTuoYUFpk
ก่อนออกพ้นจากบริเวณนี้ดูเวลาก็ปาไปสามทุ่มกว่า เสียงเพลงที่ดังไล่หลังมายังคงดังอยู่ไม่ขาดสาย
นักร้องนำอาจเป็นศิลปินท้องถิ่นที่เป็นที่รู้จัก ดูท่าทางแล้วค่ำคืนนี้ยังคงอีกยาวไกล ร้านขายไวน์และ
เหล้าก็ยังเปิดทำการอยู่เลย เอ๊ะ...สำหรับชีวิตคนในเมือง ฟังดูแล้วก็คงบอกว่า 'ก็ปกตินี่'
แต่ในมุมมองของเรามันกลับย้อนไปหาความรู้สึกแรกที่เคยมีต่อที่นี่ เมืองกลางหุบเขาที่เคยเงียบสงัด
ตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ช่วงเวลาที่เหมือนกับถูกพาหลุดออกมาอยู่อีกโลกครั้งนั้น มันไม่ได้กลับออกมาทัก
ทายอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย ... เอาน่า เราแค่ไม่เคยเดินทางมาในฤดูท่องเที่ยวแบบนี้ และหากความบันเทิง
ที่นานทีปีหนชาวเมืองเขาจะได้ครื้นเครงกันบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
SPITI 2014
หนึ่งทุ่มแล้ว นอนหลับกันหมดทั้งหมู่บ้าน
ช่างเป็นที่ ๆ เงียบสงัดที่สุดในโลก
.....
SPITI 2019
สี่ทุ่มแล้วววว ร้องรำทำเพลงกันลั่นงานอยู่เลย