จาก Hanu Gongma รถโดยสารได้ย้อนกลับไปยังถนนเส้นเดิม ผ่านค่ายทหาร
ที่ชื่อว่า Aryan Valley Camp ตรง Hanu Thang แต่ขากลับไหงไม่มีวี่แววให้
ต้องเดินลงไปแสดงตัว กระทั่งมาถึงด่านตรวจ Khaltsi ที่เคยชี้เป็นชี้ตายกับเรา
เมื่อวานนี้
รถได้จอดที่ฟากถนนฝั่งตรงข้าม ลุงกระเป๋ารถฯ เดินลงไปยัง Check-post เพื่อ
ลงแจ้งบันทึกการเดินทาง เข้า-ออก ของรถโดยสาร ฉันถูกเรียกให้ลงจากรถ
เพื่อตามติดไปด้วย แต่ยังไม่ทันจะก้าวข้ามถนนก็ได้ยินเสียงตะโกน “โอเค ๆ”
ลั่นมาจากเจ้าหน้าที่สองนายที่หันมามองตามการชี้บอกของกระเป๋ารถเมล์จาก
นั้นแกก็โบกมือส่งสัญญาณให้ฉันกลับขึ้นไปนั่งรถบนรถได้เลย ไม่ต้องข้ามถนน
มาแสดงตัวแล้วเมื่อลุงกระเป๋ารถเมล์จบภาระกิจตรง Check-post ของ Khaltsi
ตัวรถก็เคลื่อนตัวออกไปจากจุดตรงนี้เพื่อมุ่งหน้ากลับเลห์ ที่ ๆ ฉันยังไม่อยากกลับไป
“ตกลงได้รึยังว่าจะไปที่ไหนต่อ?”
เมื่อมาถึงจุดจอดพักรถที่ตัวเมือง Khaltsi คนบนรถหลายคนต่างก็เดินลงไปหา
น้ำชาดื่มไม่ก็ลงกันที่นี่เพื่อต่อรถไปยังเมืองอื่น...พอลุงกระเป๋ารถฯ เดินเข้ามา
ถามถึงจุดหมาย ฉันก็เลยต้องปรึกษาแกตามเคย ถึงการไปหมู่บ้านที่ชื่อว่า
Hemis Shukpachan ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากนี้
ภาพบนแผนที่ฉบับแจกจ่ายของสำนักงานท่องเที่ยวของทางการเลห์ มันก็ไม่
ได้ลงรายละเอียดมากพอให้ได้เห็นความซอกแซกบนพื้นที่ดีนัก เส้นทางที่เป็น
จุดเชื่อมระหว่างหมู่บ้านนั้นกับถนนเส้นหลัก (NH-1) จะถูกโยงไปถึงกันได้ยังไง
หากต้องลงเดินทางไกลในตอนนี้ (กรณีไม่มีรถ) ก็อาจคิดหนัก เพราะเที่ยวนี้ฉัน
ไม่ได้เตรียมตัวเพื่อมาเทรกเลยนะเฮ้ย!
“ถ้าถึงแล้วจะบอก” ลุงกระเป๋ารถเมล์ พูดมาแค่นั้น
เฮ้!...ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับความไว้วางใจล้วน ๆ สินะ
(hey! เป็นคำอุทานแบบชาวลาดัก ซึ่งจะหมายถึง wow! แบบในภาษาอังกฤษค่ะ)

ป้าย Hemischu

เป็นจุดลงรถประจำทางที่ ลุงกระเป๋ารถเมล์เรียกให้ฉันลง ที่นี่มีแต่แนวต้นไม้ เพิงร้านขาย
ของชำ และรถสิบล้อที่จอดล้างโดยโชเฟอร์ที่มีลักษณะหน้าตาเหมือนมาจากทางปัญจาบ

หลักกิโลเมตร ที่แจังให้รู้พิกัดของบริเวณนี้ว่าอยู่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ มันอยู่เลยมา
จาก Nurla 8 กิโลเมตร และถัดไปจากนี้อีก 15 กิโลเมตร คือที่ตั้งของ Saspol

แม่ชี ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับรถยนต์คันสีขาว
ถัดเลยมาจาก Nurla 8 กิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงลุงกระเป๋ารถเมล์ผิวปากส่ง
สัญญาณให้คนขับรถหยุดตรงป้าย Hemischu แกเดินมาเรียกฉันให้ลงตรงจุด
ดังกล่าว พร้อมกับชี้ไปยังเพิงขายของเล็ก ๆ ริมถนน มีรถยนต์คันขาวจอดอยู่
และในเวลานั้นก็มีชายคนหนึ่งกำลังยืนซื้อของ เขาใส่เสื้อเชิร์ตมีเสื้อกั๊กทับอีก
ชั้น นุ่งกางเกงแสลค และสวมหมวกปีกที่มีผ้าคาดด้านบนพิมพ์ตัวอักษรหราว่า
THAILAND
“เดินไปที่รถคันสีขาว ผู้ชายคนนั้นจะพายูไปส่งที่ Hemis Shukpachan”
ฉันลงตรงรถจากที่นั่น ได้ยินลุงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนเรียกเพื่อนของเขาแว่ว ๆ
ก่อนที่รถจะเคลื่อนพ้นไปจากสายตา ถึงเรื่องที่พักในหมู่บ้าน ทั้งสองโบกมือ
และพูดส่งภาษากันครู่เดียว เป็นอันรู้เรื่องว่าฉันจะต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านดัง
กล่าวกับผู้ชายคนนี้ รวมถึงแม่ชีอีกหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกัน (ซึ่งน่าจะเป็นญาติ
ของเขาเอง)

รถไม่วิ่งไปตามเส้น NH-1 แต่กลับลัดเลาะไปทางเส้นถนนที่พาขึ้นไปยังภูเขาด้านบน

หลังจากนั่งรถผ่านพื้นที่ภูเขามาเรื่อย ๆ เกือบ 15 นาที ก็เริ่มเจอแนวกำแพงที่สร้างตรงไหล่
ทาง คงจะมีที่ตั้งของหมู่บ้านไม่ก็สถานที่บางอย่างข้างหน้า

เราลงรถกันที่หน้าสวนของอาซังเล (คุณลุง) ครู่หนึ่งก่อน แกจะแวะมาเก็บลูกแอพริคอต
จากสวนไปฝากคนที่บ้าน ที่สวนแห่งนี้มีทั้งแอพริคอต วอลนัท แล้วก็แอปเปิ้ล ค่ะ

สิ่งก่อสร้างด้านบนไม่รู้คืออะไรนะ ดูเหมือนกับยุ้งฉาง ไม่ก็คอกสัตว์ ตรงด้านบนหลังคา
เริ่มมีมัดฟางมาสุมวางทับกันแล้ว (หากเป็นฤดูหนาวบรรดามัดฟางเหล่านี้จะถูกนำมาเลี้ยงสัตว์)

แอพริคอต ที่หยิบเก็บมาใส่ถัง ถึงอาซังจะบอกให้เก็บกินได้เท่าที่อยากเอาไป
แต่ในกระเป๋าผ้าของฉัน มีผลไม้เต็มแน่นมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว และดูเหมือนว่า
จะไม่สามารถกินหมดไปง่าย ๆ เพราะเมื่อเอาไปแจกให้คนบนรถกินระหว่างเดินทาง
ฉันมักจะได้ปันส่วนอื่น ๆ แลกกลับคืนมาเสมอ โดยเฉพาะช่วงฤดูเก็บเกี่ยวก็มีกินเหลือเฟือ
แบบนี้สมดังคำกล่าวที่ว่า "ทุงโบ ซาโบ" (มีกินมีดื่มเหลือเฟือ) ซะจริง ๆ

เพิ่งเห็นวิธีเก็บ ใช้ไม้หวดตีกิ่ง ฟาดให้ลูกตกร่วงลงมาค่ะ (ทำไมเหมือนมาเก็บพุทราเลยเนี่ย!)

กลุ่ม Himalayan snowcock ที่วิ่งลงมาจากเขา อาซังบอกว่าพวกมันจะไปที่แหล่งน้ำกัน
พวกมันเป็นสัตว์ประจำถิ่น นอกเหนือจากนี้ยังมีสัตว์ขนิดอื่น ๆ อย่างเสือดาวก็ด้วย O_o!

พอเห็นสีเขียวของไร่นาและต้นไม้ ก็เดาได้ไม่ยากว่าเริ่มเข้าเขตหมู่บ้านแล้ว

ภาพเส้นทางเมื่อดูย้อนจากด้านหลังรถ

เจอกับชาวบ้านที่รู้จักกับลุงและแม่ชี พวกเขาได้หยุดทักทายกัน
ฉันนั่งรถมากับคนแปลกหน้า(และแม่ชีอีกหนึ่ง) จากการฝากฝังของลุงกระเป๋า-
รถเมล์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน โดยอาศัยติดรถตรงกลางทางเพื่อตรงไปยัง
หมู่บ้านชื่อยาวเฟื้อย และถึงจะมีคำขึ้นต้นว่า Hemis เช่นเดียวกับ วัดเฮมิส
แต่ว่าทั้งสองพื้นที่ก็ตั้งอยู่ไกลห่างจากกันคนละทิศละทาง
ความจริงแล้วฉันไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้หรอก เพราะไม่ใช่สถานที่
โด่งดังหรือเป็นที่รู้จักแบบเอิกเกริก ขณะที่อยู่ในตัวเมืองฉันไปได้ยินชื่อนี้จาก
ชาวต่างชาติที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครขององค์กรหนึ่งในเลห์ เล่าถึงพื้นที่ ๆ ได้
ไปเกี่ยวข้าวกันกับพรรคพวก พร้อมข้อแนะนำบางอย่าง "ถ้าอยากเห็นลาดัก
จริง ๆ เธอต้องออกไปที่หมู่บ้าน...ไปเรียนรู้จากที่นั่น"