ที่แรกว่าจะพาเดินตลาดก่อน บังเอิญการเดินทางเที่ยวนี้คุณนิดเป็นพลขับย่านั่งยาวๆงีบมาในรถจนอิ่ม กลางคืนเลยนอนไม่หลับ แล้วห้องนอนของเราก็ติดกันพิธิภัณฑ์ซึ่งท่านเจ้าของบ้านเปิดไฟทิ้งไว้ให้ชมช่างโชคดีจริงๆชมพิพิธภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจก จากลับแลกันกลางดึกกันเลยทีเดียว ดีเหมือนกัน ไปชมกันเลยค่ะ-------ซิ่นตีนจกโบราณโคมไฟหมอน และอุปกรณ์การทอผ้าตู้บรรจุผ้าทอโบราณภาพนี้ครูต๋อม ประธานกลุ่มบังใบมอบให้คุณ กัญญาวีร์พระบรมฉายาลักษณ์ซิ่นลับแลอายุประมาณ๕๐ปีทุกชิ้นถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามกรอบรูปสลักเสลาเป็นช่อกุหลาบสวยงามclose up ซิ่นตีนจก สวยมหัศจรรย์close up ลายที่หมอนน่าจะเป็นลายหงส์close up ซิ่นตีนจกโบราณ จากภาพแรกภาพตกแต่งที่ผนังหุ่นโชว์ผ้าซิ่นตีนจกบทประพันธ์ของอ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์***เซ็นต์สมุดเยี่ยมเครื่องปั่นด้ายลวดลายวิจิตร ขออภัยแสงน้อยมากมุมไหนๆก็สะท้อนกระจกสวยหมดตั้งผ้า,ตู้และหมอนพิธิภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจกที่ม่อนลับแลวิถีการซอเมืองลับแลงสมัยก่อน ชาวลับแลง หรือ ว่าชาวลับแล ขับซอกันระบำใดบ้างนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดจากพระราชหัตถเลขา ของรัชกาลที่ ๕ เมื่อคราว เสด็จเยือนเมืองลับแลนั้น กล่าวว่า การละเล่นของชาวลับแลนั้น กล่าวว่า ในตอนหัวค่ำ ได้มีราษฏร กลุ่มหนึ่ง มาแสดง การร้องเพลงโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง ที่เรียก ว่า ---ว่าเหล้น---นี่เป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์ อักษรชิ้นแรก ของ เมืองลับแลง หรือ ลับแล ในอดีต ชาวลับแล นิยมเรียกซอ ว่า ยิ้น ซึ่งปัจจุบัน ไม่มีใครใช้คำนี้ แล้ว จะเห็นได้ว่า ชื่อของการขับลำนำนั้น จะแบ่งเป็น สามชื่อ คือ ยิ้น ว่าเหล้น และก็ ซอจากการสอบถามคนเฒ่า คน แก่ พบว่า ซอ นั้น มักจะนิยมเล่นกันในงานมงคลต่างๆ รวมถึงเวลาขอฝน และ งานเข้าทรงผีอารักษณ์หลักเมืองต่างๆ ก็จะใช้ซอ สื่อสารกับผีอารักษณ์ หลักเมืองซึ่งถือ ว่า เป็นเพลงที่ใช้ในพิธีกรรม ได้เช่นกันการซอนั้น จะซอเข้า ปี่จุม ๓ หรือ ๕ ไม่นิยมซอเข้าซึง หรือว่า สะล้อ หรือ ที่ชาวลับแลง เรียกว่า-หม่าล้อสีซอ- จนมีคำติดปากว่า -หลู้หลี้ช่างปี่- คือ เจ้าชู้เหมือนช่างปี่ เป็นต้นช่างซอผู้ชาย สมัยก่อนนิยมใส่ผ้าต้อย หรือ ถ้าอย่างหรู ที่เป็นงานใหญ่ จะนิยมใส่ผ้าม่วง และมีผ้าคล้องใหล่ เป็นต้น ลักษณะการขับซอ นิยมมีคู่ถอง หกญิง ชาย และที่พิเศษ คือ มี ช่าง ซอ ๓ คนหรือ ที่เรียกว่า -ซอสามขอน-เวลาขับซอ ช่างซอ จะนิยมคีบดอกไม้ใว้ในมือทั้งสองข้าง หรือ จะเป็นใบเล็บครุฑก็ได้ แล้ววาดแขนฟ้อนไปมา ไม่มีการยืนฟ้อน ในขณะที่เว้นจังหวะ ให้ปี่บรรเลง ช่างซอ ก็จะฟ้อน แวดผาม โดยการนั่งเข่าฟ้อนไปรอบวง หรือ นั่งยองๆ ไม่มีการลุกขึ้นยืนฟ้อนโดยเด็ดขาด และ ไม่มีการฟ้อนแง้นด้วยซึ่งทางช่างซอ เมืองลับแลง ให้ความเห็นว่า เป็นการฟ้อนที่ไม่สุภาพ ในบางโอกาสก็มีการลุกขึ้นฟ้อนด้วย หลังจากจบบทซอใหว้ครู แต่เป็นการยืนฟ้อน ไม่มีการก้าวขา หรือ เดินฟ้อนเลยระบำซอ ที่นิยมเป็นพื้น นั้น ช่างซอ เรียกว่า ซอดาด หรือ ซอลับแลง ซึ่งจะเป็นการซอที่ใช้เสียง เอื้อนยาว และเล็กแหลม อาจจะมีการเปลี่ยนทำนอง เป็นระบำเมืองน่าน บ้าง ตามเหมาะสม ในสมัยหลังก็จะมีซอ จากเมืองเชียงใหม่เข้ามามีบทบาท เช่น ซอ นางบัวคำ ซอเก็บนก เป็นต้นซึ่งบทซอเหล่านี้ ถือ ว่าเป็นการขับซอ แบบ จิปาถะ หรือ เรียกว่า -ซอขี้เหล้า (หรือ อาจเข้าข่ายที่ เรียก ว่า --ว่าเหล้น-- ก็เป็นได้ ) ไม่นิยม มาขับในพิธีกรรมต่างๆที่เป็นทางการ-----ปัจจุบันนี้ คาดวา ไม่มีช่างปี่ หลงเหลืออยู่แล้ว จะมีแต่ช่างซอ ที่ลาผาม หรือ สมัครเล่นแล้วเท่านั้นปัจจุบัน ในพิธี สรงน้ำลักษณ์ หลัก เมือง หรือ เรียกว่า - แห่น้ำขึ้นโรง-- ก็จะมีการซอครั้งหนึ่งโดยช่างซอ ดังที่กล่าวไว้แล้วนั้นตั้งกระทู้โดย : โยนกบุตรพันตน , 2548-12-16 / 11:10:22 IP :203.170.255.249//www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=22548ขั้นตอนการรังสรรสีเมื่อได้กำหนดสีที่จะใช้ทอแล้วชาวบ้านจะไปหาวัสดุธรรมชาติ ที่ได้จากผลไม้ และพรรณไม้ในท้องถิ่นเพื่อเข้าสู่วิธีการย้อมตามภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ได้สืบต่อกันมา หากต้องการสีอ่อนจะย้อมเพียง ๑-๒ ครั้ง และหากต้องการสีเข้ม สามารถเพิ่มน้ำหนักความเข้มของสีด้วยการเพิ่มจำนวนครั้งในการย้อมหลังจากที่ตากแห้ง หลังจากได้สีที่ต้องการแล้ว เพื่อการติดคงทนของสีที่ย้อม ชาวบ้านนิยมนำมาต้มกับน้ำส้มป่อยและวัตถุธรรมชาติอื่นๆ ก่อนนำไปทอขอบคุณคุณกัญญาวีร์ ศิริกาญจนารักษ์ ที่ให้ย่าได้พักห้องลูกสาวของเธอ ลายผ้าห่มสวยหวานมากค่ะกลับมาได้ทันดูช่องทรู ก่อนนอนโคมไฟที่หัวเตียง ชอบช้างหมอบเซอรามิคจังต้องนอนแล้ว เกรงใจคุึณนิดเหนื่อยขับรถมาทั้งวันเช้าแล้วพวกเรานัดคุณรัศมีแต่เช้าเพราะจะไปดูหมอกกัน หนูมิ้นท์นอนห้องเดี่ยวถัดไป ได้เวลารวมพลที่ห้องเรา แต่บังเอิญฝนตกหนัก การขึ้นภูเขาไปดูหมอกก็เลยต้องพับไป รอสายหน่อยค่อยไปตลาดกัน
----------
ขอบคุณ คุณกัญญาวีร์ ศิริกาญจนารักษ์ คุณธีรภาพ โลหิตกุล และ คุณรัศ เสือน้อย เป็นอย่างยิ่งที่เปิดโลกทัศน์ให้ได้เห็นแง่มุมงามๆ ณที่แห่งนี้----------
มนต์เสน่ห์ ลับแล ชมงานประเพณีค้างบูยา สัมผัสวิถีชาวบ้าน ตอนที่ 1 ม่อนลับแลมนต์เสน่ห์ ลับแล ชมงานประเพณีค้างบูยา สัมผัสวิถีชาวบ้าน ตอนที่ 2 วิธีทำค้างบูยาลิงค์ของคุณนิดนรี(ภาษาหลากสี)ชุมชนลับแล เมืองวิถีพุทธ ในอ้อมกอดของภูเขา ตอนที่ 1 วิธีธรรมชาตินำชุมชน ชุมชนลับแล เมืองวิถีพุทธ ในอ้อมกอดของภูเขา ตอนที่ 2 วิธีธรรมชาตินำชุมชน ชุมชนลับแล เมืองวิถีพุทธ ในอ้อมกอดของภูเขา ตอนที่ 3 วิธีธรรมชาตินำชุมชน ขอบคุณ คุณธีรภาพ โลหิตกุล คุณกัญญาวีร์ กาญจนรักษ์ และ คุณรัศมี เสือน้อย ที่เปิดมุมมองณที่แห่งนี้ให้ย่าได้รู้จักค่ะ
ด้วยผ้าซิ่น กับเสื้อพื้นเมือง เด็กชายก็เช่นกัน นุ่งกาง
เกงขาก๊วย ไม่แน่ใจว่าวันศุกร์หรือวันพฤหัส
ดูสวยงาม ยิ่งมาเห็นผ้าข้างบน สวยจริง ๆ
ห้องพักน่าพักมากครับ