เรือ Sagres มาเจริญสัมพันธไมตรีครบรอบ 500 ปี ระหว่างไทยกับชาติโปรตุเกส ตอนที่ 2
ตอนที่ 1หากยังไม่ได้ชมคลิ๊กค่ะมาต่อกันตอนที่สองค่ะ
ลำใหญ่มากไม่สามารถจะเก็บหมดได้ โซนหัวเรือก็ปิดไม่ให้เดินผ่าน
จึงจำเป็นต้องถ่ายจากทางท้ายเรือ
เอาใหม่ ขยับหาจังหวะถ่ายให้สวยงามหน่อย
เชื่อมต่อสัมพันธ์ น่าเสียดายรูปนี้ธงไทยอยู่ไกลไปหน่อย
ชมเรือ
ชมเรือ
แต๊กกับวิวท้องน้ำข้างเรือ
วิวข้างเรือ
สะบัดพริ้ว
ใหญ่โต
ท่าเรือ
เรือเดินสมุทรกับเครนลำเลียงสินค้า
ท้องน้ำสุดลูกหูลูกตา
เด็กน้อยน่ารัก
เก็บภาพ
อะไรหว่า
แหงนคอตั้งบ่า
....
พุ่งสู่ฟ้า
ใครเชี่ยวชาญภาษามาบรรยายหน่อย
ถ่ายรูปกันหน่อยจ้า ...
เครื่องวัดอะไรซักอย่าง
นี่ก็ไม่รู้...
ธงสะบัดทักทายสายลม
สั่นกระดิ่ง จุดนี้ใครๆก็มาถ่าย
โบร์ชัวร์บนเรือ
เรือลำเล็ก
ต้อนรับแขกคนสำคัญ
ลงจากเรือแล้วค่ะ
จากนั้นก็หาทางไปยังมุมที่พอจะเก็บภาพจากหัวเรือได้
กำลังจะกลับขึ้นรถแล้ว เปิดไฟพอดีขอจอดรถลงไปถ่าย คนเฝ้าประตูบอก
หมดเวลาแล้วเข้าไม่ได้ ไม่เข้าหรอกค่ะขอลงไปถ่ายตรงด้านหน้านี่หน่อย
งั้นก็โอเค...คร้าบ เลยได้ช๊อตสุดท้ายมาแบบวินาทีสุดท้าย
บ๋ายบายค่ะ ...หวังว่าคงชอบนะคะ
เอาลิงค์สาระมาให้อ่านอีกแล้ว ขอบคุณ อุบล ชาญปรีชาสมุทร
ซากรืช"ทูตสันถวไมตรีมาเยือนไทย
วันพุธ ที่ 13 ตุลาคม 2553 เวลา 0:00 น
หากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศโปรตุเกสมีมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปี พ.ศ. 2554
จะครบรอบ 500 ปี แห่งความสัมพันธ์ไทย-โปรตุเกส ประเทศโปรตุเกส เป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เริ่ม
เข้ามาติดต่อกับประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2054 โดยอะฟงซู่ อัลบูแคร์ อุปราชโปรตุเกส
ประจำอินเดีย ได้ส่ง ดูอาร์ต ฟือร์นันดืช มาเป็นทูต ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
โดยทั้งสองประเทศได้มีการติดต่อค้าขายและร่วมมือกันหลายด้านด้วยดี สมเด็จพระไชยราชาธิราชได้
พระราชทานที่ดินแก่ชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า บ้านโปรตุเกส
และต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชทานที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ให้แก่โปรตุเกส เมื่อปี พ.ศ. 2363 อันเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสในปัจจุบัน
ดังนั้นประเทศโปรตุเกสจึงนับเป็นประเทศยุโรปที่มีความสัมพันธ์กับไทยมานานที่สุดเกือบ 5 ศตวรรษไทย
และโปรตุ เกสได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทาง การทูตเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ปี พ.ศ. 2402 ซึ่งทั้งสองประเทศ
ได้ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรี การพาณิชย์ และการเดินเรือ (Treaty of Friendship, Commerce and
Navigation) ในปี พ.ศ. 2524 ประเทศไทยได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตขึ้นเป็นครั้งแรก ณ กรุงลิสบอน ส่วน
โปรตุเกสเข้ามาตั้งสถานกงสุลที่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2361 ซึ่งนับเป็นสถานกงสุลแห่งแรกในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและโปรตุเกสดำเนิน ไปด้วยความราบรื่นและไม่มีปัญหา
ขัดแย้งระหว่างกัน แต่เมื่อโปรตุเกสยังคงผูก พันนโยบายและผลประโยชน์ของตนอยู่กับสหภาพยุโรปอย่าง
เหนียวแน่น ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคี ระหว่างไทย-โปรตุเกสไม่ได้พัฒนามากเท่าที่ควร ถึงแม้ว่าประเทศ
โปรตุเกสเป็นชาติแรกที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองกับประเทศไทยตลอดยาวนานเกือบ 500 ปีก็ตาม
ประเทศโปรตุเกสให้ความสนับสนุนแก่อาเซียนและไทยตลอดมาในปัญหาสำคัญ ๆ ซึ่งปัจจุบันปัญหาติมอร์
ตะวันออกที่เคยเป็นอุปสรรคในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่าง โปรตุเกสกับไทยและประเทศต่าง ๆ ใน อาเซียน
ตลอดช่วง 2 ทศวรรษได้หมดไปแล้ว และทั้งไทยและโปรตุเกสพยายาม ร่วมมือกันมากขึ้นในการฟื้นฟูติมอร์
ตะวันออก และผลักดันอาเซียนและสหภาพ ยุโรปเพิ่มความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 6
เดือนแรกของปี 2000 ซึ่งโปรตุเกส ดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรป (EU Presidency) และไทยดำรงตำแหน่ง
ประธานคณะกรรมการประจำ อาเซียน (ASEAN Standing Committee: ASC)
ทั้งนี้ ประเทศโปรตุเกสเป็นประเทศแรกในทวีปยุโรปที่เดินทางด้วยเรือ ในปี พ.ศ. 2054 ซึ่งมีร่องรอยหลักฐานปรากฏ
อยู่ในสังคมไทย ฉะนั้นก่อนที่จะครบรอบ 500 ปี ความสัมพันธ์ไทยกับโปรตุเกส ในปี พ.ศ. 2554
เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ทางกองทัพเรือโปรตุเกส ได้นำเรือฝึกชื่อ ซากรืชที่ได้ชื่อว่า เป็นเรือใบที่สวยที่สุดในโลก
ลำหนึ่ง ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเดินทางรอบโลกของเรือซากรืช แวะมาเยือนประเทศไทย เพื่อเริ่มต้นการฉลองครบ
รอบ 500 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับโปรตุเกส
เรือซากรืช เป็นเรือใบสามเสา ตัวเรือยาว 90 เมตร กว้าง 12 เมตร น้ำหนัก 1,893 ตัน กินน้ำลึก 5.5 เมตร และ
ความสูงของเสาเรือ 45.5 เมตร เรือซากรืช ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ปี พ.ศ. 2480 โดยอู่ต่อเรือบริษัท Blohm&Voss
เมือง ฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี โดยกองทัพเรือเยอรมนี เดิมตั้งชื่อว่า อัลเบิร์ต ลี โอ ชลาเกเตอร์ ต่อมาช่วงสงคราม
โลกครั้งที่ 2 เรือ อัลเบิร์ต ลี โอ ชลาเกเตอร์ ถูกยึดครอง โดยกองทัพสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2488 ที่เบรแมนฮาเวน จากนั้น
ถูกส่งมอบให้กับประเทศบราซิล ใน ปี พ.ศ. 2491
จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2505 ประเทศโปรตุเกส ได้ขอซื้อเรือลำนี้จากประเทศ บราซิล เพื่อนำมาแทนที่เรือใบฝึกนักเรียน
นายเรือแห่งกองทัพเรือโปรตุเกสลำเก่าที่ชื่อว่า ซากรืช ทำให้เรือดังกล่าวในต่างแดนมักถูกเรียกชื่อว่า เรือซากรืชทู
เรือซากรืช ได้เข้าร่วมในกองทัพเรือโปรตุเกสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ปี พ.ศ. 2505 โดยมีการจัดพิธีการ
เป็นพิเศษ เพื่อชักธงแสดงสัญชาติโปรตุเกสขึ้นที่กรุงรีโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล จากนั้นได้มีการล่องเรือจากบราซิล
ในวันที่ 25 เม.ย. ก่อนเดินทางมาถึงโปรตุเกส ในวันที่ 23 มิ.ย.
หลังจากนั้นเรือซากรืช มีภารกิจใช้สำหรับการฝึกภาคทะเลและการฝึกอบรม ลักษณะผู้นำของอนาคตนายทหารเรือ
โปรตุ เกส นอกเหนือจากการศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่โรงเรียนนายเรือ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นทูตสัญจรของ
ประเทศโปรตุเกสในต่างประเทศ ระหว่างการเดินทางมาเยี่ยมเยือน 113 ท่าเรือ ใน 45 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศ
ไทยเป็นประเทศที่ 14 โดยเรือซากรืชจะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 8 เดือน ที่เดินทางรอบโลก ทั้งนี้เรือซากรืชเดินทาง
สำเร็จลุล่วงไปแล้ว 2 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2521-2522 และปี พ.ศ. 2526-2527 สำหรับความโดดเด่นของเรือซากรืช
ก็คือ การชักใบและบังคับขับเคลื่อนด้วยกำลังคนเป็นหลักแทนการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งในการเดินทางมาของ
เรือซากรืชในครั้งนี้ ใช้คนจำนวน 150 คน ประกอบด้วยนักเรียนนายเรือจากโรงเรียนนายเรือโปรตุเกส 35 นาย และ
นักเรียนนายเรือต่างชาติอีก 15 นาย
นาวาโทเปดูร พรูเอ็นซ่า เม็งดืช ผู้บังคับการเรือซากรืช กล่าวว่า เรือซากรืชเป็นเรือใบที่สวยที่สุดลำหนึ่งในโลก การ
เดินทางมาเยือนประเทศไทยถือเป็นครั้ง แรก และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-โปรตุเกส และเป็น
สัญลักษณ์ในการเฉลิมฉลอง 500 ปี ซึ่งจะมีขึ้นในปี พ.ศ. 2554 นี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย มาร่วมชมเรือ
ลำนี้กันให้มาก ๆ โดยเรือ จะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ตั้งแต่ วันที่ 9-14 ต.ค.นี้ โดยจะเปิดให้คนไทยเข้าเยี่ยม
ชมได้ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. ทุกวันเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เยี่ยมชมความสวยงามของเรือใบที่สวยที่สุดในโลก
เมื่อเรือซากรืชเดินทางออกจาก ท่าเรือคลองเตย ประเทศไทย ก็จะเดินทางต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจด้านการฝึกภาคทางทะเล รวมทั้งการทำหน้าที่ทูตสัญจรกระชับความสัมพันธ์กับบรรดา
ประเทศที่เดินทางเยือนแล้ว เรือซากรืชจะเดินทางกลับกรุงลิสบอน ประมาณวันที่ 23 ธ.ค. 2553 โดยใช้เวลาเดินทาง
อยู่ในท้องทะเลรวม 11 เดือน เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้น 36,000 ไมล์ ทะเล.
อุบล ชาญปรีชาสมุทร : รายงาน
//www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=560&contentID=97609
แล้วย่าดาไม่เห็นถังน้ำ 3 ใบหรอค่ะ..ฮิๆ
คนเยอะเน้อะ..ตอนที่อ้อมแอ้มไปยังไม่เยอะเลย
ถ่ายรูปสบายมาก มีแต่เด็กฝรั่งไปดูกัน