... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
20 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 

Oxford (Love) Story... ได้เวลาเสียทีกับเรื่องรักๆ ของเรา (ตอนพิเศษของ Oxford Story)


ผ่านไปแล้วนะค้ากับตอนจบของ Oxford Story ขอบคุณทุกๆ คนเลยค่ะที่ติดตามกันตลอดมา ^___^ แม้ว่าความรักของนายสังเกตและหนูพื้งค์จะจบลงอย่าง happy ending แล้ว แต่อย่าลืมนะคะว่าทั้งสองยังเดินทางไปไม่ถึง Oxford Story เลย วันนี้โน้ตเลยมีตอนพิเศษที่ต้องเรียกว่าพิเศษสุดๆ มาฝากค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้เรื่องจบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนเลยด้วยนะคะ

ว่าแล้วมาอ่านกันเลยค่า ^^


#######################

เมื่อสายลมหนาวแวะเวียนมา ทั่วผืนฟ้าของออกซ์ฟอร์ดเหมือนถูกระบายด้วยสีเทาอมฟ้า แซมด้วยปุยเมฆสีควันบุหรี่เป็นระยะๆ เป็นบรรยากาศที่อาจจะมืดทึมและอึมครึมไปสักหน่อยสำหรับหลายๆ คน แต่ไม่ได้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มหน้าขรึมที่เดินอยู่ในซิตี้ เซ็นเตอร์ต้องพลอยหมองหม่นไปด้วย ตรงกันข้าม เขากลับมองว่าภาพเบื้องหน้าคือศิลปะที่ถูกสรรสร้างมาอย่างคลาสสิกที่สุด

“เฮ้อ...”

“เป็นอะไรไปน่ะพิ้งค์”

สังเกตถามเมื่อได้ยินเสียงคนข้างตัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับมีปัญหาให้กลัดกลุ้ม หากพิมพ์ชญากลับยิ้มร่าขณะเฉลยข้อข้องใจ

“พิ้งค์ไม่ได้เป็นอะไรหรอกจ้ะเกต พอดีมองเห็นบริดจ์ ออฟ ซายหส์ (Bridge of Sighs)* ข้างหน้า ก็เลยนึกอยากถอนหายใจขึ้นมาน่ะ”

“เฮ้อ...”

สังเกตเป็นฝ่ายระบายหายใจบ้างหลังจากได้ฟังคำตอบ เขาสั่นศีรษะยิ้มๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะได้รูปของคนรักด้วยความเอ็นดู

“ว้าย เกต ทำอะไรน่ะ ผมพิ้งค์ยุ่งหมดแล้วนะ” พิมพ์ชญาบ่นทั้งรอยยิ้มเต็มใบหน้า และไม่คิดที่จะแกะมือเขาออก

ผ่านมานานนับเดือนแล้วตั้งแต่วันที่สังเกตตามไป 'ง้อ' เธอถึงที่เมืองไทย หากพิมพ์ชญาก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความอุ่นใจที่เขามอบให้เธอในทุกๆ วัน

ความสัมพันธ์ของพิมพ์ชญาและสังเกตนับตั้งแต่กลับมายังออกซ์ฟอร์ดอีกครั้งเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก ...จริงอยู่ที่สังเกตไม่ได้พยายามทำตัวอ่อนหวาน ซื้อดอกไม้มาให้ ป้อนคำหวานให้ฟังเป็นกิจวัตร หรือมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ให้เธอได้กรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายตื่นเต้นดีใจ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกทั้งความเอื้ออาทร ความเอาใจใส่ (ในแบบดุๆ ของเขา) สร้างความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยให้กับเธอ ...ในทุกค่ำคืน แค่ได้รับรู้ว่าเขากลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว จิตใจของเธอก็รู้สึกถึงความสงบและผ่อนคลาย พร้อมที่จะหลับตาลงและนอนหลับฝันดี

อ้อ...แน่นอนว่าเธอต้องฝันดีในห้องนอนของตัวเองแหงอยู่แล้ว ส่วนสังเกตก็อยู่ในห้องของเขาเหมือนเดิมนั่นล่ะ แม้สถานภาพในการคบหากันจะเปลี่ยนแปลงไป ก็ไม่ได้แปลว่าสถานภาพการอยู่อาศัยภายในบ้านจะต้องเปลี่ยนตามไปด้วยสักหน่อย เรื่องนี้พิมพ์ชญาไม่เคยพูดกับชายหนุ่มตรงๆ (ใครจะไปกล้า) และทำตัวตามปกติ แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าผู้ชายที่ใช้ชีวิตอย่างจริงจังและมีระเบียบแบบแผนอย่างสังเกตเห็นด้วยที่จะให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนี้

“ทำเป็นถอนหายใจ รู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงเรียกว่าสะพานถอนหายใจ”

ทำไมจะไม่รู้ พิมพ์ชญานึก ...แต่เอาน่า ถ้าเจ้าตัวเขาอยากเล่า แกล้งทำเป็นไม่รู้สักหน่อยจะเป็นไรไป

“เอ พิ้งค์ไม่รู้เหมือนกันนะเกต ถ้าเกตรู้ก็เล่าให้ฟังหน่อยสิ”

“เพราะที่เวนิส สะพานนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นทางเชื่อมเข้าสู่คุกน่ะสิพิ้งค์ นักโทษทุกคนเลยจะได้เห็นบรรยากาศของเมืองเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายผ่านหน้าต่างของสะพานก่อนที่จะหมดอิสรภาพ ทุกคนก็เลยถอนหายใจ”

“อ้อ...”

“แล้วรู้ไหมว่าที่ออกซ์ฟอร์ดนี่ทำไมเราถึงเรียกว่าบริดจ์ ออฟ ซายหส์”

“อ้าว ก็เพราะมันสร้างขึ้นมาแบบเดียวกันกับของที่เวนิสไง เลยใช้ชื่อเดียวกัน ไม่ใช่เหรอ”

“จริงๆ แล้วก็ประมาณนั้นล่ะพิ้งค์ แต่นักศึกษาของฮาทฟอร์ด คอลเลจ (Hertford College) ชอบพูดกันเล่นๆ ว่าที่เขาเรียกกันว่าสะพานถอนหายใจเพราะเป็นสะพานที่ใช้เชื่อมระหว่างตึกเรียน พอถึงช่วงสอบ ทุกคนที่เดินข้ามสะพานก็เลยถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มก่อนเดินเข้าห้องสอบ...”

“แล้วพอสอบเสร็จ มาเดินข้ามอีกทีก็ถอนหายใจอีกเฮือกว่า เฮ้อ...ยากจริงๆ ใช่ม้า”

“รู้ดีจังนะ”

“แหงล่ะ มีสอบที่ไหนบ้างล่ะที่ไม่ยากน่ะ อุ๊ย...เกต ข้างหน้าเรานั่นแร้ดคลิฟฟ์ คาเมร่า (Radcliffe Camara) ใช่ไหม”

พิมพ์ชญาร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นในความสวยงามของสถาปัตยกรรมทรงโดมแบบบาโร้คที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับนักฟิสิกส์ชื่อดัง ดร. จอห์น แร้ดคลิฟฟ์ ซึ่งเคยใช้เป็นห้องสมุดมาก่อน

“ฉันขอแวะยื่นหน้าเข้าไปดูข้างในนิดนึงได้ไหมอ่ะ”

“เฮ้อ พิ้งค์” สังเกตถอนหายใจอีกครั้งแม้ทั้งคู่จะเดินพ้นบริเวณบริดจ์ ออฟ ซายหส์มาแล้ว “ลืมแล้วเหรอว่าวันนี้เราจะไปไหนกัน มัวแต่เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ แบบนี้เมื่อไรจะถึงสักทีล่ะ หือ”

“จ้าาาาาาา รู้แล้ว”


วันนี้เป็นวันที่พิมพ์ชญาและสังเกตตกลงกันอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องไปเยือนออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ ...สถานที่ที่เขาเคยสัญญาว่าจะพาเธอไปเที่ยวด้วยกันให้ได้ สาเหตุที่ต้องใช้คำว่า 'อย่างแน่วแน่' เป็นเพราะหลังจากที่กลับมาจากเมืองไทยด้วยกัน สังเกตก็อยู่ในภาวะที่ต้องคร่ำเคร่งกับการเรียนอย่างหนักเสียจนแทบจะไม่มีเวลาหายใจหายคอไปทำอย่างอื่น แม้แต่เวลารับประทานอาหารยังต้องอุ่นอะไรง่ายๆ ไปรับประทานที่โต๊ะอ่านหนังสือ จึงเป็นหน้าที่ของแฟนสาวผู้แสนดีอย่างพิมพ์ชญาที่จะต้องทำตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือน ช่วยดูแลงานบ้านและหัดประกอบอาหาร (ที่ไม่ยากเกินความสามารถ) สำหรับเขา และที่สำคัญคือให้กำลังใจเท่าที่พอจะทำได้ เพราะชีวิตการเรียนภาษาของเธอถือได้ว่าสบายสุดๆ จนเมื่อสังเกตปิดเทอมวินเทอร์ เบรก แล้วนี่ล่ะ ทั้งสองถึงได้มีเวลาเดินเที่ยวเล่นกันแบบคนรักทั่วไปบ้าง

แต่สาเหตุที่ทั้งคู่ยังไม่ได้เข้าชมออกซ์ฟอร์ด สตอรี่สักที เป็นเพราะพิมพ์ชญามัวแต่ขอแวะเข้าไปดูสถานที่ต่างๆ ที่เดินผ่านอยู่เรื่อย และทำให้สังเกตรู้ว่าคำว่า 'แค่ยื่นหน้าเข้าไปดูนิดนึงว่ามีอะไรบ้าง' ของหญิงสาวแปลว่า 'ฉันจะอยู่ที่นี่สักหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย' เขาถึงกับปฏิญาณตนว่าหากวันไหนพิมพ์ชญาชวนไปช้อปปิ้งเป็นเพื่อน เขาจะแกล้งป่วยนอนซมอยู่ในห้อง ไม่มีทางยอมไปด้วยเด็ดขาด!!


'ตกลงอยากไปจริงๆ หรือเปล่าเนี่ยพิ้งค์'

สังเกตถามเมื่อตอนที่ทั้งสองนั่งดูภาพยนตร์ด้วยกันในห้องนั่งเล่นเมื่อคืนนี้

'อยากสิ แต่ว่า...'

'แต่ว่าอะไร?'

'ไม่รู้สิ พิ้งค์แค่รู้สึกเขินๆ แกมตื่นเต้นที่จะไปน่ะ เหมือนกับว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราสองคนยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ความจริงก็รู้หรอกนะว่าออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ก็เป็นแค่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ทัชมาฮาลหรืออะไรแบบนั้นเสียหน่อย'

'โธ่เอ๊ย...สถานที่ก็คือสถานที่ เรานั่นแหละที่เป็นคนให้ความสำคัญกับมัน...'

พิมพ์ชญาเหลือบมองหน้าเขาด้วยแววตาตัดพ้อ ...ในเมื่อเธอให้ความสำคัญมากขนาดนี้ แล้วเขาไม่เห็นความสำคัญบ้างเลยหรือไงนะ

'เหมือนกับความรักไงพิ้งค์ ที่เขาบอกว่า Love is a little word, people make it big'

คำพูดของเขาทำให้ริมฝีปากสวยที่กำลังจะประชดประชันด้วยความน้อยใจ เปลี่ยนเป็นเปิดออกกว้างด้วยความตกตะลึง

ฮ้า นายเคร่ง ขรึม เครียดนี่พูดจาภาษาปรัชญารักเป็นกับเขาด้วย!

อะเมซซิ่งจริงๆ ถ้าพรุ่งนี้ออกซ์ฟอร์ดกลายเป็นทะเลทรายจะไม่แปลกใจเลย!!

'ไม่ต้องทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผีขนาดนั้นหรอก เกตเอามาจากหนังสือ A Little Book of LOVE ที่พิ้งค์เอามาทับกระดาษโน้ตข้างๆ โทรศัพท์นั่นแหละ’

'อ้อ'

เฮ้อ ก็ว่าอย่างนั้นแหละ ขืนนายสังเกตลุกขึ้นมาบัญญัติปรัชญารักเองได้เมื่อไร วันนั้นเราคงคิดค้นทฤษฏีกำเนิดจักรวาลมาแข่งกับบิ๊ก แบงได้เหมือนกันอะนะ

'ตกลงว่ายังไงล่ะ เกตมีเวลาว่างไม่มากนักหรอกนะ ยังมีหนังสือที่ต้องอ่านอีกเป็นตั้งๆ เลยรู้หรือเปล่า'

ฟังแล้วพิมพ์ชญาชักฉุน หนอยแน่ะ...ตกลงที่จะพาไปเนี่ย เห็นเป็น 'ภาระ' ที่ต้องทำเพราะสัญญากับฉันไว้ และเลยต้องจัดการให้จบๆ ไปใช่ไหม ด๊ายยยยย...

'โอเค ถ้าเกตไม่ว่างไม่ต้องไปก็ได้นะ รอไว้วันหลังว่างๆ ค่อยไปก็ได้ ไม่เป็นไร พิ้งค์ไม่รีบ'
ด้วยความที่มีน้องสาวตัวแสบหนึ่งคน และอยู่กับพิมพ์ชญามาระยะหนึ่งจนพอจะรู้นิสัยกัน ทำให้สังเกตจับสัญญาณได้ว่าหากได้ยินคำพูดทำนอง 'ไม่เป็นไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี' แต่ระดับเสียงไต่ขึ้นจมูกขัดกับคำพูดโดยสิ้นเชิงของผู้หญิง ให้ตีความหมายในทางตรงกันข้ามไว้ก่อน

'อย่าเพิ่งน้อยใจสิพิ้งค์...'

หญิงสาวกำลังจะอ้าปากโต้ตามวิสัยผู้หญิงอยู่แล้วว่าเปล๊า... ใครน้อยใจ อย่ามาหาเรื่อง... สังเกตก็ชิงพูดต่อเสียก่อน

'เกตพูดขึ้นมาเพราะเห็นความสำคัญจริงๆ ต่างหากล่ะ ไม่อย่างนั้นจะทวงถามทำไมหือ จริงไหม'

หากเป็นเมื่อก่อน พิมพ์ชญาคงทำหน้าเชิดคอแข็ง แกล้งให้ชายหนุ่มง้อเยอะๆ โทษฐานที่พูดจาไม่เข้าหูตามประสาคนเอาแต่ใจ แต่หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้ว หญิงสาวใจเย็นมากขึ้น และยอมอ่อนข้อให้ชายหนุ่มอย่างง่ายดายเมื่อเขาเริ่มมีท่าทีง้องอน (พูดง่ายๆ คือไม่ว่าจะยังไงสังเกตก็ต้องเป็นฝ่ายยอมลงให้ก่อนอยู่ดีนั่นเอง ถ้าพิมพ์ชญาแน่ใจว่าตัวเองไม่ผิด)

ด้วยเหตุนี้ 'แบรนด์ นิว พิมพ์ชญา' จึงแกล้งทำเป็นยักไหล่เหมือนจะบอกว่า...อ๊ะ ยกโทษให้ก็ได้ เพื่อไว้ฟอร์มเล็กน้อย ก่อนถาม

'งั้น...พรุ่งนี้เลยไหมล่ะ'

'ได้ พรุ่งนี้เกตว่างทั้งวัน ว่าแต่พิ้งค์เถอะ คราวนี้ห้ามแวะเถลไถลที่ไหนแล้วนะ'

'แหม... พิ้งค์ก็ไม่ได้เถลไถลอะไรขนาดนั้นสักหน่อย...'

หากเมื่อสังเกตถามด้วยสีหน้าว่า...แล้วที่ผ่านมาเราไปไม่ถึงสักทีนี่เป็นเพราะอะไรครับผม พิมพ์ชญาก็ยอมรับปากแต่โดยดี

'ก็ได้ คราวนี้ไม่ว่าจะเดินผ่านอะไรพิ้งค์ก็จะแค่มองจากข้างนอก แล้วเดินเลยไปเลย...'

'ไม่มีการแวะเข้าไปดู แอบดูนิดเดียวก็ไม่ได้ ตกลงนะ'

'จ้า'


แม้จะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พิมพ์ชญาก็ยังอดเมียงมองสถานที่ต่างๆ ที่เดินผ่านไม่ได้ ...แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตรู้สึกว่าเขาควรจะภูมิใจ คือแม้คนข้างกายเขาจะมองตามสถาปัตยกรรมสวยๆ ด้วยดวงตาเป็นประกายจนเหลียวหลัง แต่เธอไม่สนใจที่จะมองผู้ชายที่เดินอยู่ตามถนนหนทางเลยสักคน แม้ว่าหลายคนจะส่งสายตาแสดงความสนใจมายังเธอก็ตาม ...และสิ่งนั้นทำให้เขาต้องคว้ามือเรียวบางในถุงมือคู่สวยมากุมไว้แน่น

…ไม่ใช่ว่าหึงหรืออะไรหรอกนะ แค่ไม่ชอบให้คนข้างตัวตกเป็นเป้าสายตาใคร ...เท่านั้นเอ๊ง
ดวงตาคมหวานเหลือบมองมือตัวเองที่ถูกมือใหญ่เกาะกุมไว้แน่นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงครั้งหนึ่งที่เขาเคยจับมือเธอเอาไว้ตอนที่คมสันเฝ้าก่อกวนเธอและเขาไม่หยุดหย่อน ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมคมสันถึงจับได้อย่างง่ายดายว่าเธอและคนที่เดินอยู่ข้างๆ ไม่ใช่คนรักกันจริงๆ

ของบางอย่างไม่สามารถตัดสินได้จากสิ่งที่มองเห็น แต่รับรู้ได้จากความรู้สึก... ยิ่งเป็นผู้ชายที่ไวต่อคลื่นความรู้สึกพิเศษแบบคมสันก็ยิ่งสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ง่าย

เธอเคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายที่ถนัดในการทำให้สาวๆ หลงใหลได้ปลื้ม และรู้ตัวได้ทันทีเมื่อผู้หญิงเหล่านั้นให้ความสนใจอย่างเขาจะรู้ตัวไหมถ้าตัวเองเกิดอาการ 'อินเลิฟ' ขึ้นมาบ้าง และเมื่อถามออกไป ฝ่ายนั้นกลับหัวเราะ และให้คำตอบชัดถ้อยชัดคำว่า...ไม่รู้เหมือนกัน และไม่เคยคิดด้วย เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนั้น แต่ถ้าสักวันนึกรักใครขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะรู้เอง

'แต่ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจทำตัวเหมือนไอ้เกต ตั้งแต่มีเธอมาอยู่ด้วยมันเปลี่ยนไปเยอะ จากที่เมื่อก่อนเอาแต่ทำหน้ามู่ทู่ ซ่อนหน้าไว้หลังแว่นกับกองหนังสือจนใครๆ เขาพากันขยาดไปหมด เดี๋ยวนี้มันเริ่มยิ้ม เริ่มพูดเล่นเป็นกับเขาแล้ว'

'แต่นายก็ไม่เห็นเคยกลัวนายสังเกตมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่' พิมพ์ชญาย้อน

'รุ่นนี้แล้วมีอะไรต้องกลัว... คนมันมนุษยสัมพันธ์ดีน่า กับใครก็คุยได้สบายมาก'

'โดยเฉพาะกับสาวๆ ล่ะสิ'

แม้จะถูกดักคออย่างนั้น คมสันก็ยังยิ้มหน้าระรื่น ยักคิ้วแบบเด็กซนๆ ให้ จนพิมพ์ชญานึกอยากรู้ว่าถ้าวันดีคืนดีคมสันเกิดตกหลุมรักผู้หญิงเข้าสักคน จะยังทำหน้าทะเล้นแบบนี้ได้อยู่ไหม


เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พิมพ์ชญาเริ่มตระหนักได้ว่าการที่มือของเธออยู่ในอุ้งมือเขา นอกจากจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับหัวใจและมือน้อยๆ แล้ว ยังมีผลให้เธอแอบวอกแวกผละไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างที่อยากทำไม่ได้ เพราะเพียงแค่เท้าของเธอเริ่มก้าวเฉไปทางอื่น สังเกตก็จะบีบมือเบาๆ เป็นเชิงเตือนและยึดมือของเธอเอาไว้แน่นขึ้นทันที

“โหย เหมือนเกตจูงพิ้งค์มาเดินเล่นไม่มีผิดเลยอะ”

หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดจนสังเกตนึกขำ เขายกมือข้างที่จูงมือของเธออยู่ขึ้นลูบศีรษะได้รูปเบาๆ แล้วเลื่อนลงมาโอบที่บ่าบอบบางแทน

“เฮ้อ เปรียบเทียบซะ ...มานี่มาพิ้งกี้ เดินอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”

'พิ้งกี้' ที่รู้สึกว่าตัวเองถูกเรียกขานเหมือนเจ้าตูบชอบกลทำหน้ายุ่ง หากก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี


ออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่มองจากภายนอกแล้วไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ตัวสถาปัตยกรรมมิได้ยิ่งใหญ่อลังการน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนพิพิธภัณฑ์ลูฟว์แห่งกรุงปารีสที่โด่งดัง และคงไม่มีใครนำไปเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์วรรณกรรมอันเลื่องชื่ออย่างดาวินชี โค้ด แต่พิมพ์ชญาก็ยังยืนยันว่าเธอชอบสถานที่แห่งนี้

ออกซ์ฟอร์ด สตอรี่... เรื่องราวความเป็นมาของเมืองออกซ์ฟอร์ด

หญิงสาวชื่นชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน หรือบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งนี้เคยทำให้สังเกตอึ้งมาแล้วตอนที่ยังไม่รู้จักเธอดีนัก แต่เมื่อเห็นพิมพ์ชญาสนใจวรรณคดีต่างๆ รวมทั้งสถาปัตยกรรมและข้าวของทุกอย่างที่เป็นของเก่าหรือของสไตล์วินเทจ เขาก็แซวว่าเธอเป็นสาวยุคโบราณมาเกิดในยุคมิลเลนเนียม

แต่เธอไม่ว่าอะไรหรอก เพราะหลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ซื้อเข็มกลัดสไตล์วินเทจสวยมากกกกกก มาให้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งเดือนที่คบกัน ซึ่งทำให้เธอเซอร์ไพรส์มาก... ไม่สิ ช็อกเล็กๆ เลยมากกว่า เพราะนึกไม่ถึงว่าสังเกตจะจำได้ว่าเธอเคยเล็งเข็มกลัดอันนี้เอาไว้เมื่อตอนที่ขอแวะดูของ 'แป๊บนึง' ตามสไตล์ของเธอ

โชคดีนะ...ที่เธอเองก็แอบเตรียมของขวัญเล็กๆ ให้เขาเหมือนกัน เป็นปากกาสวยหรูที่แอบเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้าไปในลอนดอนกับยัยกีวี่ครั้งก่อนและเกิดปิ๊งว่าเหมาะกับเขาที่สุดเลยซื้อมาเก็บไว้เผื่อจะได้ให้ในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง เลยได้จังหวะพอดี...

ว่าแล้วก็คงต้องมองๆ หาของขวัญเหมาะๆ สำหรับ second month anniversary แล้วสินะ ครั้งนี้ซื้ออะไรดีล่ะนี่...

“พิ้งค์”

“หือ”

“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย เห็นเงียบไปนึกว่าเจ้าฌาณ ย้อนกลับไปสมัยก่อตั้งออกซ์ฟอร์ดเองซะแล้ว”

พิมพ์ชญาทำหน้ายุ่งๆ กึ่งยิ้มให้กับคำแซวนั้น... แต่ก็ไม่ทันได้พูดอะไรอีก เพราะมือใหญ่รั้งบ่าของเธอให้เดินเข้าไปพร้อมกันเสียแล้ว


การเข้าชมออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ นั้นแสนสบายยิ่งนักเพราะไม่ต้องเดินเท้าเข้าชมเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ทั่วไปเนื่องจากทางพิพิธภัณฑ์มีรถให้นั่งชมเสร็จสรรพคล้ายๆ กับพิพิธภัณฑ์ Madame Tussuad's อันเลื่องชื่อของกรุงลอนดอน แต่พิมพ์ชญากลับนึกไปไกลกว่านั้น หญิงสาวนึกถึงบ้านผีสิงของดิสนีย์แลนด์ และทำให้พลอยนึกถึงบ้านผีสิงของอัลตัน ทาวเวอร์ ที่เธอและสังเกตช่วยกันยิงผีเก็บคะแนน

“โห พิ้งค์เอ๊ยยยย คิดได้ไงเนี่ย”

สังเกตว่าเมื่อพิมพ์ชญาบอกเขาว่าทำไมอยู่ดีๆ เธอถึงหัวเราะขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“แหม ก็บรรยากาศมันคล้ายๆ นี่นา เกตไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”

“จุ๊ๆ พิ้งค์ รถเริ่มเลื่อนแล้ว เดี๋ยวก็พลาดไม่รู้หรอกว่าเขาพูดอะไรบ้างหรอก"

หญิงสาวจึงต้องสงบปากสงบคำเพื่อฟังเสียงบรรยายถึงการก่อตั้งเมืองออกซ์ฟอร์ด ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวๆ เก้าร้อยกว่าปีที่แล้ว ซึ่งก็เหมือนกับประวัติศาสตร์ทั่วไป คือมีทั้งช่วงที่รุ่งโรจน์สุดๆ และช่วงที่น่าสลดใจ แต่นั่นก็เป็นธรรมดาของโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการผันแปร มีขึ้นมีลง ซึ่งพิมพ์ชญานั่งฟังไปพลางดูฉากจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นด้วยความเพลิดเพลิน น่าเสียดายนิดหน่อยที่ทางสถานที่ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด

“แต่ถึงถ่ายไปก็คงมองอะไรไม่ค่อยเห็นอยู่ดีอะเนอะ มืดขนาดนี้”

หญิงสาวปลอบใจตัวเองว่าอย่างนั้น และอีกเหตุผลหนึ่งคือเธอคงถ่ายรูปได้ไม่ถนัดอยู่ดี เพราะมือข้างหนึ่งของเธอกำลังอุ่นสบายอยู่ในอุ้งมือของเขา...

ออกซ์ฟอร์ด สตอรี่...

ทั้งๆ ที่สถานที่นี้ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษอย่างที่คิดไว้ แต่หญิงสาวก็ยังรู้สึกดีที่ได้มาเยือน ...คงเป็นอย่างที่สังเกตว่า สถานที่ก็เป็นแค่สถานที่ แต่การที่มันมีความหมายพิเศษขึ้นมา เป็นเพราะเธอและเขาให้ความสำคัญกับมันต่างหาก เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า Love is a little word, people make it big ...เพราะเธอและเขาให้ความหมาย ออกซ์ฟอร์ด สตอรี่จึงยิ่งใหญ่ขึ้นมาสำหรับเราสองคน

แรงของอุ้งมืออุ่นที่กุมกระชับทำให้พิมพ์ชญารับรู้ได้ว่าสังเกตเองก็อาจจะกำลังคิดเหมือนกันกับเธอ เรื่องราวของเธอและเขาที่ออกซ์ฟอร์ดเป็นสิ่งพิเศษสุดเพราะเธอมีเขา...และเขามีเธอ
เมื่อรถที่นั่งเคลื่อนกลับมาจอดลงใกล้ๆ จุดเริ่มต้น พิมพ์ชญาและสังเกตก็ก้าวลงมาอย่างช้าๆ โดยที่มือทั้งสองไม่คลายออกจากกัน

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเมืองที่เราอาศัยอยู่จะมีประวัติความเป็นมายาวนานขนาดนี้”

“และต่อไปออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ ก็คงจะยาวขึ้นอีก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ...”

“นั่นน่ะสินะ”

ดวงตาคมสวยมองตรงไปยังเบื้องหน้า... ออกซ์ฟอร์ด ซิตี้ เซ็นเตอร์ วันนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินเข้าออกร้างรวงต่างๆ เพื่อชอปปิ้งของขวัญสำหรับเทศกาลคริสต์มาส เหล่านักศึกษาเดินเล่นอย่างแสนสุขในช่วงปิดภาคเรียนฤดูหนาว คู่รักหลายคู่อิงแอบแนบชิดกันเพื่อเพิ่มไออุ่นให้กับร่างกายและหัวใจท่ามกลางสายลมที่หนาวเย็น

...นี่แหละออกซ์ฟอร์ด เมืองที่เธอรัก...และได้รู้จักกับความรัก

“จะว่าไปเมืองนี้ก็เหมือนกับความรักนะพิ้งค์”

“อืม” หญิงสาวตอบรับทันทีเพราะเป็นคำพูดที่ตรงกับสิ่งที่ใจคิด ...หากเมื่อรู้ตัวว่าใครเป็นคนพูด คิ้วเรียวสวยก็อดขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจไม่ได้

“หืม? เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เกตว่าไงนะ”

“ไม่ต้องทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผีขนาดนั้นหรอก” หนุ่มนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อเดียวกับเมืองแซวยิ้มๆ เมื่อสาวน้อยข้างกายทำท่าช็อกปนงงว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า “เกตเอามาจากหนังสือของพิ้งค์อีกนั่นแหละ เขาบอกว่า True love doesn't have a happy ending because true love doesn't have an ending”

...รักแท้ไม่มีคำว่าจบลงอย่างมีความสุข เพราะความรักที่แท้จริงนั้นไม่มีวันสิ้นสุด

“และเพราะออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้น Oxford love story is neverending too”

สังเกตพูดต่อด้วยรอยยิ้มจากแววตาพราวที่ฉายแววหวานซึ้งอย่างไม่ปิดบัง ทำเอาพิมพ์ชญาชักเขินเพราะรู้ดีเชียวล่ะ ว่า ออกซ์ฟอร์ด ‘เลิฟ’ สตอรี่ที่เขาว่า หมายถึง ‘เลิฟ สตอรี่’ ของใคร...

ออกซ์ฟอร์ด ‘เลิฟ’ สตอรี่...

เรื่องราวความรักของเธอและเขา...ที่เริ่มต้นขึ้นที่เมืองออกซ์ฟอร์ด

“แหม...”

สังเกตหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นนวลแก้มของคนรักเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มจัด หารู้ไม่ว่านอกจากความเขินอายที่เกิดขึ้นแล้ว หญิงสาวยังร้องกรี๊ดๆ ในใจอีกด้วย

...ตายแล้ว ตอนนี้นายสังเกตมีข้อความรักเป็นของตัวเองแล้วจริงๆ แล้วฉันจะคิดอะไรมาแข่งกับบิ๊ก แบง ดีล่ะเนี่ย!

“หรือพิ้งค์ว่าไง”

“พิ้งค์...จะว่ายังไงได้ล่ะ”

“ไม่มีคอมเมนต์อะไรเลยจริงๆ เหรอ”

สังเกตถามพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนชิดริมใบหูนุ่ม ทำเอาเจ้าของใบหูรีบตอบแม้จะกำลังใจเต้นตุบๆๆๆๆ อยู่ก็ตาม

“ก็... แค่ต่อไปนี้เวลาพูดถึงออกซ์ฟอร์ด สตอรี่ ...ฉันจะคิดเสมอว่ามีคำว่า 'เลิฟ' แฝงอยู่ในนั้นด้วย ...เป็นโค้ดลับระหว่างเราสองคน ...คอมเมนต์นี้โอเคไหม”

เห็นท่าทางเขินจัดของหญิงสาว สังเกตอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มนวลแรงๆ ก่อนจะโอบร่างบางของคนรักให้ชิดเข้ามาโดยไม่พูดอะไรอีก หากพิมพ์ชญารู้ดีว่าคำตอบของเขาคือ ‘ยิ่งกว่าโอเค’ เสียอีก

ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบางๆ ขณะเหลียวกลับไปยังประตูสีน้ำเงินและภาพจักรยานอันเป็นสัญลักษณ์ของออกซ์ฟอร์ด (เลิฟ) สตอรี่ที่อยู่เบื้องหลัง แล้วสอดมือเข้าโอบเอวของร่างสูงที่เดินอยู่เคียงข้าง

'ความรัก' ของสังเกตเป็นโค้ดลับที่แสดงออกผ่านการกระทำของเขาโดยไม่จำเป็นต้องพูดคำหวานพร่ำเพรื่อ และข้อความรักสั้นๆ ที่เขาเพิ่งบอกก็แทนความหมายทุกอย่างแล้ว

แม้จะไม่ตื่นเต้นหวือหวา ชวนให้หัวใจวี้ดวิ้ววูบไหวไปมาตลอดเวลา แต่พิมพ์ชญาและสังเกตก็เชื่อมั่นว่าความรักของเธอและเขาจะคงอยู่ตราบเท่าที่เมืองออกซ์ฟอร์ดยังคงบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ


Bridge of Sighs* หรือ สะพานถอนหายใจ ก่อกำเนิดขึ้นในเวนิส แต่เดิมชื่อ Antonio Contino's Bridge สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมระหว่างศาสนสถานกับพระราชวัง ภายหลังเมื่อศาสนสถานถูกเปลี่ยนเป็นคุก สะพานนี้ถูกเรียกว่า Bridge of Sighs เพราะเป็นสะพานที่นักโทษทุกคนจะเห็นความงามของเวนิสผ่านหน้าต่างของสะพานแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถุกจองจำ ทุกๆ คนจึงถอนหายใจ ...ภายหลังได้มีการจำลองต้นแบบของสะพานนี้ที่เมืองเคมบริดจ์และออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ


The End




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2554
7 comments
Last Update : 20 มิถุนายน 2554 0:47:14 น.
Counter : 706 Pageviews.

 

ขอแอบติดตอบคอมเมนต์ไว้ก่อนนะค้า แบตหมดพอดี คืนนี้ฝันดีค่ะ

 

โดย: ...ศุวิลา... 20 มิถุนายน 2554 0:52:11 น.  

 

นานๆทีคุณชายเขาจะหวาน ไปบอกพิงค์ทำไมอ่ะเกตว่าจำมาจากหนังสือ คะแนนความโรแมนติคลดลงเลยนะนั่น
ปล. ลดลงอีกนิดที่หนูพิงค์แทนตัวเองว่า "ฉัน" ในบางช่วง คุณเกตเขายอมแทนตัวเองว่าเกตแล้วน๊าาาหนูพิงค์ :]

 

โดย: Narilin Nay IP: 223.207.186.108 20 มิถุนายน 2554 1:11:34 น.  

 

ยินดีที่ได้รู้จักสมาชิก bloggang นะครับ

 

โดย: bbandp 20 มิถุนายน 2554 4:24:57 น.  

 

มาอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะพี่โน๊ต ^^

 

โดย: ColdOut 20 มิถุนายน 2554 20:29:28 น.  

 

ศุวิลาคะ ช่วยเขียนเรื่องนายคมสันให้ตกหลุมรักใครสักคนหน่อยเถอะค่ะ

 

โดย: honey IP: 88.83.11.194 22 มิถุนายน 2554 5:44:30 น.  

 

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษที่ยังคงความหวาน น่ารักๆ ไว้ได้เช่นเดิม

 

โดย: ree IP: 202.28.24.91 23 มิถุนายน 2554 3:04:20 น.  

 

ตามมาเก็บตอนพิเศษค่ะ เกตเลยได้แสดงความหวานแบบเกตออกมาให้พิงค์หวีทเล่น
ขอบคุณคุณโน้ตมากค่ะ
ติดกับคำว่าฉันของพิงค์เหมือนกัน เกตอุตส่าห์หวานใส่ แต่ก็น่ารักทั้งคู่เลย
อยากอ่านเรื่องของคมสันบ้าง น่าจะมีสีสันพอสมควรเลย

 

โดย: goldensun IP: 203.121.167.246 24 มิถุนายน 2554 19:31:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.