... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
28 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Oxford Story บทที่ 6


ไม่น่าเชื่อว่าถึงบทที่ 6 แล้ว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก อิอิ ^^ อย่างที่ได้เกริ่นนำนะคะ บทนี้จะยาวกว่าบทอื่นๆ เล็กน้อย เพราะเป็นบทที่เพิ่มเติมแก้ไขอยู่หลายครั้งเลยค่ะ


##########################

บทที่ 6

เป็นอย่างที่พิมพ์ชญาสงสัยทุกประการ การที่เธอเป็นเพื่อนสนิทของกวิรา เป็นการ ‘อินพุท’ ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งของเธอลงไปในสมองของชายหนุ่ม เขาไม่อยากจะตัดสินคนอื่นนักหรอก แต่ในสังคมไทย ผู้หญิงที่อาศัยอยู่กับผู้ชายก่อนแต่งงานถูกมองว่าอย่างไร เขาก็คิดว่าพวกเธอเป็นแบบนั้นล่ะ ไม่ว่าจะอ้างความจำเป็นอะไรก็แล้วแต่ …สองคนนี้ก็คงจะเป็นผู้หญิงแบบเดียวกันล่ะน่าถึงคบกันได้ ที่สำคัญ แม่สาวเพื่อนร่วมบ้านของเขาตกลงที่จะเช่าบ้านอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จักมักจี่อย่างเขาง่ายๆ แบบนี้ จะให้เขาคิดยังไงอีก

นี่ยังไม่นับรวม ‘ข้อมูล’ ที่น้องสาวเขาหลุดปากให้เขารู้เมื่อสี่ห้าวันที่แล้วอีกนะ...

นึกถึงเรื่องนั้นแล้วยังปวดหัวไม่หาย… หนีมาถึงอังกฤษแล้วยังไม่พ้นอีกหรือนี่ เห็นทีจะต้องจัดการทำอะไร ‘บางอย่าง’ ลงไปซะแล้ว จะได้หมดเรื่องกันสักที!!


เมื่อพิมพ์ชญาเดินกลับเข้ามาในบ้านก็ต้องตกใจเมื่อสังเกตยืนขวางทางเดินอยู่ ครั้นจะเบี่ยงตัวหลบไปก็เห็นจะเป็นได้ยากเนื่องจากทางเดินแคบมาก

“นี่ จะมายืนขวางอยู่ทำไมล่ะ หลบไปสิ ฉันจะเข้าบ้าน”

รอยยิ้มกวนๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้าของชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามาหาเธอ ซึ่งส่งผลให้หญิงสาวตรงหน้าก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ

ง่ะ อีตานี่เกิดบ้าอะไรขึ้นมาล่ะคราวนี้...

เขานึกขำในใจเมื่อเห็นเธอถอยกรูด …อ้อ กลัวเป็นเหมือนกันนี่ เห็นปกติกล้าต่อปากต่อคำกับเราไม่ลดละ

หญิงสาวสะดุ้ง เกือบร้องกรี๊ดออกมา เมื่อเขาก้าวเข้ามาถึงตัวพลางเอื้อมมือมาจับเส้นผมของเธอ แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงัก เมื่อเขาหยิบแมลงตัวเล็กที่ติดอยู่บนผมของเธอส่งให้ดู

ต่างจากหญิงสาวทั่วไป พิมพ์ชญาไม่กลัวแมลงเล็กๆ เหล่านี้ เธอจึงตอบชายหนุ่มเสียงแข็งเพื่อปิดบังอาการประหม่าและตกใจเมื่อครู่

“โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไรเสียอีก แค่แมลงเกาะผมตัวเดียว บอกฉันด้วยคำพูดก็ได้ ฉันเอาออกเองได้”

“เฮ้อ คุณนี่ไม่น่ารักเลยจริงๆ แมลงก็ไม่กลัว ทำท่ากลัวน่ารักๆ แบบผู้หญิงคนอื่นเขาทำกันไม่เป็นหรือไง”

“กลัวน่ารัก เฮอะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันไม่น่ารักก็ได้ ถ้าจะต้องกลัวอะไรไร้สาระแบบนั้น”

หงุดหงิดจริงๆ เขามีสิทธิ์อะไรมาว่าเราไม่น่ารัก แล้วเขาล่ะ ทำตัวน่ารักสักแค่ไหนเชียว
“ฉันว่าฉันไปอาบน้ำนอนแล้วดีกว่า เสียอารมณ์ทะเลาะกับนาย”

อารมณ์นี้ไม่เรียกคงเรียกคุณมันแล้ว เรียกนายก็ดีถมไปแล้วน่ะ

พูดจบหญิงสาวชื่อสีชมพูก็เดินกระแทกเท้าปังๆๆ หมายถึงขึ้นห้องนอนของตัวเอง

แต่ช้าไป ก่อนที่เท้าของเธอจะก้าวไปถึงบันได สังเกตกลับฉุดรั้งข้อมือของเธอไว้

“นี่!!” หญิงสาวหันมาขึ้นเสียง นัยน์ตาคมวาวอย่างเอาเรื่อง “เรื่องอะไรมาจับมือฉัน เมื่อกี้แมลงเกาะผมฉันก็จริง แต่คราวนี้มือฉันไม่ได้มีตัวอะไรเกาะอยู่นะ”

จะมีก็แต่นายนั่นแหละ ตัวไม่เป็นมิตรยังไงล่ะ!

“แสดงละครได้เหมือนนี่ เก่งมาก”

“แสดงละคร?? ละครอะไร” พิมพ์ชญางง อยู่ดีๆ เขาพูดถึงเรื่องบ้าอะไร ตานี่เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย

“ก็..” เขารั้งร่างของเธอเข้ามาใกล้ “ที่เธอทำอยู่นี่ไม่ใช่การแสดงละครฉากใหญ่หรือไง”

ดวงตาคมของหญิงสาวเต็มไปด้วยปริศนา นี่มันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้านี้เขายังทำเป็นเมินเฉย หรือไม่ก็หาเรื่องว่ากล่าวกระทบกระเทียบเธออยู่แท้ๆ ตอนนี้นอกจากจะกล่าวหาเธอแบบแปลกๆ แล้วยังมีการแตะต้องถึงเนื้อถึงตัวอีก

คิดถึงตอนนี้หญิงสาวสะบัดแขนออกเต็มแรง จ้องหน้าเขาด้วยแววตาลุกโชน

“นี่! ฉันไม่รู้ว่านายเป็นบ้าอะไรขึ้นมานะ แต่ขอบอกเอาไว้เลยว่าฉันไม่ใช่คนที่นายจะมาล้อเล่นแบบนี้ได้ รู้ไว้ด้วย”

“แล้วถ้าไม่ล้อเล่นล่ะ”

สังเกตขยับเข้าใกล้ ทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกถึงความกลัวที่คืบคลานเข้ามาแทนที่ความโกรธ ไม่ยอมแสดงออกให้เขารู้ พิมพ์ชญาปั้นสีหน้าและน้ำเสียงเย็นยะเยียบถามกลับไป

“พอซะที บอกมาดีกว่า นายต้องการอะไร ไม่ต้องมาทำแบบนี้ ฉันไม่ชอบ!!”

“ต้องการอะไรหรือ แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”

ยิ่งพูดเขายิ่งขยับเข้ามาใกล้ หญิงสาวขยับจะถอยหนีแต่เท้าติดขอบบันไดทำให้หนีไปไหนไม่ได้
“นะ… นี่”

ปากคอเริ่มสั่น นี่ไม่ใช่เขาปกติ สังเกตดูน่ากลัวมาก เขาทำตัวราวกับผู้ชายประเภทสุดท้ายที่ผู้หญิงอยากจะอยู่ร่วมชายคาบ้านด้วย

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”

สังเกตมองเข้าไปแววตาคมงามนั้น สิ่งที่เห็นมีเพียงความวูบไหว กลัว… แววตาของเธอบอกอย่างนั้น จะว่าเธอโกหกก็คงจะแนบเนียนเกินไป เพื่อเป็นการพิสูจน์ เขาเอื้อมมือขึ้นแตะนวลแก้มนั้น ก่อนจะโน้มลงไปใกล้

“ที่เธออุตส่าห์ลงทุนมาถึงที่นี่ก็เพราะต้องการแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”

“หยุดนะ!”

เสียงกราดเกรี้ยวของหญิงสาวมาพร้อมกับแรงปะทะข้างแก้มของชายหนุ่ม หลังจากนิ่งกันไปสักครู่ มือใหญ่ก็ยกขึ้นแตะแก้มที่ถูกประทับรอยฝ่ามือจนแดงเห่อ แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าอาการของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่กรุ่นโกรธเขาอยู่เมื่อครู่บัดนี้แดงก่ำ หยาดน้ำใสเอ่อคลออยู่เต็มไปหมด

“ฉัน…” เสียงที่พูดสั่นด้วยอาการถอนสะอื้น “ฉันไม่รู้นะว่านายมองฉัน หรือเพื่อนฉันเป็นคนแบบไหน แต่ขอบอกให้รู้ไว้เลยนะ นายกำลังคิดผิด เราสองคนไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบที่นายคิด”

เธอรู้… คนเป็นฝ่ายกล่าวหาค่อนข้างแปลกใจ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าผู้เป็นเพื่อนคงจะเดาได้ และเล่าอะไรให้ฟังบ้างไม่มากก็น้อย

“ไม่ต้องมาทำหน้าแปลกใจขนาดนั้นหรอก ใช่ ฉันรู้ว่านายกำลังคิดว่าฉันกับเพื่อนเป็นพวกผู้หญิงใจง่ายใช่ไหมล่ะ ถึงได้เช่าบ้านอยู่กับผู้ชายน่ะ ฉันขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่ใช่อย่างที่นายคิด!”

สังเกตนิ่งงัน จากท่าทางเอาเรื่องของพิมพ์ชญาเมื่อครู่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เธอพูดมาเป็นความจริง คำพูดคนเราอาจจะโกหกกันได้ แต่แววตาหวาดหวั่น ใบหน้าที่ขาวซีดสลับกับแดง รวมไปถึงมือและริมฝีปากที่สั่นระริกเมื่อครู่คงจะปั้นแต่งขึ้นมาไม่ได้

หมายความว่าเธอไม่รู้เรื่อง 'อะไร' เลยอย่างนั้นหรือ...

บ้าน่ะ... แล้วเธอมาอยู่นี่ได้ยังไง จะว่าบังเอิญก็คงเกินไป... แต่สีหน้าท่าทางที่เห็นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ

ถ้าไม่รู้อะไรเลย ก็สมควรแล้วที่จะโกรธมากขนาดนี้...

แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดอะไรออกมา หญิงสาวก็ชิงตัดบทเสียก่อน

“แต่ถ้านายยังคิดว่าฉันเป็นคนแบบนั้นก็ตามใจ จะคิดยังไงก็เชิญ ฉันคงจะไปเปลี่ยนความคิดนายไม่ได้ แต่เราคงจะอยู่บ้านเดียวกันไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะเก็บของย้ายออกไป หวังว่านายคงจะพอใจ!”


เช้าวันรุ่งขึ้น พิมพ์ชญาที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินลงมาชั้นล่าง หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ หญิงสาวโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้กวิราฟัง เพื่อนสาวมีน้ำเสียงตกอกตกใจเป็นอันมาก เพราะเท่าที่รู้มา สังเกตเป็นผู้ชายที่มีลักษณะค่อนข้างนิ่ง ดุ จริงจัง และปากเสีย แต่ไม่เคยได้ยินว่าเขาแตะต้องผู้หญิงสักคนโดยที่ผู้หญิงคนนั้นไม่เต็มใจมาก่อน ถึงจะเป็นแค่แกล้งๆ ก็เถอะ มันดูผิดวิสัยเอามากๆ และไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

“ฉันก็อยากจะคิดอย่างที่เธอบอกเหมือนกันแหละ วี่ แต่เมื่อกี้นี้ เธอต้องมาเห็นเองแล้วจะเข้าใจ ท่าทางของเขา...น่าขนลุกมากๆ”

“จริงเหรอ”

น้ำเสียงยังคงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ คนเล่าจึงกระเง้ากระงอดด้วยความน้อยใจเพื่อนสนิท

“อะไร ทำไมทำเสียงแบบนั้น เธอไม่เชื่อฉันที่เป็นเพื่อนเธอมาตั้งเป็นยี่สิบปีเลยหรือไง ลองคิดดูสิ ถ้าเขาไม่ทำถึงขนาดนั้นฉันจะกล้าปั้นน้ำเป็นตัวเหรอ ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม ไม่มีเหตุผลสักหน่อย”

ท้ายที่สุด กวิราก็เสนอทางออกให้กับเรื่องนี้ โดยการให้พิมพ์ชญาย้ายมาอยู่กับเธอชั่วคราวแล้วค่อยหาทางขยับขยาย แม้ว่าห้องนอนของเธอจะไม่กว้างนัก แต่ถ้าหากพิมพ์ชญามาอยู่แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ คงจะไม่เป็นไร

“แล้วฉันจะบอกคาสุว่าเธอจะมาอยู่กับฉันสักระยะก็แล้วกัน คืนนี้ก็อย่าคิดมากนะ เก็บของเสร็จแล้วก็นอนบ้างล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”


รุ่งเช้า บ้านทั้งหลังเงียบสงัดบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านคงจะยังไม่ตื่น หญิงสาวหยิบกุญแจบ้านที่ตั้งใจจะวางคืนให้วางไว้บนโต๊ะ แต่แล้วก็พบว่ามีการ์ดใบหนึ่งวางอยู่ตรงที่นั่งประจำของเธอ

“Forgiving card …นี่ขอให้ฉันยกโทษให้งั้นหรือ”

มือเรียวบางเปิดซอง หยิบการ์ดออกเปิดดู ไม่มีข้อความใดๆ จากลายมือของชายหนุ่ม มีแค่เพียงคำว่า “forgive me” เรียบๆ บนการ์ดลายหมีฟอเรเวอร์ เฟรนด์ส

พิมพ์ชญาถอนหายใจก่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ มือเรียวบางพับปิดการ์ด เผยให้เห็นรูปหน้าปกที่เจ้าหมีฟอเรเวอร์ เฟรนด์สตัวอ้วนกลมหน้าตาน่ารักยิ้มแป้นอย่างเป็นมิตรสมชื่อชูนิ้วก้อยให้ เห็นอย่างนี้แล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่ได้ …ก็เจ้าฟอเรเวอร์ เฟรนด์สน่ะ เป็นหนึ่งในตัวการ์ตูนตัวโปรดของเธอเลยนี่นา

“ผมขอโทษ”

เสียงทุ้มแผ่วเบาทำให้หญิงสาวหันขวับไปตามต้นเสียง ...นี่เรามัวแต่เหม่อถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
การปรากฏตัวของเขาบอกให้รู้ว่าความโกรธยังไม่จางหายไปจากความรู้สึก คนที่นั่งอยู่จึงคอแข็ง เชิดใบหน้าขึ้น

“ขอโทษเหรอ เอ๊ะ นี่หูฉันแว่วไปเองหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ยินคำนี้ขึ้นมาได้”

สังเกตยืนพิงกรอบประตูห้องครัว จ้องมองไปที่พิมพ์ชญาด้วยแววตาขอลุแก่โทษ

“ผมขอโทษจริงๆ สำหรับเรื่องเมื่อคืน ผมยอมรับว่าตัวเอง...ทำผิด”

“อ้อ ยังอุตส่าห์รู้ด้วยว่าผิด”

“ก็…” ชายหนุ่มยกนิ้วมือขึ้นแตะแว่นอย่างขัดเขินขณะอธิบาย “จริงๆ แล้วผมแค่อยากจะทดสอบดูเท่านั้นเองว่าคุณเป็นคนยังไงกันแน่ แต่สาบานได้นะว่าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินคุณเลยจริงๆ สักนิดก็ไม่มี”

“อ้อ เหรอ” หญิงสาวลากเสียง “แล้วผลการทดสอบเป็นยังไงล่ะ”

“ผมเสียใจนะที่เข้าใจคุณผิดไป คือ… เรื่องนี้ผมมีเหตุผลมาอธิบายนะ ว่าทำไมถึงมองคุณแบบนั้น”

“ถ้านายจะบอกว่าเหตุผลคือฉันเป็นเพื่อนกับกีวี่ที่เช่าบ้านอยู่กับคาสุ แฟนของเขาล่ะก็ ไม่ต้องบอกหรอก ฉันรู้แล้ว”

“อันนั้นมีส่วนอยู่บ้าง” เขายอมรับ “แต่ความจริง มันเกี่ยวกับคนที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนต่างหาก”

“คนที่เคยอยู่ที่นี่? แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน??”

เรื่องราวของสาวผู้เคยเช่าบ้านอยู่กับชาวหนุ่มถูกถ่ายทอดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบนั้น

“จำได้ไหม วันแรกคุณเคยถามเรื่องคนที่อยู่ที่นี่มาก่อน แล้วผมไม่อยากพูดถึง”

คนฟังพยักหน้า …แหงล่ะ ใครลืมก็แปลกแล้ว

ชายหนุ่มเล่าให้ฟังทั้งหมดถึง วิกกี้ หญิงสาวชาวจีนเปรี้ยวจี๊ดที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกับเขาได้ประมาณเดือนเศษแล้วเขาก็ทนไม่ไหว ต้องขอให้เธอย้ายออกไป หรือถ้าพูดกันจริงๆ เขาแทบจะถึงขั้นไล่เธอออกไปเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุนั้นก็คือ เธอคนนั้นมักจะพาแฟนหนุ่มมาค้างด้วยที่บ้าน …หากเป็นแค่แฟนหนุ่มคนเดียวยังพอว่า แต่นี่บางครั้งเจ้าหล่อนพาผู้ชายไม่ซ้ำหน้าแวะเวียนเข้ามาที่บ้านเขา ไม่ต่างจากบ้านเขาเป็นโรงแรมม่านรูดอะไรอย่างนั้น ทำให้เขาอดรนทนไม่ไหว ออกปากต่อว่าไปตามประสาคนอยู่บ้านเดียวกันให้ช่วยเกรงใจบ้าง

“คุณรู้ไหม ผู้หญิงคนนั้นทำอย่างไรเมื่อฟังจนจบ”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว ก็ไม่เคยทำอย่างนั้นนี่

“ทีแรก เขาก็บอกว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ต้องมายุ่ง แต่แล้ว… เขากลับเปลี่ยนท่าทีมาเป็นยั่วยวน ถามว่า ‘หรือว่าคืนนี้คุณสนใจจะมาอยู่ที่ห้องของฉันแทนหนุ่มๆ พวกนั้นล่ะคะ ฉันจะได้สำรองที่เอาไว้ให้’”

“ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

หญิงสาวอุทาน …อืม ถ้าเป็นจริงก็น่าเห็นใจเขาอยู่เหมือนกันนะ ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นก็แปลกแฮะ ขนาดคนแบบนายสังเกตยังกล้า...

แต่…เอ๊ะ

สีหน้าเห็นใจเริ่มเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง คิ้วเรียวขมวดฉับเมื่อนึกขึ้นได้

“แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับฉันตรงไหนไม่ทราบ ฟังจนจบแล้วยังไม่เข้าใจ”

“เอ่อ คือ…”

“นี่!! ไม่ต้องมาบอกเลยนะว่านายคิดว่าฉัน...จะทำแบบผู้หญิงคนนั้น”

อาการนิ่งเงียบของอีกฝ่ายทำให้คนถาม ‘จี๊ด’ ขึ้นมาอย่างรุนแรง พิมพ์ชญาแทบแทบจะเล่นงิ้วเลยทีเดียว

“บ้า บ้าที่สุดเลย คิดได้ยังไง นี่น่ะเหรอความคิดของนักเรียนทุน ดูถูกคนอื่นโดยที่ไม่รู้จริงแบบนี้น่ะเหรอ นายคิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหนกันถึงได้เที่ยวไปดูถูกคนอื่นเขาแบบนี้”

“ก็เพราะรู้อย่างนั้น ถึงได้ขอโทษยังไงล่ะ”

สังเกตยอมขอโทษแต่โดยดี แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยกโทษให้ง่ายๆ

“ขอโทษแล้วไง ทำไมฉันต้องยกโทษให้นายง่ายๆ ด้วย หา ทีนายยังเหมาเอาเอง แถมยังตั้งบททดสอบฉันเอาเองดื้อๆ เลยนี่”

ตอนนี้ผมก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วไง จะยกโทษให้สักหน่อยไม่ได้เหรอ”

“เรื่องทั้งหมด??” ...ยังมีเรื่องอะไรนอกจากที่เขาเล่ามาอีกหรือ

“อ้อ... ผมหมายถึงเรื่องที่เล่ามากับเรื่องของคุณ แล้วก็เพื่อนของคุณ”

“ฉันกับเพื่อน??” พิมพ์ชญาทวนคำ “นายเข้าใจฉันน่ะไม่แปลกหรอก จริงๆ ก็สมควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วด้วย แต่อยู่ดีๆ ทำไมนายถึงเข้าใจยัยวี่ขึ้นมาได้ล่ะ”

ชายหนุ่มเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อหญิงสาวคนนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะคาสุ คนรักของเธอซึ่งเป็นเพื่อนของเขาโทรศัพท์มาต่อว่าหลังจากรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจากหญิงคนรัก

‘ฉันอยากให้นายรู้ว่า ผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกับผู้ชายไม่ใช่คนไม่ดีทั้งหมด นายอาจจะเคยเจอผู้หญิงแบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่นายจะมองผู้หญิงที่มาเช่าบ้านกับนายไม่ดีทุกคน’

เมื่อปลายสายนิ่งเงียบไป ชายหนุ่มเลือดผสมระหว่างญี่ปุ่น-ฮ่องกงจึงเทศนาต่อ

‘นายอาจจะไม่รู้ แต่ที่กีวี่มาเช่าบ้านกับฉันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าตัวเขาจงใจ แต่เป็นเพราะตอนนั้นเขาเพิ่งย้ายเมืองมา หาบ้านไม่ได้ แล้วน้องสาวฉันกลับบ้านพอดี ก็เลยมีห้องว่าง ก็เท่านั้น …เหตุผลที่เรามาอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหตุผลไม่ดีอย่างที่นายคิด แต่เป็นเพราะฉันรักเขา ฉันถึงอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา เพื่อจะได้แน่ใจว่าเขาอยู่อย่างปลอดภัย’

จริงสินะ สังเกตผ่อนลมหายใจออก… เขาควรจะเชื่อใจเพื่อนให้มากกว่านี้ เขาควรจะรู้ดีว่าชายหนุ่มมาดเฉียบเหมือนเจ้าพ่อ เพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนดี และมีสายตาแหลมคมพอที่จะเลือกหญิงสาวไม่ผิดพลาด

‘นอกจากนั้น ฉันการันตีได้ พิ้งค์ ผู้หญิงคนที่มาเช่าบ้านนายเป็นคนดี ฉันเคยเจอเขาสองสามครั้ง ไม่เคยเห็นเขามีทีท่าจะเป็นแบบยัยวิกกี้เลย มีแต่ตั้งท่าจะวิ่งหนีผู้ชายด้วยซ้ำ กีวี่ยังแซวอยู่บ่อยๆ ว่าสงสัยชาตินี้ตั้งใจจะอยู่เป็นโอลด์เมด ไม่ยอมมีใคร’

“อ้อ… นายเลยตาสว่างสักทีสินะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า... อ้าปากจะพูดอะไรต่อบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหุบปากนิ่งเสีย

“ถ้าเข้าใจแล้วก็... สงบศึก...มั้ย”

“ก็ได้” เสียงหวานลากยาว “แต่มีข้อแม้นิดหน่อย”

เมื่อเขายอมรับเงื่อนไขทุกอย่าง หญิงสาวจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะให้เขาทำตามใจเธอเสียเลย ดวงตาคมเริ่มฉายแววเจ่าเล่ห์

“อย่างแรก นายต้องห้ามทำอะไรบ้าๆ แบบเมื่อคืนอีก ห้ามแตะต้องฉันอีกเป็นอันขาด”

“นี่คุณ ก็บอกแล้วไงว่าเมื่อคืนแค่ทดสอบดูเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ สักหน่อย” ชายหนุ่มรีบเถียงเป็นพัลวัน แต่เมื่อเห็นสายตาดุคาดคั้นเอาคำตอบก็ยอมแพ้ “โอเค ผมเข้าใจแล้ว ข้อต่อไป”

“อย่างที่สอง นายต้องเลิกไอ้อาการคุ้มดีคุ้มร้ายของนายนะ แบบว่าคุยกันดีๆ ไม่กี่คำอยู่แหม็บๆ วินาทีต่อมาจิกกัดฉันเฉยเลยเนี่ย พอเลยนะ”

“ยังมีข้อสามอีกไหม”

“อืม… “ พิมพ์ชญาทำท่านึก ทำเอาคนมองชักจะหมั่นไส้ แต่คำตอบที่ตามมาก็ทำให้เขาโล่งใจได้
“ฉันนึกไม่ออก เอาเป็นว่าไม่มีแล้วก็แล้วกัน แค่สองข้อก็พอ ถ้านายเข้าใจสองข้อนี้และปฏิบัติตาม ฉันว่าเราก็เซ็นสัญญาสงบศึกกันได้” หญิงสาวพูดพลางคลี่ยิ้ม “ฉันจะร่างสนธิสัญญาล่ะนะ”

“สนธิสัญญา… อะไร???” เขางง

“ง่ายๆ เราจะไม่กรีดเลือดมาเซ็นสัญญา แต่เราจะกินพิซซ่าร่วมสาบานกัน ดีไหม ฉันจะโทรไปบอกกีวี่ว่าจะไม่ย้ายไปอยู่กับเขาแล้ว แต่จะชวนเขากับคาสุมากิจพิซซ่าด้วยกันที่นี่แทน”

ใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าดุ เคร่งขรึมค่อยๆ คลี่ยิ้มออกจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง

คิดได้ยังไงนะ เซ็นสัญญาสงบศึกด้วยพิซซ่า ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยินนี่ล่ะ

“ไม่ต้องมายิ้มขำเลยนะ เดี๋ยวฉันก็ไม่ยกโทษให้หรอก ฉันจะไปโทรชวนสองคนนั้นแล้วนะ นายไปสั่งพิซซ่าได้แล้ว”

หญิงสาวสั่งการก่อนจะนั่งรอด้วยมาดคุณนายชี้นิ้วสั่งเพราะตัวเองกำลังเป็นต่อ... ก็รู้อยู่เหมือนกันว่าตัวเองใจอ่อน ยอมรับคำขอโทษของชายหนุ่มง่ายไปหน่อยถ้าเทียบกับการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา... แต่เธอก็รู้มานานแล้วว่าตัวเองมีจุดอ่อนที่เป็นคนใจอ่อนกับเพื่อน การที่สังเกตเป็นเพื่อนสนิทกับคาสุแฟนของกวิราทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกลเหมือนก่อนหน้านี้

อยู่บ้านเดียวกับเพื่อนของแฟนเพื่อนฟังแล้วสบายใจกว่าอยู่บ้านเดียวกับใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักตั้งเยอะ ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมบ้านก็ยังเป็นนายสี่ตาหน้าขรึมคนเดิมนั่นแหละ

และแล้วเรื่องราวก็จบลงด้วยดี… หญิงสาวจบข้อความสุดท้ายลงในสมุดบันทึกในส่วนของวันนี้ Forgiving card น่ารักที่ได้รับมาก็ถูกเก็บแนบเอาไว้ในหน้าเดียวกัน

“หึ คนบ้าอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ จะขอโทษยังต้องส่งการ์ดนำร่องมาก่อน …แถมยังไม่เขียนอะไรลงไปเลยสักตัว ให้มันได้อย่างนี้สิ!”


เมื่อเคลียร์ปัญหาคาใจเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าสังเกตและพิมพ์ชญาจะเข้ากันได้ดีขึ้นจนพิมพ์ชญาเริ่มรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป

แต่ถึงไม่สบายใจก็ใช่ว่าเธอจะมีทางเลือกมากนักอยู่ดี เพราะโรงเรียนก็ยังไม่มีคำตอบดีๆ ให้ในเรื่องของโฮสท์ แฟมิลี่ ส่วนห้องพักที่เอสเตท เอเจนซี่หาให้นั้น เท่าที่ไปดูมาหญิงสาวก็ต้องส่ายหน้าและฆ่าทิ้งไปจากสารบบที่พักของตัวเองในทันที เพราะถ้าไม่อยู่ไกลสุดกู่ ก็เล็กมากจนแทบอยู่ไม่ได้ หรือไม่ก็มีบรรยากาศอับชื้น สกปรก หรือไม่ค่อยน่าจะปลอดภัยเท่าไร …จะว่าเรื่องมากก็อาจจะได้ แต่หญิงสาวก็ยังชอบที่พักที่สะอาด โอ่โถง มีห้องนั่งเล่น มีบริเวณสวนเล็กๆ ซึ่งบ้านที่เธอกำลังอาศัยอยู่นั้นมีครบทุกอย่าง แถมยังเดินทางได้สะดวกอีกด้วย

อันที่จริงพิมพ์ชญาจะย้ายออกและไปอาศัยอยู่กับกวิราก็ได้ แต่เธอก็รู้สึกเกรงใจเพราะห้องพักของเพื่อนก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย อีกทั้งยังอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มอีกต่างหาก ถ้าเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็คงพอทำได้ แต่พิมพ์ชญาก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีที่ไปแห่งใหม่เมื่อไร แม้จะสนิทกันมากแค่ไหนแต่ถ้าต้องรบกวนถึงขนาดนั้นเธอก็ยังคิดว่าไม่เหมาะนอกจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ

...อยู่ที่นี่ แม้จะต้องกังวลกับปัญหาว่าพ่อแม่ที่เมืองไทยจะทำยังไงหรือว่ายังไงถ้ารู้เข้า แต่ถ้าเราทำตัวเป็นปกติใคร้...จะไปรู้ ยังไงเราก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็แล้วกันน่า
เพราะอย่างนี้ หญิงสาวจึงยังอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 24 ถนนคาวลี่ย์ต่อไป ซึ่งตอนนี้สถานการณ์ในบ้านค่อนข้างสงบดี เธอจะกลับบ้านช้าไปบ้างหรืออะไรก็ตามก็ไม่มีเสียงบ่นว่าค่อนขอดให้ระคายหู... หรือถึงมีบ้างก็น้อยมากซึ่งหญิงสาวก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาคงเป็นคนแบบนี้เอง และแม้เธอจะออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนที่โรงเรียนภาษาตามโปรแกรม ผับ ทัวร์ ที่มักจะจัดขึ้นทุกวันพุธโดยการนำของอาจารย์ผู้สอนของห้องเธอเอง ชายหนุ่มยังกลับสนับสนุนเสียอีก

“ดีแล้ว ออกจากบ้านไปพูดภาษาอังกฤษซะบ้าง อยู่ที่บ้านก็พูดแต่ภาษาไทย”

“อ้อ เพิ่งรู้เหรอ เห็นปกติชอบว่าฉันไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องมาดูรายการทีวีของอังกฤษนักนี่”

สังเกตไม่ตอบ… ที่เขาว่าเธอมาตลอดนั้นก็เพราะพยายามจะหาเรื่องขัดแย้งกับเธอทั้งนั้นล่ะ ขืนบอกความจริงออกไปมีหวังแม่เจ้าประคุณพิโรธตาย

แต่ใช่ว่าชายหนุ่มจะเห็นดีเห็นงามกับเธอในทุกๆ เรื่อง อย่างเช่นในวันนี้ พิมพ์ชญากลับบ้านค่อนข้างดึกเนื่องจากเป็นคืนวันเสาร์ ผับหลายแห่งที่ปกติมีกำหนดเวลาเปิดถึงเพียงห้าทุ่มเลื่อนเวลาเปิดถึงตีสอง อันที่จริง หญิงสาวไม่ได้คิดที่จะอยู่จนดึกถึงเวลาผับปิดบริการ แต่แอนนา เพื่อนนักเรียนในคลาสของเธอเมามายอย่างหนักเสียจนกลับบ้านเองไม่ได้ หญิงสาวจึงอยู่รอเป็นเพื่อนเธอคนนั้นจนกว่าแฟนหนุ่มของเธอจะออกมารับ ซึ่งก็ใกล้เวลาผับปิดบริการเต็มที

“กลับมาแล้วเหรอ”

ไฟทางเดินในบ้านถูกเปิดสว่างพรึ่บ พิมพ์ชญาที่ย่องเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบเพราะกลัวคนที่อยู่ร่วมบ้านจะตื่นขึ้นด้วยเสียงรบกวนถึงกับสะดุ้งสุดตัว

“อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ” หญิงสาวถามเสียงเบาเมื่อหายตกใจแล้ว

“ยังไม่นอนอีกเหรอ แสดงว่าที่ถามมานี่ก็รู้เหมือนกันว่าเป็นเวลาที่สมควรเข้านอนแล้ว” น้ำเสียงของชายหนุ่มหงุดหงิด “รู้บ้างหรือเปล่าว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

“ก็… รู้” คนกลับดึกเสียงอ่อยเมื่อเห็นคนตรงหน้ามีสีหน้าง่วงงุน เขาคงจะรอเรากลับมาเหมือนทุกทีสินะ ...แต่คราวนี้เรากลับดึกกว่าปกติตั้งหลายชั่วโมงยังอุตส่าห์รออีกเหรอ “แต่ฉันก็กลับมาแล้วนี่ไง คือ มันมีเหตุขัดข้องนิดหน่อย แต่ไว้ค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปนอนเถอะ”

หญิงสาวตัดสินใจไม่บอกเหตุผล แต่ตัดบทตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปเสียเลยจะดีกว่า …ก็สีหน้าของชายหนุ่มไม่บอกเลยว่าพร้อมที่จะฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น พูดอะไรออกไปตอนนี้ก็คงดูเหมือนแก้ตัว
คนนั่งรอระบายลมหายใจยาว “ทีหลังจะกลับดึกก็บอกหน่อยแล้วกัน คนเขาจะได้ไม่เป็นห่วง”

เป็นห่วง...

ขาวเพรียวยาวที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดชะงักนิดๆ กับคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน อดไม่ได้ที่หันกลับมามองคนที่บอกว่า ‘เป็นห่วง’ สีหน้าของเขาไม่บ่งบอกว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่พิมพ์ชญาก็ไม่คิดว่าเขาจะโกหก จึงตัดสินใจพูดคำที่น้อยนักที่จะพูดออกไป

“ฉันขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ทีหลังถ้าจะกลับดึกอีกจะโทรมาบอกก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวน่าจะสำนึกแล้วว่าตัวเองทำไม่ถูก สังเกตก็เพียงแต่พยักหน้า

“คิดได้อย่างนั้นก็ดี อย่างน้อยถ้าเป็นอะไรไปหรือหายไปไหนจะได้รู้ แต่ทางที่ดีอย่ากลับดึกอีกดีกว่า ถึงออกซ์ฟอร์ดจะค่อนข้างปลอดภัยแต่การกลับดึกๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เข้าใจหรือเปล่า”

“รับทราบค่า”

หญิงสาวตอบแล้วรีบผลุบหายไปก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจเรียกตัวเธอกลับลงมาเทศน์ใหม่ แต่ในขณะที่เปิดประตูเข้าห้องนอนของตัวเอง หญิงสาวเพิ่งจะรู้ตัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึก ‘สบายใจ’ อย่างบอกไม่ถูกที่เดินเข้ามาในห้องนี้ ...อาจจะแปลก ทั้งๆ ที่อยู่มาตั้งหลายวันแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่พิมพ์ชญารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลับ ‘บ้าน’ …เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ แค่เพียงเพราะเธอรู้ว่าที่นี่มีคนรออยู่และเป็นห่วงเท่านั้นเอง


ราตรีนี้ดูเหมือนจะไม่ยอมจบสิ้นลงง่ายๆ หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จเป็นที่สบายตัวแล้ว พิมพ์ชญาเสียบปลั๊กไดร์เป่าผมเหมือนปกติ หากทันทีที่กดเปิดสวิตช์ ไฟก็ดับพรึ่บจนห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด

“ว้าย!!”

หญิงสาวร้องเสียงไม่ดังนักเนื่องจากปกติไม่ใช่คนขี้ตกใจอยู่แล้ว อีกทั้งยังเกรงว่าจะเป็นการปลุกเพื่อนร่วมบ้านที่นั่งคอยเธออยู่เมื่อครู่และคงจะนอนหลับไปแล้ว เธอเริ่มคิดถึงไฟฉาย แล้วก็ต้องตระหนักถึงความจริงที่ว่าเธอไม่ได้เตรียมเจ้าอุปกรณ์สิ่งนี้มาด้วย

บรรยากาศรอบตัวของเวลาที่เพิ่งจะล่วงเข้าวันใหม่ได้สามชั่วโมงนั้นช่างมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากถนนหน้าบ้านสาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย หญิงสาวไม่กล้าขยับไปไหน ได้แต่นั่งกอดเจ้าปุ๊กกี้ ตุ๊กตาหมีที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากเมืองไทยอยู่บนเตียง พลางคิดถึงภาพยนตร์ผีๆ ที่เพิ่งดูก่อนมาจากเมืองไทย

…ปกติเธอเป็นสาวมั่น แม้จะเจอแมลงและสัตว์แปลกๆ ก็ไม่กลัวก็จริง แต่เรื่องผอ สระ อี เนี่ย มันคนละเรื่องกัน!!

เสียงประตูห้องที่เป็นไม้เก่าเปิดออก แอ๊ดดดดด…ตามด้วยใบหน้าที่มีแสงไฟสาดส่องโผล่เข้ามาในห้องช้าๆ คราวนี้พิมพ์ชญาตกใจกลัวถึงขั้นกรีดร้องออกมาจริงๆ

“กรี๊ดๆๆๆๆ อย่าเข้ามานะๆๆๆๆๆ”

อ้อมแขนเรียวกอดกระชับเจ้าปุ๊กกี้ไว้แน่นพลางซุกใบหน้าอยู่ข้างหลังเจ้าหมีสีน้ำผึ้งตัวใหญ่
“นี่ ร้องโวยวายอะไร จะบ้าหรือไง เดี๋ยวข้างบ้านได้แตกตื่นกันหมด นี่ผมเอง”

อ้าว…นายสังเกตเองหรอกเรอะ ตกใจแทบตาย …หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ก็ จะไปรู้เหรอ เห็นเป็นเงาโผล่เข้ามาเงียบๆ ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียงล่ะ”

“ไม่ให้สุ้มให้เสียงบ้าอะไรเล่า ตะโกนถามแล้วว่าเป็นยังไงบ้าง เห็นไม่ตอบก็เลยขึ้นมาดูเอง …นี่กลัวถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ประโยคสุดท้ายเขาพูดเจือหัวเราะ

โชคดีเป็นบ้าที่ไฟดับแล้วมันมืด พิมพ์ชญาบอกตัวเองในใจ เพราะมันมืดนี่แหละ สังเกตจึงไม่ได้เห็นว่าเมื่อครู่เธอตกใจกลัวมากแค่ไหน และตอนนี้ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เพราะใบหน้าของเธอคงกำลังแดงด้วยความเขินที่ถูกจับได้ว่ากลัวจนตัวสั่น เพราะจำได้ว่าเคยพูดอวดดีไปแล้วว่าคนอย่างเธอไม่กลัวอะไรไร้สาระ

“เพิ่งรู้นะ ว่านี่เป็นท่าทางของคนที่เคยบอกว่าไม่กลัวอะไรไร้สาระ”

เขาหัวเราะออกมาหลังจบประโยค คนที่ตกใจกลัวจึงหน้ามุ่ย

รู้แล้วน่า ตอกย้ำจริงๆ ก็คนเขากลัวนี่นา ไม่กลัวบ้างก็แล้วไปสิ ว่าแต่ว่าที่เข้ามาดูเนี่ย เป็นห่วง
หรืออยากแกล้งคนอื่นเขากันแน่ยะ

“ก็… ก็ฉันคิดว่านายเป็น ง่า... 'ชัตเตอร์' นี่นา นายเคยดูไหม ชัตเตอร์น่ะ น่ากลัวออก”

คำตอบของเธอทำให้เสียงหัวเราะนั้นดังยิ่งขึ้น คนกลัวจึงเริ่มเข่นเขี้ยว

หึ ขำได้ขำไป อย่าให้ฉันรู้เชียวนะว่านายกลัวอะไรบ้าง!

“นี่! จะขำอีกนานไหม ไฟดับนี่ฉันเดือดร้อนนะ ฉันเป่าผมไม่ได้ ฉันเพิ่งสระผมเสร็จ ผมยังเปียกอยู่เลย”

”ก็กำลังจะถามนี่แหละ ว่าก่อนไฟดับคุณทำอะไร”

“ก็…” หญิงสาวย้อนคิด “ตอนที่ฉันเปิดสวิตช์ไดร์เป่าผม ไฟก็ดับเองน่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

พิมพ์ชญารีบปกป้องตัวเองทันทีหลังจากถูกเขาหาเรื่องว่าบ่อยครั้ง …ก็คราวนี้ไม่ใช่ความผิดของเราจริงๆ นี่นา

“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ ร้อนตัวไปได้ กำลังจะบอกว่าที่นี่ไฟดับเป็นเรื่องปกติ บางทีถ้าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ความร้อนสูงมากเกินไปไฟมักจะดับเอง ต้องลงไปยกคัทเอาท์ขึ้น …ลงมานี่สิ จะบอกให้ว่าอยู่ตรงไหน เผื่อคราวหน้าไฟดับคุณจะได้จัดการเองได้”


หญิงสาวเดินตามหลังเขาลงไปจนถึงห้องครัวซึ่งมีแผงไฟในบ้านเรียงเป็นตับ แต่ละอันติดป้ายเอาไว้อย่างดีว่าเป็นสวิตช์สำหรับอะไร ทันทีที่สังเกตยกคัทเอาท์ขึ้น ทั่วทั้งบ้านก็กลับเข้าสู่ความสว่างไสวอีกครั้ง บุคคลผู้เป็นต้นเหตุของไฟดับจึงร้องออกมาอย่างโล่งใจ

“ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันกำลังคิดอยู่เชียวว่าถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้คืนนี้จะทำยังไง”

สังเกตหันมามองหญิงสาวเต็มตาและได้พบว่าเพื่อนร่วมบ้านที่ดูเป็นสาวเปรี้ยวแต่งตัวทันสมัยตลอดเวลาคนนั้นไม่รู้หายไปไหน คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสาวน้อยในชุดนอนเสื้อเชิ้ตหลวมและกางเกงขายาวเข้าชุดกันลาย วินนี่ เดอะ พูห์ ที่น่าขำไปกว่านั้นคือในมือของเธอยังมีตุ๊กตาหมีสีน้ำผึ้งตัวใหญ่ที่เจ้าตัวเผลอหยิบติดมือลงมาด้วย พิมพ์ชญามองเห็นสายตาเขาหยุดอยู่ที่เจ้าปุ๊กกี้ในมือของเธอเข้าก็ฉีกยิ้มแหยๆ พลางดึงลูกน้อยของเธอเข้ามากอด

“ถือลงมาด้วยทำไมเนี่ย หือ ตลกเป็นบ้าเลย”

เขาพูดพลางเอื้อมมือมาจับเจ้าปุ๊กกี้ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาว พิมพ์ชญาขยับริมฝีปากย้อน

“หึ ว่าแต่คนอื่น ลองมองในมือของตัวเองซะก่อนสิ”

สังเกตก้มลงมองที่มือของตัวเอง มือข้างที่ถือไฟฉายเขาก็เอาไปจับเจ้าหมียักษ์แล้ว ส่วนอีกข้างหนึ่ง… เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอคว้าหนังสือเรียนเล่มยักษ์ที่กำลังอ่านติดมือลงมาด้วย

ชายหนุ่มสบตาหญิงสาวตรงหน้าแล้วยิ้มเขิน พลางทำท่าซ่อนหนังสือไว้ข้างหลัง ซึ่งทำให้พิมพ์ชญาหัวเราะออกมาเต็มที่

“เห็นไหม นายก็เอ๋อเหมือนกันแหละ เอาลงมาด้วยทำไมเนี่ย ฮะๆ” เธอพูดเลียนแบบสำเนียงและท่าทางของเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

สิ้นเสียงของเธอ ทั้งคู่ก็หัวเราะประสานเสียงกัน สังเกตแก้เขินโดยการบีบจมูกเจ้าหมียักษ์
“เจ้าของแกนี่ ช่างล้อเลียนดีนักนะ”

“ว้ายยย อย่าทำอะไรลูกฉันนะ โอ๋ ลูกแม่ เจ็บหรือเปล่าจ๊ะ”

เคราะห์ดีที่เจ้าปุ๊กกี้ไม่ได้ตอบอะไรออกมา พิมพ์ชญาดึงมือชายหนุ่มออกจากจมูกลูกของเธอ
หนอยแน่ะ บังอาจรังแกลูกสุดที่รัก มันน่าตีมือสักที

คราวนี้สังเกตไม่ได้แกล้งแค่บีบจมูกอีกแล้ว แต่เขากลับคว้าเจ้าปุ๊กกี้ไปกอดทั้งตัว พิมพ์ชญาพยายามแย่งคืน แต่เขาไม่ยอมคืนให้ ครั้นจะกระชากตัวคืนมาก็เกรงเจ้าปุ๊กกี้จะเจ็บ

“อายุเท่าไรแล้วนี่ เล่นตุ๊กตาเป็นเด็กๆ” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าตุ๊กตาให้เจ้าของเอากลับคืนไปง่ายๆ

“ว่าแต่ฉัน ตัวเองก็เล่นตุ๊กตาของคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละ”

“แล้วนี่พรุ่งนี้จะไปไหนหรือเปล่า” สังเกตเปลี่ยนเรื่องแต่ยังไม่ปล่อยเจ้าหมี

“ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน คงแล้วแต่ยัยวี่จะพาไปมั้ง”

“กีวี่เหรอ พรุ่งนี้เขาคงจะไม่ว่างพาคุณไปเที่ยวไหนหรอก”

“เอ๊ะ นายรู้ได้ยังไง”

“วันนี้ผมกับคาสุปั่นรายงานจนเสร็จ คาสุดีใจมากเพราะว่าพรุ่งนี้จะได้พากีวี่ไปเที่ยวสักที หลังๆ มานี้เขางานยุ่งมากเสียจนไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย ดังนั้น เพื่อนคุณคงจะไม่ว่างแล้วล่ะ”

“อ้าว เหรอ”

งั้นพรุ่งนี้จะทำอะไรดี สงสัยจะต้องออกไปเดินเล่นคนเดียวล่ะมั้ง หรืออาจจะโทรไปชวนเพื่อนที่โรงเรียนออกไปเที่ยวด้วยกัน ...ถ้าพวกนั้นสร่างจากอาการแฮงก์ โอเวอร์ได้ทันเวลาอ่ะนะ

“พรุ่งนี้ผมพอมีเวลานะ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า จะเป็นไกด์ให้”

คนที่คิดว่าจะอดเที่ยวเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ไม่แน่ใจว่าเขาพูดผิด หรือว่าเธอฟังผิดกันแน่

“ว่ายังไงล่ะ หรืออยากจะอยู่บ้านคนเดียวก็ตามใจ”

หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างลังเลใจ แต่ภาพของชายหนุ่มตรงหน้าที่มีรอยยิ้มที่หาได้ยากอยู่บนใบหน้าทำให้เธอไม่อยากจะปฏิเสธความหวังดีของเขา ผลสุดท้าย พิมพ์ชญาก็ตอบตกลงที่จะออกไปเที่ยวชมเมืองออกซ์ฟอร์ดกับชายหนุ่มเพื่อนร่วมบ้าน

“ถ้าอย่างนั้นแยกย้ายกันไปนอนดีกว่า กู๊ดไนท์ครับ”

สังเกตพูดพลางทำท่าผายมือเชิญเธอเดินขึ้นบันไดไปก่อน แต่หญิงสาวกลับหันมามองในมือเขา
“กู๊ดไนท์ค่ะ แต่...เอาเจ้าปุ๊กกี้ของฉันคืนมาด้วย”

สังเกตกอดลาเจ้ามีตัวใหญ่อีกครั้ง ก่อนส่งมันคืนอ้อมกอดของผู้เป็นเจ้าของ

“กอดปุ๊กกี้ แล้วนอนหลับฝันดีนะ”

แล้วคืนนั้น ขณะนอนกอดเจ้าปุ๊กกี้ พิมพ์ชญาคิดถึงเสียงใครบางคนลอยขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอกลับไม่เห็นจะฝันดีอย่างที่เขาว่า เพราะเธอฝันเห็นเจ้าของคำพูดนั้นตลอดทั้งคืน!

((ติดตามต่อที่บทที่ 7 ค่ะ))



Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 25 เมษายน 2554 16:04:19 น. 6 comments
Counter : 545 Pageviews.

 
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ 1 ทีที่ลงจนจบ ^^'' ฮา ยาวจริงๆ นะตอนนี้

ตอบคอมเมนต์นะคะ

น้องเน -- แต่ก็ยั่วขึ้นใช่ม้า หุๆๆๆๆๆ (หัวเราะแบบดีใจมาก)

คุณ ree -- ตอนนี้เฉลยแล้วค่า

คุณ an-o -- เป็นยังไงบ้างคะ เดาถูกหรือเปล่า

คุณ mimny -- ก็อะไรประมาณนั้นค่ะ ^^ สองคนนี้เค้าเรื่องเยอะ

น้องตูน -- อ๋อ ผลงานอยู่ในเรื่องสั้น ครสด. 34 ที่จะออกในงานพอดีค่า แต่ถ้าเรื่องยาว อดใจรอหน่อยนะคะ ปั่นอยู่ ถ้าผ่านก็น่าจะได้เห็นกันในไม่ช้าไม่นานนี้ค่ะ (แอบกลัวๆ เหมือนกันน้า)


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:4:13:15 น.  

 
แอ๊...บทหน้านี่ไม่รู้จะตัดตอนไหนมาเรียกน้ำย่อยเลยค่ะ เอาเป็นว่า... (ทำเสียงกระซิบ) ตอนหน้าพระเอกนางเอกของเราจะพาเที่ยวเมืองออกซ์ฟอร์ดค่ะ ใครที่ชอบท่องเที่ยวและอยากอ่านอะไรที่น่ารักๆ พอมีอะไรหวานๆ น้ำตาลโรยๆ บ้าง อย่าพลาดบทที่ 7 เชียวนะคะ


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:4:16:56 น.  

 
พิซซ่าสงบศึก... สงบศึกแบบนี้บ่อยๆก็ดีนะคะ หุหุ

แต่คนขี้เก๊กขอโทษได้น่ารักดีน๊า

นับวันคุณเกตยิ่งจะน่ารักขึ้นทุกวันแล้วสิ><

ปล.ทำไมคิดว่าเสียงหัวเราะของพี่โน๊ตมันชั่งเจ้าเล่ห์พิกล (หลอนแบบแปลกๆอ่ายเสียง หุหุ เป็น โฮ๊ะๆ =[]=!)


โดย: Narilin Nay (กวีร้อยฝัน ) วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:21:08 น.  

 
ว้า อุตส่าห์เก็บอาการแล้วนะ ไม่มิดแฮะ ^^''


โดย: ...ศุวิลา... IP: 125.24.101.145 วันที่: 1 มีนาคม 2554 เวลา:22:06:21 น.  

 
เรื่องนี้มีออกเป็นเล่มไหมคะ
น่ารักดีค่ะ


โดย: bug IP: 203.121.182.195 วันที่: 2 มีนาคม 2554 เวลา:14:54:36 น.  

 
ปักหมุดมาอ่านค่ะพี่โน๊ต


โดย: ColdOut วันที่: 3 มีนาคม 2554 เวลา:20:12:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.