๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ // 2018年6月9日 // June 9, 2018
เดี๋ยวถ้าฉันทำหมันแมว ฉีดวัคซีนให้แมว ทำอะไรต่าง ๆ ในตอนนี้ที่อยากจะทำครบแล้ว ทำสำเร็จเรียบร้อย คือก็ไม่นานหรอก ไม่น่าจะเกินปีนี้ ทำเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองด้วย
ถ้าฉันทำครบเมื่อไหร่ ทำสำเร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ ฉันตั้งใจว่าฉันอยากจะไปบริจาคอวัยวะให้กับสภากาชาดไทย
หลายครั้ง เมื่อเวลาที่ชีวิตฉันอยู่ในช่วงที่กำลังรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ เครียด ๆ สิ้นหวัง ร้องไห้ แต่หลังจากเช็ดน้ำตาของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มานั่งคิด ๆ ดูว่าถ้าหากฉันตายไป แล้วนำร่างกายของฉันไปฝัง ฉันรู้สึกเสียดาย ฉันรู้สึกว่า ถ้าอวัยวะในร่างกายของฉัน มันยังมีประโยชน์อยู่ ก็น่าจะเก็บไว้ให้คนอื่น หากฝังดินทิ้งไปเฉย ๆ มันน่าเสียดาย
"เอาไปให้หมด" ฉันคิดแบบนี้ ถ้าหากมันยังใช้การได้ มันยังดี ก็เอาไปเถอะ เอาไปช่วยต่อชีวิตให้กับคนอื่น ๆ ต่อไป
ฉันไม่ค่อยมีความเชื่อเรื่องโน้นเรื่องนี้ อะไรอยู่แล้ว จะบาป จะบุญ จะชาตินี้หรือชาติหน้า ฉันคิดแค่ว่า"ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำไปเถอะ"
จะเกิดมาชาติหน้าเป็นยังไง ฉันไม่สนอ่ะ เพราะชาตินี้ ชีวิตของฉันก็ใช่ว่าจะดี
มันก็เหมือนกับการที่พาแมวไปทำหมัน แล้วมีคนมาบอกว่าบาป ระวังจะไม่มีลูก ระวังเป็นหมัน อะไรทำนองนั้น ฉันก็เฉย ๆ อ่ะ ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ฉันคิดแต่เพียงว่า"การทำหมันแมว เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์"
เพราะเราไม่ต้องการที่จะเลี้ยงแมวเพิ่มอีกแล้ว และเราต้องการรับผิดชอบสังคมโดยรวม ด้วยการควบคุมจำนวนแมว ไม่ให้ต้องเพิ่มปริมาณเรื่อย ๆ จนเลี้ยงไม่ไหว สุดท้าย แมวของเราก็ต้องกลายเป็นแมวจร เดือดร้อนสังคม และที่สำคัญ สงสารแมวจรเหล่านั้นด้วย ถ้าเราไม่พามันไปทำหมัน ก็เท่ากับว่า เรามีส่วนทำให้พวกมันมีชีวิตที่ยากลำบาก แบบนี้ ฉันว่าน่าจะบาปกว่า ถ้าคิดกันในเรื่องของบุญบาป
แต่ฉันไม่คิดเรื่องบาปบุญหรอก ฉันคิดแค่ว่าถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าทำแล้วมีประโยชน์ ทำแล้วรู้สึกดี รู้สึกมีความสุข ก็ทำ ฉันคิดง่าย ๆ แค่นั้น
กลับมาที่เรื่องของการบริจาคอวัยวะกันต่อ
ซึ่งฉันก็คิดไปอีกขั้นนึงว่า"แล้วถ้าฉันตายตอนแก่ล่ะ?" ถ้าเหมือนกับพ่อบุญธรรมของฉัน ที่ตายตอนอายุ 79 ปี อวัยวะภายในร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไต กระดูก ดวงตา มันจะไม่เสื่อมสภาพแล้วเหรอ? โดยเฉพาะดวงตาของฉันเนี่ย 5555555555555 ขนาดว่าตอนนี้ยังพร่ามัวเลย
ถ้าอย่างนั้น ถ้าฉันตายตอนแก่ ก็บริจาคร่างกายไปด้วยเลย อุทิศตัวเป็นอาจารย์ใหญ่ไปเลย ให้แพทย์ ให้นักศึกษาแพทย์นำไปผ่าตัด ศึกษา ไปวิจัยค้นคว้า
แต่ก็อายหุ่นตัวเอง 5555555555555555 ตายแล้วยังอายอีก
ฉันมันก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าฉันตาย ก็อยากให้ร่างกายของตัวเองมีประโยชน์ต่อไป เอาไปบริจาคให้กับทางการแพทย์จะดีกว่า เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าใครจะทำพิธีศพให้กับฉัน อย่างที่บอกว่า ฉันก็ตัวคนเดียว แก่ตัวไป ก็อยู่คนเดียวอยู่ดีแหละ เป็นยายแก่ ๆ ใช้ชีวิตสันโดษ เพราะฉะนั้นก็บริจาคร่างกายไปเหอะ ไม่ต้องให้ใครมาเสียเงินทำพิธีศพ เก็บเงินไว้ใช้ต่อไปดีกว่า หมายถึง คนที่ยังอยู่ก็เก็บเงินไว้ใช้ดีกว่า เพราะโลกใบนี้ มันยาก การมีชีวิตอยู่ การใช้ชีวิตอยู่ มันยาก เพราะฉะนั้น คนที่ยังต้องอยู่ต่อคือคนที่กำลังเดือดร้อน ฉันก็ไม่อยากให้ร่างกายของฉันต้องวุ่นวายกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น ก็เอาไปทำประโยชน์ทางการแพทย์จะดีกว่า
เมื่อก่อน ฉันไม่กล้าที่จะพูดอะไรแบบนี้นะ เพราะฉันกลัวความตายมาก กลัวเข้าขั้นสุด กลัวจนนอนไม่หลับ นอนไม่ได้ ตื่นมากลางดึก เหงื่อแตก ปวดท้อง ปวดหัว คอแห้ง กระหายน้ำ ยิ่งเมื่อก่อนโน้น สิบกว่าปีที่แล้ว ฉันจะเป็นบ่อยมาก คือช่วงที่พ่อน้อย พ่อบุญธรรมของฉัน เพิ่งจะตายไป พ่อตายตอนเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2548 พอประมาณ ต้นปี พ.ศ.2549 ฉันเริ่มออกอาการกลัวความตายขึ้นมา
ฉันเป็นแบบนั้นมานานแล้ว ตั้งแต่จำความได้ แต่ว่าอาการหนักสุด ๆ ก็ตอนช่วงปีนั้นแหละ พ.ศ.2549 ในทุก ๆ คืน ไม่เคยจะหลับตาได้อย่างสนิทเลย ที่ฉันกลัวความตายมากขนาดนั้น ก็เพราะว่า ... ตอนเด็ก ฉันเคยได้ไปนอนโรงพยาบาลประมาณสองอาทิตย์ ห้องผู้ป่วยรวม ตอนกลางคืน จะมีเสียงร้องโอดโอย คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ฉันได้กลิ่นยา กลิ่นของโรงพยาบาล พอกำลังจะหลับ สักพักก็มีเสียงของพยาบาลเดินมาที่เตียงของคนไข้คนอื่น ๆ บางคืน ก็มาที่เตียงฉัน เพราะฉันทำสายน้ำเกลือหลุด ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูวุ่นวายและน่ากลัว ความมืด ความเจ็บป่วยของผู้คน มันทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัว ในตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่บนโลก ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันกำลังอยู่ในนรก ฉันรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า"ฉันอยากออกไปจากที่นี่ ฉันไม่อยากตาย" ตอนนั้น ฉันอายุ 4-5 ขวบ
นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ฉันเป็นโรคกลัวความตาย ฉันเหมือนคนบ้า อาการกลัวความตายก็เป็น ๆ หาย ๆ
ตอนกลางวัน ฉันจะปกติดี ไม่รู้สึกอะไร แต่พอตอนกลางคืนเท่านั้นแหละ พอรู้ว่าตัวเองจะต้องเข้านอนเท่านั้นแหละ อาการกลัวความตายมาอีกแล้ว นอนไม่ได้อีกแล้ว หลับตาทีไร ก็คิดทุกทีว่าฉันยังไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย ฉันบ้าไปเลย คิดอยู่แต่แบบนี้ เดือนนึงมีประมาณสามสิบวัน ฉันมีอาการแบบนี้ประมาณยี่สิบกว่าวัน
ยิ่งช่วงปี พ.ศ.2549 ฉันอาการหนักมาก เดือนนึง ฉันได้นอนอย่างเต็มอิ่มจริง ๆ โดยที่ไม่คิดถึงเรื่องความตาย เดือนนึงมี 30 วัน ฉันได้นอนอย่างสบายใจแค่ 2-3 คืน
ฉันเอาแต่คิดว่า"ฉันไม่อยากตาย เพราะฉันกลัว" และที่สำคัญ"ฉันไม่อยากลืม" ฉันไม่อยากลืมคนที่ฉันรัก นั่นคือ พ่อน้อย แม่อ้วน ฉันไม่อยากลืมเรื่องราวที่ฉันประทับใจในชาตินี้ของฉัน แต่แปลกที่ฉันไม่เคยคิดถึงชาติหน้า ฉันไม่เคยคิดว่าฉันกลัวว่าชาติหน้า ฉันจะเกิดเป็นโน่นเป็นนี่ คนอื่น ๆ เขาอาจจะคิดถึงชาติหน้ากัน แต่ฉันไม่คิด ฉันคิดแค่ว่า"ฉันกลัว ฉันไม่รู้ว่าฉันต้องไปไหน" และฉันคิดแค่ว่า"ฉันไม่อยากลืมพ่อกับแม่"
เดี๋ยวนี้ ถามว่ายังมีอาการแบบนั้นอยู่หรือเปล่า ก็มีบ้างนะ แต่ไม่บ่อย เดือนนึงก็มีสักครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย
อาจเป็นเพราะว่าฉันเริ่มจะแก่แล้ว ท้ายปีนี้ก็จะ 31 แล้ว อีกทั้งชีวิตในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีมากมาย ไม่ได้มีอะไรน่าเสียดายขนาดนั้น
ผ่านความผิดหวังมาก็เยอะ ชีวิตไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ทำให้ผิดหวัง ฉันก็เลยรู้สึกว่า"จะอยู่หรือจะตาย มันก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่าง" คือความน่ากลัว มันก็น่ากลัวพอ ๆ กัน อนาคตข้างหน้าของฉัน ฉันก็มองไม่เห็นมันเหมือนกัน มันก็น่ากลัวพอ ๆ กับที่ฉันไม่รู้ว่าเมื่อตายแล้ว ฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นจะอยู่หรือตาย ก็น่ากลัวพอกันแล้ว สำหรับฉันในตอนนี้
การที่เรานึกถึงความตายอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกสิ่งที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีตาย หลายครั้ง เมื่อนึกถึงแล้วฉันเกิดความกลัวขึ้นมา แต่กลัวได้ไม่นาน ฉันก็ได้เห็นประโยชน์ของการนึกถึงความตายขึ้นมา มันทำให้ฉันรู้สึกว่าชีวิตนี้ ก็แค่นี้ บางเรื่อง ก็ไม่รู้จะเครียดมากไปทำไม เพราะไม่นานก็ตาย เรามีชีวิตอยู่แบบสบาย ๆ ผ่อนคลายดีกว่า บางอย่าง ฉันก็รู้สึกว่าเราปล่อยไปบ้างก็ได้ ไม่ต้องไปยึดติดอะไรมาก หลายครั้ง ฉันก็เหนื่อยกับการทะเลาะเบาะแว้ง การแก่งแย่งชิงดี ฉันเหนื่อยและรำคาญ
อืม... วันนี้ฉันก็เขียนมาเยอะแล้ว ตัดจบไปเลยดีกว่า 555555555555555555555
เอาเป็นว่า ให้ฉันจัดการปัญหาต่าง ๆ ตอนนี้ให้สำเร็จก่อนนะ แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ไม่เกินปีนี้หรอก ทำหมันแมวอีกสองตัว ฉีดวัคซีน จัดการปัญหาสุขภาพของตัวเอง ทำอะไรที่ค้างคาอยู่ตรงนี้ให้สำเร็จก่อน ไม่มากหรอก เพราะนี่ไม่ใช่เป้าหมายใหญ่ เป็นแค่เป้าหมายเล็ก ๆ หากฉันทำเสร็จแล้ว ฉันจะไปบริจาคอวัยวะ
แต่ตอนนี้ที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ถามว่าทำไมไม่ไปบริจาคเลือด ฉันทำไม่ได้นะ เพราะฉันอ่านข้อกำหนดแล้ว ฉันบริจาคไม่ได้ ฉันเป็นโรคหอบและไทรอยด์ ฉันก็เลยทำไม่ได้ ก็เสียใจเหมือนกัน แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ก็ทำอย่างอื่นแทนแล้วกัน ฉันหมายถึง ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ทำความดีอย่างอื่นแทนก็แล้วกัน อืม... นอกจากเรื่องช่วยเหลือแมวแล้ว ฉันก็ไม่เคยทำเรื่องอื่นเลย หมายถึง การช่วยเหลือแบบใหญ่ ๆ ไม่ใช่การช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าอนาคต ฉันมีโอกาส ฉันมีแรง มีทุน มีเงินมากพอ ฉันจะทำนะ
ดึกแล้ว ฉันไปนอนก่อนนะ วันหลังจะมาเขียนใหม่
เขียนแต่เรื่องเครียด ๆ ขอโทษนะ หากมีใครมาอ่าน แล้วทำให้รู้สึกเครียด
ไปล่ะ
Facebook Twitter |