ดับไม่เหลือ
ความดับไม่เหลือที่สมบูรณ์ด้วยสติปัญญา โดย พระธรรมโกศาจารย์ ( พุทธทาส อินฺทปญฺโญ )
ธรรมเทศนาที่ยังเป็นเพียงคำสอนอยู่นั้น ยังช่วยใครไม่ได้ ถ้าเมื่อใดคำสอนนั้น ๆ มีผู้เห็นด้วยแล้วพากันทำตาม เมื่อนั้นคำสั่งสอนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นรูปเป็นองค์พระธรรม ซึ่งสามารถคุ้มครองผู้เห็นจริง แล้วปฏิบัติตามได้ เหมือนเครื่องกั้นฝนใหญ่ ๆ ช่วยคุ้มฝนให้ในฤดูฝน
เรื่องความดับไม่มีเหลือนั้น มีวิธีปฏิบัติเป็น ๒ ชนิด คือตามปกติขอให้มีความดับไม่เหลือแห่งความรู้สึกยึดถือ ตัวกู หรือ ของกู อยู่เป็นประจำ นี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง หมายถึง เมื่อร่างกายจะต้องแตกดับไปจริง ๆ ขอให้ปล่อยทั้งหมด รวมทั้งร่างกาย ชีวิต จิตใจ ให้ดับครั้งสุดท้าย ไม่มีเชื้ออะไรเหลืออยู่ หวังอยู่สำหรับการเกิดมีตัวเราขึ้นมาอีก ฉะนั้น ตามปกติประจำวัน ก็ใช้อย่างแรก, เมื่อถึงครวจะแตกดับทางร่างกายก็ใช้อย่างหลัง ในกรณีที่ไปประสบอุบัติเหตุไม่ตายทันที มีความรู้สึกเหลืออยู่บ้างชั่วขณะ ก็ใช้อย่างหลัง ถ้าสิ้นชีวิตไปอย่างกะทันหันก็หมายว่าดับไปในความรู้สึกตามวิธีอย่างแรกอยู่ในตัวและเป็นอันว่ามีผลคล้ายกัน คือไม่มีความอยากเกิดอีกนั่นเอง
วิธีปฏิบัติอย่างที่ ๑ ที่ให้ทำเป็นประจำวันนั้น หมายความว่า มีเวลาว่างสำหรับทำจิตใจเมื่อไร ก่อนนอนก็ดี ตื่นนอนใหม่ก็ดี ให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ ด้วยการกำหนดลมหายใจ (หรืออะไรก็แล้วแต่ถนัด) พอสมควรก่อน แล้วจึงพิจารณาให้เห็นความที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงทุกสิ่งไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราหรือเป็นของเรา แม้แต่สักอย่างเดียว เป็นเรื่องอาศัยกันไปในการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้นเอง ยึดมั่นในสิ่งใดเข้าก็เป็นต้องทุกข์ทันทีและทุกสิ่ง การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเล่า ก็คือการทนทุกข์ทรมานโดยตรง เกิดทุกที เป็นทุกข์ทุกที เกิดทุกชนิดเป็นทุกข์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของการเกิดเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นแม่ก็ทุกข์อย่างแม่, เกิดเป็นลูกก็ทุกข์อย่างลูก, เกิดเป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวย, เกิดเป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน, เกิดเป็นคนดีก็ทุกข์อย่างคนดี, เกิดเป็นคนชั่วก็ทุกข์อย่างคนชั่ว, เกิดเป็นคนมีบุญก็ทุกข์ไปตามประสาคนมีบุญ, เกิดเป็นคนมีบาปก็ทุกข์ไปตามประสาคนมีบาป, ฉะนั้น สู้ไม่เกิดเป็นอะไรเลย คือ ดับไม่เหลือ ไม่ได้
แต่ทีนี้ สำหรับการเกิด หรือคำว่า เกิด นั้น อย่าหมายเพียงการเกิดจากท้องแม่ ที่แท้มันหมายถึงการเกิดของจิต คือของความรู้สึกที่รู้สึกขึ้นมาคราวหนึ่ง ๆ ว่ากูเป็นอะไร เช่น เป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนจน เป็นคนมี คนสวย คนไม่สวย คนมีบุญ คนมีบาป เป็นต้น ซึ่งนี่แหละเรียกว่าความยึดถือ หรืออุปาทานว่า ตัวกู เป็นอย่างไร ของกู เป็นอย่างไร ตัวกูหรือของกูอย่างที่กล่าวนี้เรียกว่าอุปาทาน มันเกิดจากท้องแม่ของมัน คือ อวิชชา มันเกิดวันหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง หรือไม่รู้กี่ชาตินั้นเอง เกิดเป็นทุกข์ทุกคราว อย่างไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยง
ทุกคราวที่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง หรือจมูกได้กลิ่น หรือลิ้นได้รส หรือกายได้สัมผัสผิวหนัง หรือจิตมันปรุงเรื่องเก่า ๆ เป็นความคิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเองก็ตาม ถ้าควบคุมไว้ไม่ดีแล้ว ตัวกู เป็นได้โผล่หรือเกิดขึ้นมาทันที และต้องทุกข์ทันทีที่ตัวกูโผล่ขึ้นมา ฉะนั้นจงระวังอย่าเผลอให้ ตัวกู โผล่หัวออกมาจากท้องแม่ของมันเป็นอันขาด เพียงแต่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง เป็นต้น แล้วเกิดสติปัญญารู้ว่าควรจัดการอย่างไรก็จัดการไป หรือนิ่งเสียก็ได้ อย่างนี้ไม่เป็นไร ขออย่างเดียวอย่าให้ ตัวกู ถูกปรุงขึ้นมาจากตัณหาหรือเวทนา อันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ได้เห็น หรือว่าได้ยินเป็นต้นนั้น อย่างนี้เรียกว่า ตัวกู ไม่เกิดคือไม่มีชาตินั่นเอง เมื่อไม่เกิดก็ไม่ตาย หรือไม่ทุกข์อย่างใดทั้งสิ้น นี่แหละคือข้อที่บอกให้ทราบว่า การเกิดนั้นไม่ใช่การเกิดจากท้องแม่ ทางเนื้อหนังโดยตรง แต่มันหมายถึงการเกิดทางจิต ตัวกู ที่เกิดจากแม่ของมันคือ อวิชชา
การ ดับไม่เหลือ ในที่นี้ก็คือ อย่าให้ตัวกูดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาได้นั่นเอง เมื่อแม่ของมันคือ อวิชชา ก็ให้ฆ่าแม่ของมันเสียด้วยวิชาหรือปัญญาที่รู้ว่า ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเอง หรืออีกอย่างหนึ่งก็ว่ามันเกิดได้เพราะเราเผลอสติ ฉะนั้นเราอย่าเผลอสติเป็นอันขาด ถ้าเป็นคนเผลอสติบ่อย ๆ ก็จงแก้ด้วยความเป็นผู้รู้จักอาย รู้จักกลัวเสียบ้าง โดยอายที่ว่าการที่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ๆ มันเป็นคนสารเลว ยิ่งกว่าไพร่หรือขี้ข้าสถุลเสียอีก ไม่สมควรแก่เราเลย
ที่ว่ารู้จักกลัวเสียบ้างนั้น หมายความว่า มันไม่มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าความเกิดชนิดนี้แล้ว มันยิ่งกว่าตกนรกหรืออะไรทั้งหมด เกิดขึ้นมาทีไรเป็นต้องสูญคน เสียคนไม่มีอะไรเหลือ เมื่อมีความอายและความกลัวอย่างนี้บ่อย ๆ สติมันก็จะไม่กล้าเผลอของมันเอง การปฏิบัติก็จะดีขึ้นตามลำดับ จะเป็นผู้ที่มีการ ดับไม่มีเหลือ อยู่เป็นประจำ ทุกค่ำเช้าเข้านอน ต้องมีการคิดบัญชีเรื่องการดับไม่มีเหลือนี้ ให้รู้รายรับรายจ่ายไว้เสมอไป ข้อนี้มีอานิสงส์สูงไปกว่าการไหว้พระสวดมนต์ หรือทำสมาธิเฉย ๆ
เรื่องเกี่ยวกับดับไม่มีเหลือทำนองนี้ ไม่เกี่ยวกับการเพ่งหรือหลับตาให้เห็นสีเห็นดวงที่อะไรแปลก ๆ เป็นทำนองปาฏิหาริย์หรือศักดิ์สิทธิ์ แต่เกี่ยวกับสติปัญญาหรือสติสัมปชัญญะโดยตรงเท่านั้น อย่างมากที่สุดที่มันจะสำแดงออกก็เพียง ถ้ามีสติ่กายสบายใจอย่างที่บอกไม่ถูกเท่านั้นเอง ก็อย่านึกถึงเรื่องนี้จะดีกว่า เพราะจะกลายเป็นที่ตั้งอุปาทานอันใหม่ขึ้นมา แล้วมันก็จะดับไม่ลง และมันจะ เหลือ อยู่เรื่อย คือเกิดเรื่อยทีเดียว, เดี๋ยวจะได้กลุ้มกันใหญ่และยิ่งไปกว่าเดิม
พวกที่ทำวิปัสสนาไม่สำเร็จ ก็เป็นเพราะคอยจับจ้องเอาความสุขอยู่เรื่อยไป มุ่งนิพพานตามความยึดถือของตนร่ำไป มันก็ดับไม่ลงหรือนิพพานจริง ๆ ไม่ได้ มีตัวกูเกิดในนิพพานแห่งความยึดมั่นถือมั่นของตนเองเสียเรื่อย ฉะนั้นถ้าจะภาวนา บ้างก็ต้องภาวนาว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั้นถือมั่น แม้แต่สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั่นเอง
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
สรุปความว่า ทุกค่ำเช้าก่อนเข้านอน ต้องทำความแจ่มแจ้งเรื่องความไม่ยึดมั่น ให้แจ่มกระจ่างอยู่เสมอจนเคยชินเป็นนิสัย จนหากบังเอิญตายไปในเวลาหลับก็ยังมีหวังที่จะไม่เกิดอีกต่อไป มีสติปัญญาอยู่เรื่อย อย่าให้อุปาทานว่า ตัวกู หรือ ของกู เกิดขึ้นมาเลยในทุก ๆ กรณี ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งตื่นและหลับ นี้เรียกว่าเป็นอยู่ด้วยความดับไม่มีเหลือ หรือความไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมะอยู่ในจิตที่ว่างจากตัวตนอยู่เสมอไป เรียกว่าตัวตนไม่ได้เกิดและมีแต่การดับไม่เหลืออยู่เพียงนั้น ถ้าเผลอไปก็ตั้งใจทำใหม่เรื่อย ไม่มีการท้อถอยหรือเบื่อหน่าย ในการบริหารใจเช่นนี้ก็เช่นเดียวกับเราบริหารกายอยู่ตลอดเวลานันเหมือนกัน ให้ทั้งกายและใจได้รับการบริหารที่ถูกต้องคู่กันไปดังนี้ ในทุกกรณีที่ทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นอยู่ด้วยปัญญาไม่มีความผิดพลาดเลย
ทีนี้ก็มาถึง วิธีปฏิบัติที่ ๒ คือในเวลาจวนเจียนจะดับจิตนี้ อยากกล่าวว่ามันง่ายเหมือนตกกระไดแล้วพลอยกระโจน มันยากอยู่ตรงที่ไม่กล้าพลอยกระโจนในเมื่อพลัดตกกระไดมันจึงเจ็บมาก เพราะตกลงมาอย่างไม่เป็นท่าไม่เป็นทาง ไหน ๆ ก็เมื่อร่างกายนี้มันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จิตหรือเจ้าของบ้านก็พลอยกระโจนตามไปเสียด้วยก็แล้วกัน ให้ปัญญามันกระจ่างแจ้งขึ้นมาในขณะนั้นว่าไม่มีอะไรที่น่าจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อเอา เพื่อเป็น เพื่อหวัง อะไรอย่างใดต่อไปอีก หยุด สิ้นสุด ปิดฉากสุดท้ายกันเสียที เพราะไปแตะเข้าที่ไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปเกิดอะไรเข้าที่ไหน หรือได้อะไรที่ไหนมา จิตหมดที่หวังหรือความหลังละลาย ไม่มีที่จอดมันจึงดับไปพร้อมกับกาย อย่างไม่มีเชื้อเหลือมาเกิดอีก สิ่งที่เรียกว่าเชื้อ ก็คือความคาดหวัง หรือความอยาก หรือความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง
หรือสมมุติว่า ถูกควายควิดจากข้างหลัง หรือรถยนต์ทับ หรือตึงพังทับ ถูกลอบยิงหรือถูกระเบิดชนิดใดก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกเหลืออยู่แม้สักครึ่งวินาทีก็ตาม จงน้อมจิตไปสู่ความดับไม่เหลือ หรือทำความดับไม่เหลือเช่นว่านี้ให้แจ่มแจ้งขึ้นใจ (เหมือนที่เคยฝึกอยู่ทุกค่ำเช้าเข้านอน) ขึ้นมาในขณะนั้นแล้ว ให้จิตดับไป ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการ ตกกระไดพลอยกระโจน ไปสู่ความดับไม่มีเชื้อเหลือ ถ้าหากจิตดับไปเสีย โดยไม่มีเวลาเหลืออยู่สำหรับให้รู้สึกได้ดังว่า ก็แปลว่าถือเอาความดับไม่เหลือที่เราพิจารณาและมุ่งหมายอยู่เป็นประจำใจทุกค่ำเช้าเข้านอนนั่นเอง เป็นพื้นฐานสำหรับการดับไป มันจะเป็นการดับไม่เหลืออยู่ดี ไม่เสียท่าทีแต่ประการใด อย่าได้เป็นห่วงเลย
ถ้าป่วยด้วยโรคที่เจ็บปวดหรือทรมานมาก ก็ต้องทำจิตแบ่งรับว่า ที่ยิ่งเจ็บมากปวดมากนี่แหละ มันจะได้รับไม่เหลือเร็วเข้าอีก เราขอบใจความเจ็บปวดเสียอีก เมื่อเป็นดังนี้ ปีติในธรรมก็จะข่มความรู้สึกปวดนั้นไม่ให้ปรากฏ หรือปรากฏแต่น้อยที่สุด จนเรามีสติสมบูรณ์อยู่ดังเดิม และเยาะเย้ยความเจ็บปวดได้ ถ้าป่วยด้วยโรคเช่นอัมพาต และต้องดับด้วยโรคนั้น ก็ให้ถือว่าตัวเราสิ้นสุดไปตั้งแต่ขณะที่โรคนั้นทำให้หมดความรู้สึกนั้นแล้ว ที่เหลือนอนตาปริบ ๆ อยู่นี้ ไม่มีความหมายอะไร ทั้งนี้เพราะว่าจิตของเราได้สมัครน้อมไปเพื่อความดับไม่เหลือเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่ก่อนล้มเจ็บเป็นอัมพาต หรือตั้งแต่ความรู้สึกยังดี ๆ อยู่ในการเป็นอัมพาตตลอดเวลาที่มีความรู้สึก ครั้นหมดความรู้สึกแล้วมันก็หามีตัวตนอะไรที่เป็นตัวกูหรือของกูที่ไหนไม่ อย่าได้คิดเผื่อให้มากไปด้วยความเขลาของตัวเองเลย ยังดี ๆ อยู่นี่แหละ รีบทำความดับไม่เหลือเสียให้สมบูรณ์ด้วยสติปัญญาเถิด มันจะรับประกันได้ไปถึงเมื่อเจ็บ แม้ในกรณีที่เป็นอัมพาตดังกล่าวแล้ว ไม่มีทางที่จะแพ้ หรือเสียท่าเสียทีแก่ความเจ็บปวดประการใดเลย เพราะเราทำลาย ตัวกู ให้หมดความเกิดเสียแล้ว ตั้งแต่เมื่อร่างกายยังสบาย ๆ อยู่นั่นเอง นี้เรียกว่า ดับหมดแล้วก่อนตาย
สรุปความในที่สุด วิธีปฏิบัติทั้ง ๒ ชนิด ก็คือ จงมีจิตที่มีปัญญาแท้จริง มองเห็นอยู่ว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่นแม้แต่สักสิ่งเดียว ในจิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงอย่างนี้แหละไม่มี ตัวกู หรือ ของกู มีแต่ธรรมะที่เป็นความหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ซึ่งเราจะสมมุติเรียกว่า พระรัตนตรัย หรือมรรค ผล นิพพาน หรืออะไรที่เป็นยอดปรารถนาของคนยึดมั่นถือมั่นนั้นได้ทุกอย่าง แต่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานในสิ่งเหล่านั้นเลย จึงดับไม่เหลือหรือนิพพานได้สมชื่อ นิ แปลว่า ไม่เหลือ พาน แปลว่า ไปหรือดับ นิพพาน จึงแปลว่า ดับไม่เหลือ เป็นสิ่งที่มีลักษณะความหมาย การปฏิบัติ และอานิสสงส์อย่างที่กล่าวมานี้แล้ว
ข้อความทั้งหมดนี้ยังย่ออยู่มาก แต่ถ้าขยันอ่านและพินิจพิจารณาอย่างละเอียดไปทุกอักษร ทุกคน ทุกประโยคแล้ว ก็คงจะพิสดารได้ในตัวมันเอง และเพียงพอแก่การเข้าใจและปฏิบัติ ฉะนั้นหวังว่า คงจะอ่านจะฟังกันอยู่เป็นประจำ โดยไม่ต้องคำนึงว่ากี่เที่ยว กี่จบ จนกว่าจะเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งด้วยปัญญาและมั่นคงด้วยสมาธิ นำมาใช้ได้ทันท่วงทีด้วยสติ สมตามความประสงค์ทุกประการ
Line สวยจากที่ไหน จำไม่ได้แล้ว...ขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ
เพลงบรรเลงเปียโน : สิ้นเวรกันที
//prommayanee.webs.com/sinwenguntee.wma
ชอบใจหยิบไปใช้ได้เลยค่ะ
Create Date : 29 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 20 มีนาคม 2558 12:37:33 น. |
|
67 comments
|
Counter : 1848 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ดาวจ๋า ดาวเจิม ค่ะ (satineesh ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:15:12:09 น. |
|
|
|
โดย: Nudao or Daoja (satineesh ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:15:21:54 น. |
|
|
|
โดย: satineesh วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:15:28:27 น. |
|
|
|
โดย: จ๊ะเอ๋ (เจ๋อ๊ะ ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:16:28:15 น. |
|
|
|
โดย: กชมนวรรณ วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:16:30:06 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:16:31:14 น. |
|
|
|
โดย: พ่อระนาด วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:16:49:35 น. |
|
|
|
โดย: busabap วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:17:18:45 น. |
|
|
|
โดย: หมึกสีดำ วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:17:48:50 น. |
|
|
|
โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:18:16:09 น. |
|
|
|
โดย: CrackyDong วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:18:56:11 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 115.67.77.194 วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:20:48:16 น. |
|
|
|
โดย: satineesh วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:20:55:29 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:21:55:06 น. |
|
|
|
โดย: LooKPat วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:22:16:05 น. |
|
|
|
โดย: นู๋แอนแสนเก๋ (cbreeze21 ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:22:38:40 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:0:08:54 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:0:10:06 น. |
|
|
|
โดย: Romancini วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:5:23:12 น. |
|
|
|
โดย: พ่อระนาด วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:6:56:45 น. |
|
|
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:7:15:35 น. |
|
|
|
โดย: นะ...โมเม วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:7:51:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:7:52:22 น. |
|
|
|
โดย: maew_kk วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:8:35:25 น. |
|
|
|
โดย: maew_kk วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:12:37:33 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:13:25:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:15:54:51 น. |
|
|
|
โดย: นุ๋ดีค่ะ (kun_isara ) วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:18:03:48 น. |
|
|
|
โดย: หมึกสีดำ วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:18:15:04 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:21:28:51 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 30 มิถุนายน 2552 เวลา:22:52:11 น. |
|
|
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:5:04:41 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:18:19 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:21:11 น. |
|
|
|
โดย: พธู วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:55:32 น. |
|
|
|
โดย: พ่อระนาด วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:00:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:12:40 น. |
|
|
|
โดย: Nudao or Daoja (satineesh ) วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:22:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:42:02 น. |
|
|
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:34:04 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:13:50 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:34:08 น. |
|
|
|
โดย: หมึกสีดำ วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:15:14 น. |
|
|
|
โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:5:42:33 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:16:53 น. |
|
|
|
โดย: Nudao or Daoja (satineesh ) วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:02:05 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:02:53 น. |
|
|
|
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:47:18 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:47:28 น. |
|
|
|
โดย: พธู วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:02:26 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:32:10 น. |
|
|
|
โดย: หมึกสีดำ วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:53:13 น. |
|
|
|
โดย: นู๋หญิงจ๋า วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:4:30:15 น. |
|
|
|
โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:5:28:52 น. |
|
|
|
โดย: Romancini วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:6:58:14 น. |
|
|
|
โดย: satineesh วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:32:28 น. |
|
|
|
โดย: I_sabai วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:38:46 น. |
|
|
|
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:25:35 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:48:45 น. |
|
|
|
โดย: maew_kk วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:48:06 น. |
|
|
|
โดย: หมึกสีดำ วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:55:29 น. |
|
|
|
โดย: ญามี่ วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:27:54 น. |
|
|
|
โดย: คนชุมแสง วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:00:23 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
นู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาวนู๋ดาว
นู๋ดาวคนซน ขอเจิมบล็อก ..ปอป้า พรหมญาณี ค่ะ