ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
Group Blog
 
<<
เมษายน 2562
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
15 เมษายน 2562
 
All Blogs
 
จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 9 (Yuri)


 
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดยังคงดังเป็นระยะ แต่เสียงนั้นเบาลงเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าสัตว์ทดลองที่ได้รับบาดเจ็บมากจนใกล้ตาย หรือว่ามันหนีไปทางอื่น 
แต่ที่แน่ๆ ปู่ย่าหลานสี่คนสบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ หลังสงครามคืนนี้ใกล้ยุติลงในไม่ช้า  
ถ้าจัดการได้หมดจะดีมาก เราจะได้รู้วิธีกำจัดมันซะที
ดอนคิดแบบนั้น แต่เขารู้แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำ การเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายกระหายเลือด ระหว่างการต่อสู้ชีวิตล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แค่กระพริบตาก็อาจจะตายไปแล้ว
การขอให้จับเป็นสัตว์กลายพันธุ์หรือผีดิบ ไม่ต่างจากการส่งผู้ล่าออกไปตาย  
“เสียงพวกมันเบาลงเรื่อยๆ ใกล้จะจบแล้วสิ” ลิเลียนเอ่ยขึ้นจากประสบการณ์ “ฉันอยากรู้จริงๆ ว่างานนี้ใครเป็นฮีโร่ อยากจะขอบคุณสักหลายคำ”
แน่ใจเหรอคะย่าว่า อยากทำแบบนั้นจริงๆ   
เกวลินซ่อนยิ้มในหน้า แต่ไม่คิดเฉลยคำตอบ กลัวโดนซักไซ้ จนเรื่องคบหากับแวมไพร์แตกออกไป อยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเอาไว้ แม้จะรู้ว่ามันไม่ถูกต้องนักก็ตาม
...การไม่แจ้งเบาะแสศัตรูถือว่า มีความผิดร้ายแรงมากทีเดียว   
หญิงสาวไม่มั่นใจว่า คนในครอบครัวคิดอย่างไรกับอารียา? ไม่อยากให้ครอบครัวเธอทำร้ายหล่อน ไม่ได้โกรธเกลียดผีดูดเลือด ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะถูกสังหารด้วยสัตว์กลายพันธุ์ในต่างแดนก็ตาม      
เธอมีลางสังหรณ์ว่า อารียาต่างจากแวมไพร์ตัวอื่น แต่แตกต่างอย่างไรนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเกิดมาเพิ่งรู้จักผีดูดเลือดแค่ตัวเดียว
หลังพี่ชายเล่าอย่างละเอียดยิบว่า พวกมันมีลักษณะอย่างไร เธอจินตนาการร่างกายของตนมีน้ำเหลืองไหลทะลัก เดินแข็งทื่อไม่ต่างจากท่อนไม้ ไล่กัดคอทุกคนที่ผ่านมาใกล้แล้วดูดเลือด ทำให้เธอไม่มีความคิดเฉียดไปใกล้สัตว์กลายพันธุ์ กลัวพวกมันเห็นผู้หญิงสวยคมบาดใจแบบตน แล้วห้ามใจไม่ไหว กระโจนมากัดคอดื่มเลือดสาวบริสุทธ์จนแห้งเหือด ทำให้กลายเป็นพวกมันด้วย
เกวลินเบ้ปากอย่างยอมรับไม่ได้    
ตายแล้วศพไม่สวย ฉันไม่เป็นพวกด้วยหรอก...ทุเรศตาย!
พอคิดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา ความคิดก็วกกลับไปยังเพื่อนใหม่ที่ภายนอกไม่ต่างจากคนธรรมดา นอกจากผิวขาวซีดเหมือนฝรั่งที่ไม่ค่อยถูกแดด ว่าตามเหตุผลก็คงไม่มีผีดูดเลือดตัวไหนชอบแสงแดดหรอก
ผีดิบนี่หน้าตาดีเนอะ มิน่าสาวๆ ถึงยอมให้ท่านเคาน์แดรกคูลากัดคอ...คิดอะไรไร้สาระมากเกวลิน  
ตำหนิตัวเองที่ฟุ้งซ่านเอานิยาย มาเปรียบเทียบกับความจริง 
“ถ้าฆ่าพวกสัตว์ดัดแปลงแล้ว จะกำจัดซากมันยังไงครับ?” ดิเรกถามขึ้นอย่างสงสัย ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้มากนัก ส่วนใหญ่รู้แต่เรื่องของผีดูดเลือด
เขารู้ความแตกต่างของสัตว์ทดลองกับผีดูดเลือดว่า เวลาตายจะไม่เหมือนกัน สัตว์กลายพันธุ์จะเหลือซากศพให้ดูต่างหน้า ส่วนพวกหลังจะสลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่งเท่านั้น   
“ทิ้งศพไว้อย่างนั้นไม่ต้องทำอะไร ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ” ดอนตอบ
“อ๋อ ครับ” หลานชายพยักหน้า แล้วจำใส่สมอง
ฮันเตอร์กลุ่มกริชมีกฎเคร่งครัด ที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของกฎหมายบ้านเมือง หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์
จุดประสงค์หลักของฮันเตอร์คือ การกำจัดพวกนอกรีต และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปีศาจร้าย ซึ่งรวมถึงสัตว์ประหลาดของกลุ่มไครอนด้วย แต่หลายครั้งที่หลีกเลี่ยงผลกระทบกับผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ หัวหน้ากลุ่มนักล่าต้องเลือกใช้วิธีที่สูญเสียน้อยที่สุด       
เคยมีบันทึกไว้เหมือนกันว่า ในอดีตกลุ่มนักล่าเคยพลั้งมือฆ่าคนตาย เพราะความเข้าใจผิดคิดว่า เป็นผีดูดเลือด ดังนั้นก่อนปฏิบัติการทุกครั้ง จึงต้องมีการตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่ เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
การทำร้ายผู้บริสุทธิ์ต้องรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม ถึงจะเป็นฮันเตอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้า ก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป   
ประชาชนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมเสมอภาค หาไม่จะทำให้สังคมหรือประเทศวุ่นวาย นำไปสู่ความเสื่อมและล่มสลายได้ เหมือนหลายชาติที่เคยเล่าขานว่ายิ่งใหญ่ในอดีต แต่ปัจจุบันกลับไม่มีชื่ออยู่บนแผนที่โลก
น่าแปลกที่มนุษย์จดบันทึกเรื่องอดีตไว้มากมาย แต่กลับไม่ใส่ใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างจริงจัง
...แต่ชอบทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า     
“ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง หวังว่าคงไม่มีใครบาดเจ็บ หรือตายหรอกนะ” ลิเลียนเอ่ยอย่างเป็นกังวล
หญิงสูงวัยห่วงใยสมาชิกทุกคน ไม่อยากให้ใครต้องสังเวยชีวิตในหน้าที่แบบลูกชายกับลูกสะใภ้ตัวเอง  
“คงไม่เป็นหรอกค่ะ ทีมอาแซมเก่ง” เกวลินปลอบใจย่า
เธอมั่นใจว่า ผู้ลงมือจัดการสัตว์ร้ายไม่น่าใช่มนุษย์ ดังนั้นนักล่ากลุ่มกริชจึงน่าจะปลอดภัย
“ก็จริง...” คนเป็นย่าคล้อยตาม
ทั้งสี่นั่งที่โซฟา ฟังเสียงคำรามของสัตว์กลายพันธุ์ ที่แผ่วลงไปเรื่อยๆ จนเกือบเที่ยงคืนก็ไร้เสียง       
“เงียบไปแล้ว” ดิเรกซึ่งเงี่ยหูฟังตลอดเอ่ยขึ้น หลังไม่ได้ยินเสียงของสัตว์ร้ายนานหลายนาที  
“นั่นสิ” ดอนพยักหน้า แต่เขายังไม่มั่นใจนักว่า สงครามข้างนอกจะสงบลงจริงๆ ไม่ใช่เรื่องฉลาดนักที่จะเดินดุ่มๆ ออกไปดูสถานการณ์ตอนนี้ กลัวจะมีพวกมันหลงเหลือหรือแอบซุ่ม อย่างน้อยก็ต้องรอให้ฟ้าสว่างเสียก่อน
...เวลาสู้กับสัตว์จนตรอกจะต้องระวังรอบคอบเป็นพิเศษ
“ถ้าไม่ตายหมด ก็หนีไปแล้ว” ลิเลียนคาดเดาออกมาบ้าง ยังไงเสียปีศาจร้ายพวกนั้นก็รู้จักความเจ็บปวดและความกลัว    
“ใช่” ชายสูงวัยเห็นด้วยกับภรรยา ก่อนกล่าวต่อ “ยังไงคืนนี้พวกเราก็นอนรวมกันที่ห้องรับแขกนี่แหละ มีอะไรจะได้ช่วยกันทัน”
ดอนไม่เคยตั้งตนอยู่ในความประมาท และนั่นเป็นเหตุผลให้เขามีชีวิตรอดยืนยาวกว่านักล่าส่วนใหญ่
“ค่ะ” / “ครับ” หลานสองคนรับคำอย่างว่าง่าย
ถึงปู่ไล่ขึ้นห้อง ฉันก็ไม่ไปอยู่แล้ว จะตั้งหลักอยู่ข้างล่างนี่แหละ
เกวลินใจสั่นปอดลอย จนลืมง่วงไปชั่วขณะ ทั้งที่เลยเวลานอนไปเป็นชั่วโมง มัวตกใจกับเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ไหนจะเจอแวมไพร์ตัวเป็นๆ ตามด้วยฝูงสัตว์กระหายเลือดแห่มาทักทายแถวบ้านอีก   
ถ้าบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็ประสาทแข็งเกินคนไปแล้ว   
หากรอดไปได้ เธอจะเอาไปเขียนเป็นนิยายขาย เผื่อจะได้เป็นนักเขียนชื่อดังตามรอย ‘บราม สโตกเกอร์’ ผู้แต่งเรื่องแดรกคูลาบ้างก็ได้  
เอาว่ะ ถ้าไม่ตายก็ขอเป็นคนดังกะเขาสักหน่อย
หญิงสาวพยายามคิดแบบตลก เพื่อเรียกขวัญกำลังใจตัวเองให้กลับคืนมา
ไม่ถึงนาที มีเสียงรถหวอตำรวจดังขึ้นหลายคัน ไม่ผิดเพี้ยนจากในโทรทัศน์นัก...พวกผู้รักษากฎหมายมักไปถึงที่เกิดเหตุหลังสุดเสมอ  
“เฮ้อ! น่าจะจบแล้วสินะ” ลิเลียนถอนใจออกมาอย่างโล่งอก จึงชวนเกวลินกับดิเรกซึ่งนั่งที่โซฟาหนานุ่มด้วยเสียงอ่อนโยน “นอนพักเอาแรงกันก่อนเถอะ คืนนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
“ครับ” หลานชายขยับตัวเหยียดขาออกมา กอดอก หัวพิงพนักโซฟา ก่อนหลับตาลงอย่างไม่คิดมาก   
“ลินมานอนกับย่า” หญิงอาวุโสกวักมือเรียกหลานสาว ให้มานั่งที่โซฟายาวตัวเดียวกัน เพื่อปลอบโยนให้อีกคนหายกลัว เหมือนที่เคยทำตอนอีกฝ่ายยังเด็ก เธอรู้จักหลานสาวดีว่า ขี้กลัวขนาดไหน 
สาวหน้าคมรีบลุกไปหาคนเรียก โดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ นั่งข้างๆ ใช้แขนโอบเอวหนาของย่า ซุกหน้าเข้าที่หัวไหล่แบบอ้อนๆ
“ย่าตัวอุ่นจัง” หญิงสาวพึมพำเบาๆ  
ผ่านไปกี่ปี ก็ยังมีนิสัยแบบเด็กๆ กี่ขวบเนี่ยหลานฉัน
ลิเลียนนึกขำ แต่ไม่พูดออกมา ยกมือกอดตอบ จูบปอยผมสีเข้มเบาๆ อย่างรักใคร่
“นอนหลับให้สบายนะลิน ย่าอยู่ตรงนี้ลูก”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะย่า” เกวลินพึมพำ ก่อนหลับตาลง แล้วเข้าสู่ภวังค์นิทราอย่างรวดเร็ว        
ดอนเดินไปกดปิดสวิตช์ไฟกลางห้อง เหลือแค่โคมไฟสลัวภายในห้องรับแขก เหลือบมองภรรยากับหลานสองคนซึ่งหลับไปแล้ว หลังเลยเช้าวันใหม่ไปเกือบชั่วโมง ชายสูงวัยนั่งถอนหายใจเบาๆ ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ในใจอยากรู้สถานการณ์ภายนอกเหลือเกิน ว่าเกิดอะไรขึ้น
หากย้อนไปสักยี่สิบปีก่อน คงไม่รั้งรออยู่ในบ้านแบบนี้แน่ ต้องถืออาวุธออกไปท้าตีท้าต่อยกับปีศาจร้ายพวกนั้นให้รู้ดำรู้แดง
แก่แล้วไม่เห็นมีอะไรดีเลย เฮ้อ! น่าเบื่อชะมัด
นึกปลงสังเวชกับสังขารที่เสื่อมโทรมลงตามเวลา ไม่เอื้ออำนวยกับการเป็นฮันเตอร์ ขืนออกไปก็รังแต่จะเกะกะ กลายเป็นภาระคนอื่นมากกว่า
ดอนเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ที่มีแสงไฟสาดเข้ามาจากภายนอก นึกย้อนถึงสมัยก่อน เขาเคยมีอุดมการณ์อันแรงกล้าในการปราบปีศาจร้ายให้สิ้นซากไปจากโลกนี้  เฉกเช่นเดียวกับเหล่าบรรพบุรุษนักล่ามากมายในอดีต
ทว่าเมื่อผ่านไปหลายปี ความกระเหี้ยนกระหือรือค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ประกอบกับเห็นญาติสนิทมิตรสหายมากมายต้องล้มหายตายจากไปดุจใบไม้ร่วง กับงานที่ไม่ต่างจากการปิดทองหลังพระ...ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเห็น  
การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ลูกชายและลูกสะใภ้ของเขา ทำให้ตอนแทบไม่มีกะจิตกะใจจะสู้กับอะไรอีก จึงเก็บตัวทำใจในบ้านพักใหญ่  
“ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ” คำพูดของพ่อดังก้องในสมอง ย้ำเตือนให้ตอนทำในสิ่งที่สมควรทำต่อไป เขาจึงมีแรงฮึด และเลือกที่จะสู้ต่อไป เพื่ออนาคตของคนรุ่นหลัง ซึ่งรวมถึงเพื่อหลานรักของตนด้วย
ชายอาวุโสไม่ยอมถ่ายทอดความรู้ให้กับหลานชายหลานสาว ไม่ต้องการลากให้ทั้งสองมาเจริญรอยตามบรรพบุรุษ แต่ไม่ได้ขัดขวางยามเห็นเกวลินกับดิเรกแอบซ้อมยิงหน้าไม้ หรือซ้อมอาวุธ หลายครั้งนึกคันปากก็ไปกระซิบกระซาบกับลิเลียนหลายคำ เพื่อให้ไปแนะนำต่ออีกทอด อย่างน้อยทายาทจะได้รู้จักวิธีเอาตัวรอด
ดอนรู้ถึงความสามารถของหลานสาวที่เหนือกว่าหลานชาย หากเกวลินขี้กลัวน้อยกว่านี้อีกสักหน่อย จะเป็นฮันเตอร์ที่เก่งกาจเลยทีเดียว
แต่ลินขี้กลัวแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยง
ถอนหายใจยาวอีกคำรบ ไม่อยากให้หลานเจริญรอยตามตนนัก แต่ถ้าหญิงสาวเลือกจะทำจริงๆ ดอนก็คงได้แต่ตามใจ
...หากโชคชะตาลิขิต มนุษย์เดินดินหรือจะฝืนได้
ชายสูงวัยหลับตาลงเพื่อพักผ่อนบ้าง หลังเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถ่างตารออรุณรุ่ง โดยมีหน้าไม้ใหญ่คู่ใจวางอยู่ใกล้ๆ มือ
 
กริ๊ง! กริ๊ง!
เสียงมือถือกรีดร้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ทุกคนสะดุ้งตื่น
ดอนคว้าอุปกรณ์สื่อสารมาดู  หลังมองชื่อคนโทรเข้า ก็รีบกดรับ
“ว่าไง?” ถามอย่างสั้นห้วน อยากรู้สถานการณ์เมื่อคืนเหลือเกิน ก่อนเงี่ยหูฟังเพื่อนเล่าคร่าวๆ หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นกับคำตอบที่ผิดพลาดไปอย่างมาก หลังอีกฝ่ายพูดจบ เขาก็ถามกลับ “รู้ไหมฝีมือใคร?”  
ดอนปั้นหน้าเครียดขึ้งกว่าเดิม ก่อนรับคำ
“เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็กดวางสายไป
สมาชิกอีกสามคนจ้องหน้าผู้นำครอบครัวเขม็ง รอฟังว่าอีกฝ่ายโทรมาบอกอะไร
ทำไมปู่ต้องทำหน้าเหมือนโลกจะแตกด้วย?
เกวลินกอดหมอนอิง แล้วอดสนเท่ห์ไม่ได้ สังเกตภาษากายของคนรอบตัว เพราะนั่นจะทำให้รู้ความนึกคิดของผู้คนมากกว่าการฟังทั่วไป
Words may lie, but actions will always tell the truth.
...คำพูดอาจโกหกได้ แต่การกระทำมักบอกความจริงเสมอ  
และเป็นลิเลียนที่ถามขึ้นคนแรก
“ใครโทรมาคะ?”
“ออสวีนน่ะ” สามีสบสายตาคู่ชีวิต แล้วตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้ถาม “สัตว์กลายพันธุ์ตายเกลื่อนเลยเมื่อคืน เกือบสิบตัวได้”
หญิงสูงวัยยกมือทาบอกอย่างตกใจ  
“คุณพระ! อะไรจะแพร่พันธุ์เร็วขนาดนั้น”
“แบบนี้ก็เป็นข่าวดีสิครับ” ดิเรกกล่าวขึ้นอย่างร่าเริง โล่งอกโล่งใจที่ไม่มีปีศาจร้ายวนเวียนแถวบ้าน
“จะบอกว่าเป็นข่าวดีก็ไม่ถูก” ชายสูงวัยเอ่ยอย่างกังวล “พวกนั้นตายก็จริง แต่แซมบอกว่าไม่ใช่ฝีมือพวกเรา”  
ลิเลียนทำหน้าขรึม  
มีพวกไหนอีกล่ะเนี่ย?  
“อ้าว! ถ้าไม่ใช่พวกเรา แล้วฝีมือใครครับ?” หลานชายโพล่งถามขึ้นอย่างสงสัย
ชายอาวุโสเม้มริมฝีปากแทบเป็นเส้นตรง ไม่อยากตอบคำถามนี้สักเท่าไหร่
“แซมคิดว่าเป็นฝีมือแวมไพร์”
“หา!” / “แวมไพร์!”
ย่ากับหลานชายอุทานแทบจะพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าชายหนุ่มซีดขาวแทบไร้สีเลือด 
แค่เห็นศพก็บอกได้ ฉันเชื่อแล้วว่าอาแซมเก่งจริงๆ
เกวลินนั่งนิ่งเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว หายใจไม่ทั่วท้องนัก ไม่คิดว่าฮันเตอร์ผู้ช่ำชองแบบแซม จะล่วงรู้การมีอยู่ของอารียาได้เร็วขนาดนี้  
...ได้แต่แอบลุ้นในใจว่า กลุ่มกริชจะเคลื่อนไหวอะไรต่อไป
“แน่ใจเหรอคะ?” ภรรยาสูงวัยอดถามย้ำไม่ได้
“ฟังแล้วก็น่าจะใช่ พวกที่ฉีกสัตว์ประหลาดพวกนั้นเป็นชิ้นๆ ได้ ไม่น่าใช่มนุษย์อยู่แล้ว ออสวีนเล่าว่า ต้นไม้แถวนั้นพังเป็นแถบๆ เลย...เสียดายจริงๆ ที่เมื่อคืนฉันไม่ได้ออกไปดู”
ตำรวจคงกั้นที่เกิดเหตุไว้อย่างแน่นหนา รวมถึงพยายามปิดข่าว เพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่น หากข่าวว่ามีศพตายเกลื่อน เมืองท่องเที่ยวแบบพัทยาคงเดือดร้อนแสนสาหัส นักท่องเที่ยวขวัญผวาไม่กล้ามา ย่อมส่งผลกระทบกับ GDP ของประเทศ...มองทางไหนก็มีแต่ลบกับลบ
หากถามว่า ผู้บริหารประเทศระแคะระคายกับเรื่องปีศาจพวกนี้บ้างไหม แน่นอนว่ารู้อยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีศักยภาพพอที่จะจัดการกับอมนุษย์ จึงจำเป็นต้องว่าจ้างกลุ่มคิลเลอร์ให้ไปปราบปีศาจร้าย ให้เงียบกริบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ความลับเรื่องผีดิบ สัตว์ประหลาดอันเกิดจากการทดลอง รวมถึงพวกปีศาจนอกรีต จึงถูกปกปิดมาได้เนิ่นนาน โดยเล่าขานเป็นตำนานแทน   
“แล้วทางกลุ่มกริชจะทำยังไงต่อคะ?” เกวลินถาม ในใจนึกเป็นกังวลกับความปลอดภัยของเพื่อนใหม่
หวังว่ากลุ่มฮันเตอร์คงไม่หันไปจัดการกับไอหรอกนะ
หญิงสาวพยายามคิดในแง่ดี
“ต้องรอประชุมคืนนี้ก่อน” ปู่ตอบเสียงเรียบ หยุดหลายวินาทีจึงพูดต่อ “แต่ปู่เดาว่า หัวหน้าคงต้องสั่งเก็บมันเร็วๆ นี้”  
เก็บ!
เธอกำหมัดข้างตัวแน่น กลอกตาไปมา ความเป็นห่วงแวมไพร์สาวพุ่งทะลักอย่างไร้เหตุผล ตั้งใจจะหาทางส่งข่าวให้หล่อนหนีไป ก่อนที่จะถูกกลุ่มกริชไล่ล่า
หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากอารียาเมื่อคืน ไม่รู้ว่าสัตว์ทดลองพวกนั้นจะคร่าคนไปอีกกี่ชีวิต เมื่อคิดแบบนั้น ยิ่งทำให้หญิงสาวต้องยื่นมือไปช่วยหล่อนเป็นการตอบแทนน้ำใจบ้าง  
บางทีในหมู่ปีศาจร้าย อาจจะมีปีศาจดีๆ แฝงตัวอยู่ก็ได้...ใครจะรู้?  
OoXoO



Create Date : 15 เมษายน 2562
Last Update : 15 เมษายน 2562 21:41:45 น. 0 comments
Counter : 620 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


Friends' blogs
[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.