ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
พฤษภาคม 2562
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
6 พฤษภาคม 2562
 
 
จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 15 (Yuri)

๑๕
 
อารียากำชับให้เฟสเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับศึกหนักที่ใกล้จะมาถึง การเผชิญหน้ากับควินน์ ไม่ต่างจากการอยู่ในวงล้อมของพวกผีดิบกระหายเลือด เพราะหมอนั่นไม่เคยอยู่ลำพัง ไปไหนจะมีบอดี้การ์ดเต็มไปหมด เพื่อแสดงถึงอำนาจบารมีในฐานะราชาของเหล่าแวมไพร์
“ระวังตัวด้วยนะ อย่ามัวแต่จีบสาวเพลินล่ะ” แม่มดสาวกล่าวติดตลก ใจจริงอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเพื่อนรักกำลังเนื้อหอมมีหลายฝ่ายหมายหัว
พูดเข้าไป
ฝรั่งสาวกลอกตาไปมา ค้อนปะหลับปะเหลือก
“เออ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ขอบใจ”
แวมไพร์สาวโบกมือร่ำลา คว้าเป้สะพายไหล่ แล้วลุกไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แล้วออกจากร้าน ขยับฮู้ดสวมศีรษะ จึงดูไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไป
คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
เฟสสะบัดความกังวลใจออกจากสมอง แล้วออกจากร้าน เลี้ยวไปคนละทางกับอารียา เธอรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ หันมองซ้ายขวาเมื่อไม่มีคนอื่น จึงชักไม้เท้าสีดำสนิทขนาดเกือบฟุตออก มาจากแขนเสื้อ ยกขึ้นโบกในอากาศเป็นวงกลม แล้วพึมพำร่ายคาถาอย่างชำนิชำนาญ
“เอสเต้ กาวิลัส”
ทันทีที่ร่ายจบ ประตูล่องหนก็ปรากฏขึ้น เธอรีบเดินผ่านเข้าไป ไม่กี่วินาทีต่อมาประตูนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เฮ้ย! หายไปไหนแล้ว” เสียงทุ้มต่ำโวยวาย หลังเป้าหมายคลาดสายตาไปแวบเดียว ทั้งที่เขาเห็นกับตาว่า สาวชุดดำเลี้ยวเข้ามาในตรอกนี้ชัดๆ
“ซวยแน่คราวนี้!” อีกคนยกมือเกาหัวอย่างเดือดดาล  
คนแรกกัดริมฝีปาก หันไปปรึกษาคู่หู   
“เอาไงต่อ?”
“ลองค้นทั่วๆ ดูอีกที ไม่น่าไปไหนได้ไกลหรอก” ชายคนที่สองมองโลกในแง่ดี “ถ้าไม่เจอจริงๆ ค่อยกลับไปรายงาน”
ชายคนแรกหน้าซีด หลังได้ยินคำว่า ‘รายงาน’ ด้วยไม่อยากคิดว่าจะถูกด่าขนาดไหน หลังทำงานพลาด ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
ทั้งสองหยิบไฟฉายออกมาเช็ครอบๆ อย่างละเอียด แต่ก็คว้าน้ำเหลว ได้แต่คอตก แล้วล่าถอยกลับไป  
“ตามมาทำไมล่ะเนี่ย” เฟสพึมพำอย่างเบื่อๆ แล้วออกมาจากที่ซ่อนในกำแพง เมื่อเห็นว่าปลอดภัย
แม่มดสาวสังเกตเห็นชายสองคนยืนลับๆ ล่อๆ อยู่นอกร้าน จ้องมาบ่อยๆ ตั้งแต่อยู่ในร้านกาแฟ จึงสงสัยว่า เป็นสปายที่ถูกส่งมาตามเธอหรือไม่ก็เพื่อนรัก แต่ไม่แน่ใจว่าพวกนี้ทำงานให้ใคร? อาจจะเป็นลูกน้องของควินน์ ราชินีมิรา หรือกลุ่มไครอนก็ได้
คิดไม่ถึงว่าฉันก็มีเสน่ห์เหมือนกันนะเนี่ย มีหนุ่มตามต้อยๆ ตั้งสองคน ยุ่งชะมัด!     
นึกประชดในใจ ถอนหายใจ ไม่อยากจะคิดถึงความยุ่งยากที่จะตามมาอีกเป็นหางว่าว...หากอารียาลงมือทำการณ์ใหญ่จริงๆ   
หวังว่าทางไอคงไม่มีอะไร
เธอหมุนตัว แล้วเดินไปยังที่พักของตน
 
อารียาลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ไม่ค่อยมีผู้สัญจร ออกวิ่งสุดแรงเพื่อให้ไปถึงบ้านของเกวลินในเวลาอันสั้น ระหว่างที่วิ่งอยู่มีความคิดนับพันนับหมื่นโลดแล่นอยู่ในสมอง เรื่องของไลล่าอดีตคนรักเชื่อมโยงมาถึงสาวหน้าคม
เป็นไปได้หรือที่ลิน...จะเป็นไลล่ากลับมาเกิด
ยังคงคลางแคลงใจ ในเรื่องที่มีความเป็นไปได้น้อยกว่าเศษหนึ่งส่วนร้อยล้าน
หล่อนไม่ได้ถูกปลูกฝังให้เชื่อในพระเจ้า แค่เคยอ่านเจอในเรื่องของปาฏิหาริย์ และสิ่งเหนือธรรมชาติมาบ้าง
...ซึ่งแน่นอนว่าผีดูดเลือดก็ถูกจัดเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ฝรั่งสาวยังคงสงสัยว่า ตนสนใจเกวลินเพราะอะไร? เพราะเธอมีหน้าตาคลับคล้ายคนรักเก่า แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
แต่หากถามว่า สองสาวมีนิสัยใจคอเหมือนกันไหม?
หลังคุ้นเคยกันมาระยะหนึ่ง สาวผมทองตอบได้เลยว่าไม่ สองคนนี้แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย  
ไลล่าอ่อนโยนจนดูอ่อนแอ เป็นกุลสตรีที่มีความสามารถในเรื่องการตัดเสื้อผ้าโดดเด่นอย่างมาก ขณะที่เกวลินร่าเริงสดใส ไม่อ่อนแอจนป้องกันตัวเองไม่ได้ ดูเป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้า มีความเป็นแม่ศรีเรือนอยู่บ้าง ทำอาหารได้นิดหน่อย นอกนั้นแทบไม่มีอะไรพิเศษ
เป็นไปไม่ได้หรอก
บอกกับตัวเองแบบนั้น ไม่อยากมีความหวังลมๆ แล้งๆ กลัวความผิดหวัง  
หรืออีกนัยก็คือ หล่อนยอมรับว่า เกวลินก็คือเกวลิน
สาวหน้าคม...ไม่ใช่ไลล่า ไม่ใช่ตัวแทนใครทั้งนั้น อบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ชิด จนแวมไพร์สาวไม่อยากจากไปไกล
อารียาชะลอความเร็วลงเมื่อเข้าเขตหมู่บ้าน เดินหลบสายตาของยามรักษาการณ์ไปจนถึงด้านหลังบ้านของเธอ ซึ่งมีแสงไฟสลัว เพ่งมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง แวมไพร์สาวไม่อยากให้เรื่องที่ตนเป็นเพื่อนกับหญิงสาวล่วงรู้ไปถึงหูศัตรู เพราะนั่นอาจจะนำเภทภัยมาสู่เกวลินกับครอบครัวได้
เมื่อเห็นว่าปลอดคน แวมไพร์สาวกระโดดลอยขึ้นไปตามกำแพง ไม่ต่างจากพวกจอมยุทธ์ที่มีวิชาตัวเบาสูงส่งในภาพยนตร์จีนนัก แค่เกาะกำแพงเหวี่ยงตัวไม่กี่ที อารียาก็ขึ้นไปถึงดาดฟ้าของบ้านหลังใหญ่ หลังมองไม่เห็นหญิงสาวอยู่บนนั้น หล่อนก็ก้าวลงบันไดไปยังชั้นสาม
ก๊อก! ก๊อก!  
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง
“แป๊บนึงค่ะ” เจ้าของห้องในชุดนอนยาวขานรับ รีบลุกจากโต๊ะมาเปิดประตู ทำตาโตเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ “ขะ...เข้ามาก่อนสิ”
เธอรีบปิดประตูห้อง ก่อนที่คนอื่นในบ้านจะมาเห็นเข้า
อารียาเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้โดยไม่ต้องเชิญ
“มีอะไรหรือเปล่า?” เกวลินถาม ทิ้งตัวนั่งที่ขอบเตียงใหญ่ เพราะในห้องมีเก้าอี้แค่ตัวเดียว
“แค่แวะมาหาเฉยๆ” สาวผมทองพูดเสียงปกติ เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ถือวิสาสะพลิกดูหนังสือที่อีกคนอ่านค้างไว้ เป็นหนังสือเก่าๆ ที่หยิบมาจากร้านของปู่ดอน
...The Vampire Hunter’s Diary บันทึกของนักล่าแวมไพร์
นักล่าแวมไพร์?
หล่อนขมวดคิ้วมุ่น หลังอ่านชื่อเรื่องที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ เงยหน้าแล้วถามขึ้น
“อ่านหนังสือแบบนี้ด้วยหรือ อย่าบอกนะว่าลินอยากเป็นฮันเตอร์กับเขาด้วย”
เธอยักไหล่น้อยๆ ด้วยความเคยชิน  
“เปล่าซะหน่อย แค่อยากรู้อยากเห็นเรื่องผีดูดเลือด”
หล่อนกลอกตาไปมา แล้วยกยิ้ม
“อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”
สาวหน้าคมทำหน้าดีใจ  
“ถ้าถาม ไอจะตอบไหม?”
“ถ้าตอบได้นะ”
“งั้นข้อแรก แวมไพร์กลัวแสงอาทิตย์จริงหรือเปล่า? ถ้าโดนแสงร่างจะสลายกลายเป็นฝุ่นผงใช่ไหม?”
“ก็ใช่” สาวฝรั่งตอบ หยุดนิดนึงแล้วพูดต่อ “แต่ไม่ใช่ทุกตัว”
ไม่ใช่ทุกตัว แปลว่าอะไร?
“แปลว่าอะไร?” เธอทำหน้าไม่เข้าใจ
“ผีดูดเลือดที่อยู่มานาน อายุสักหลายร้อยปี จะมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับเดินตากแดดตอนเที่ยงได้ แต่ถ้าเป็นแดดตอนเช้าๆ หรือเย็นๆ หากสวมเสื้อผ้ามิดชิดไม่ให้สัมผัสแดดโดยตรง ก็ไม่มีปัญหา”
“แปลว่าไออยู่มานานแล้ว?” เธอวกมาถามเรื่องของอีกฝ่าย
“ก็คงงั้น” หล่อนตอบอย่างกำกวม
“สองร้อยปีหรือสามร้อยปี?”
ผู้ถูกถามยิ้ม แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“อายุเท่าไหร่ก็บอกมาสิ ไม่ต้องอายหรอก อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นเอง”  
แวมไพร์สาวนิ่งกลอกตาคิดหนัก ด้วยปกติไม่เคยใส่ใจกับเรื่องนี้ จึงยกนิ้วขึ้นนับ
“ตอนนี้คริสตศักราชเท่าไหร่?”
“2019” 
“อืม หกร้อยยี่สิบขวบ”   
“อะไรนะ!” น้ำเสียงของหญิงสาวสูงปรี๊ด ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อสักนิด ก็รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายดูยังไงก็ไม่น่าเกินยี่สิบห้า  
แก่กว่าฉันหกร้อยปี...อะไรจะขนาดนั้น
อารียายกยิ้มแบบกวนๆ 
“ไม่เห็นแปลกเลย ที่อายุเกือบพันปีก็ยังมีนะ แต่คงหายากหน่อย ทวีปเอเชียน่าจะไม่มีเพราะร้อนเกิน”
ดีแล้วที่ไม่มาอยู่แถวนี้
เกวลินแค่นหัวเราะ กับความอายุยืนของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด ที่น่าใกล้เคียงกับคำว่า ‘อมตะ’ มากกว่าคน ยังไม่นับรวมถึงผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์เหลือเกิน คนอายุหกสิบก็เหี่ยวย่น หย่อนยาน ห้อยโตงเตง คงมีแค่หูที่ตึงขึ้น  
“ถ้างั้นคุณเฟสก็...” มนุษย์สาวถามไปถึงเพื่อนแม่มดที่เพิ่งเจอ
“รายนั้นอายุแก่กว่าฉันปีสองปี” หล่อนตอบ    
“ยังไงก็หกร้อยกว่าอยู่ดี” หญิงสาวส่ายหน้ากับอายุที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไปเป็นสิบเท่า
อยู่ได้ยังไง น่าเบื่อตายเลย
เกวลินไม่คิดอยากอยู่ยั้งยืนยงขนาดนั้น แม้จะอายุยังน้อยแต่เธอรู้ว่าสักวันทุกสิ่งต้องสลายไป
ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ในพุทธศาสนา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป...ไม่มีอะไรฝืนกฎธรรมชาติได้  
ทำหน้าได้น่ารักดี
อารียายิ้มอย่างเอ็นดู
“งั้นตาฉันถามบ้างนะ?”
“ว่ามาสิ”
“ฉันอยากรู้เรื่องแม่ของลินน่ะ”
“แม่เหรอ?” หญิงสาวพึมพำ “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแม่เท่าไหร่ แม่เสียตั้งแต่ฉันเด็กมาก รู้แค่แม่เกิดและโตที่ญี่ปุ่น เจอกับพ่อตอนเป็นนักเรียน แล้วก็รักกัน หลังแต่งงานก็ย้ายมาเมืองไทย ญาติๆ ของแม่ฉันไม่รู้จักสักคน...พวกเขาคงไม่นับฉันเป็นญาติแล้วมั้ง”
ญี่ปุ่น!
แวมไพร์สาวอึ้งไป ปะติดปะต่อเชื่อมโยงกับสิ่งที่เฟสเล่า มีความเป็นไปได้มากว่า สาวหน้าคมอาจจะเป็นญาติกับไลล่า
...หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีสายเลือดของชามันคาด้วย
หล่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย และคิดจะปกปิดเรื่องสำคัญนี้เอาไว้
หากมีคนรู้ความลับนี้  ชีวิตของเกวลินจะตกอยู่ในอันตราย ฝูงแวมไพร์จะออกตามล่าแบบพลิกแผ่นดิน หลังจับได้ พวกนั้นจะไม่เปลี่ยนเธอให้เป็นผีดิบ แต่จะใส่กรงเลี้ยงเยี่ยงสัตว์เลี้ยง แล้วสูบเลือดเป็นอาหาร ไม่ต่างจากที่มนุษย์รีดนมวัวนัก  
...แค่จินตนาการก็โหดร้ายมากเกินพอแล้ว
...มีสายเลือดแม่มดจำนวนไม่น้อยที่ถูกทรมานแบบนี้ จนกระทั่งขาดใจตาย เป็นชะตากรรมที่น่าสงสารมาก  
ก่อนหน้านี้แม่ของหล่อน กับทีน่าแม่ของเฟส ซึ่งเป็นประมุขสองเผ่า ได้ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรต่อกัน ทำให้เหล่าผีดูดเลือดไม่กล้าจับแม่มดมาเป็นสัตว์เลี้ยงอีก ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก ด้วยการขึงตากแดดจนสลายเป็นฝุ่น   
แต่สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ถูกทำลายลง หลังอาณาจักรรัตติกาลล่มสลายไป หลายปีที่ผ่านมา มีการล่าสายเลือดแม่มดแบบลับๆ เกิดขึ้น ทีน่าในฐานะประมุขได้พยายามช่วยเหลือ ด้วยการส่งจอมเวทระดับสูงและระดับกลางออกไปทำลายแหล่งค้ามนุษย์เชื้อสายแม่มด
อารียาได้เข้าร่วมปฏิบัติงานลักษณะนี้กับเฟสหลายครั้ง ได้เห็นสภาพเลวร้ายที่เกิดขึ้น นึกอเนจอนาถใจที่เห็นสายเลือดแม่มดจำนวนไม่น้อยต้องบาดเจ็บหรือพิการ เพราะฝีมือของเผ่าพันธุ์แวมไพร์  
ยิ่งเห็นความโหดร้ายของเผ่าตัวเองมากขึ้น หล่อนยิ่งรับไม่ได้ จึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ไม่สนใจว่าใครจะมองตนอย่างไร โดยเลือกที่จะทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง และทำในสิ่งที่หัวใจของตัวเองเรียกร้อง ไม่สนใจว่า จะถูกตราหน้าเป็นพวกนอกคอกหรือฮีโร่  
หล่อนแค่เลือกที่จะเป็นอิสระ และเป็นตัวของตัวเอง                   
ฉันไม่ยอมให้ลินต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ แบบนั้นแน่...ไม่มีวันยอมเด็ดขาด
อารียาสาบานกับตัวเอง ไม่คิดจะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้คนรู้จักต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น พลันนึกตำหนิตัวเองที่ไร้ความสามารถ ช่วยอะไรใครไม่ได้ ทั้งที่ตัวหล่อนมีสายเลือดบริสุทธิ์ของราชวงศ์ Ashely และนึกไปถึงเจตนารมณ์ของมารดาผู้ล่วงลับ ที่ต้องการให้ทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ   
ฉันมันไม่เอาไหน เก่งไม่ได้เสี้ยวของแม่เลยด้วยซ้ำ...แย่ชะมัด
ทำไมต้องทำหน้าเศร้าด้วย?
เกวลินอดสงสัยไม่ได้ หลังสังเกตเห็นหล่อนทำหน้าเคร่งขรึม ทั้งที่เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่เลย
“ไอเป็นอะไร?”
แวมไพร์สาวหันสบตาอีกฝ่าย แล้วฝืนยิ้ม
“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ ขอโทษด้วยที่เมื่อกี้ถามถึงเรื่องเศร้าๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็มีปู่ ย่า แล้วก็พี่ชาย” เธอพูดเสียงใส นัยน์ตาคู่คมเป็นประกายวิบวับ สวยงามเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า “แล้วก็ยังมีไออีกด้วย”
ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนน่ะสิ
สาวผมทองหุบยิ้ม เมื่อคิดถึงอนาคตของตัวเอง
ไม่มีแวมไพร์ตนไหนอยากเผชิญหน้ากับควินน์ พวกที่ปากกล้าลองดีกับเขา มักลงเอยด้วยการเป็นขี้เถ้า หรือไม่ก็ต้องก้มหัวเป็นทาสหมอนั่นไปตลอดกาล  
หลังอาณาจักรรัตติกาลล่มสลาย ควินน์จงใจแสดงอำนาจ เพื่อให้ผีดูดเลือดทั้งหลายยำเกรง เบ่งรัศมีให้สูงทัดเทียมกับผู้นำสายเลือดเก่าอย่างราชินีมิรา
แต่ถึงจะพยายามขยายอิทธิพลมานาน แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับทัดเทียมกับราชวงศ์เก่า เหล่าผีดูดเลือดส่วนใหญ่ยังคงสวามิภักดิ์ให้สายเลือดบริสุทธิ์มากกว่า เว้นเสียแต่ว่า จะฆ่าราชินีด้วยมือของตน ก็จะได้ขึ้นเป็นราชาอย่างถูกต้อง ซึ่งการทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
...การคิดจะหาร่องรอยของมิราและอาณาจักรรัตติกาลใหม่ ยากไม่ต่างจากการงมเข็มในสี่มหาสมุทรเสียอีก     
ช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา มีข่าวแว่วมาว่า มิรากำลังฟื้นฟูอาณาจักรใหม่อย่างลับๆ ทำให้ควินน์นิ่งนอนใจต่อไปไม่ได้ จึงคิดจะลงมือให้รวบรัดที่สุด โดยคิดใช้อารียาเป็นเครื่องมือด้วยการแต่งงาน เพื่อให้เหล่าผีดิบส่วนใหญ่หันมาสวามิภักดิ์กับตน      
“คุณเฟสมาหาไอทำไม?” สาวหน้าคมนึกคลางแคลงใจกับเรื่องนี้
ตอบยังไงดี?
อารียาไม่อยากตอบตามตรง ไม่อยากให้เธอต้องกังวล
“เฟสแค่แวะมาทักทายน่ะ”
แม่มดมาแค่ทักทาย...แปลก?
เกวลินไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย ยกนิ้วชี้แตะแก้มตัวเอง แล้วเดาออกมา
“คุณเฟสมาเพราะเรื่องสัตว์กลายพันธุ์ใช่ไหม?”
“ก็ไม่เชิง” แวมไพร์สาวตอบแบบกำกวม ก่อนยอมบอกหลังโดนเธอจ้องด้วยสายตาคาดคั้น “เป็นเรื่องของผีดูดเลือดกลุ่มอื่นน่ะ”
“แวมไพร์มีหลายกลุ่มเหรอ ไม่ยักรู้”  
“หลักๆ ก็มีสองกลุ่ม” อารียาเล่า
คนฟังทำหน้าสนอกสนใจเป็นพิเศษ
“พวกไหนบ้างล่ะ?”
“พวกแรกก็ราชินีมิรา”
“อ๋อ สายเลือดเก่าของ Asheley”
“ใช่” อารียายิ้มบางๆ ไม่คิดว่าเธอจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย “ส่วนอีกกลุ่มก็พวกควินน์”
“ผู้ทรยศราชินีองค์ก่อน” เธอพูดเสริม จดจำสิ่งที่เคยอ่านผ่านตาได้อย่างแม่นยำ
อายุแค่นี้แต่รอบรู้เยอะนะ หากควินน์มาได้ยินเข้า คงคลั่งแน่
หล่อนนึกขำในใจ  
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
“โห! สองตัวนี้อยู่มาเกือบพันปีแล้วสิ”
“น่าจะประมาณนั้น”  
“สองกลุ่มนี้กำลังคิดจะทำอะไรเหรอ?” มนุษย์สาวซักต่อ
“ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องดี”
“เช่นอะไรล่ะ?”
แวมไพร์สาวชั่งใจว่าควรจะบอกดีหรือไม่ สุดท้ายก็ปริปาก
“สองฝ่ายกำลังขยายอำนาจ อีกไม่นานอาจจะเกิดสงครามแย่งชิงขึ้นอีก”
คุณพระ!
เกวลินยกมือขึ้นทาบอก ใจเหมือนหล่นไปกองที่ตาตุ่ม พึมพำคำทำนายที่เคยได้ยินออกมา
“สายเลือดเก่าแก่ จะกลับมาทวงอำนาจคืน”
“อ๋อ! เป็นคำทำนายของเผ่าจอมเวทน่ะ” หล่อนเล่าที่มาที่ไป ที่เคยได้ยินมาจากเฟส แต่ไม่ถึงกับปักใจเชื่อว่า จะเป็นจริงสักเท่าไหร่  
“ละ แล้วไอล่ะ จะเข้ากับฝ่ายไหน?”
“ยังไม่รู้เลย” อารียาบอกตามตรง “ฉันไม่ชอบฝักใฝ่ฝ่ายไหน ฉันชอบเป็นอิสระมากกว่า”
บรรยากาศในห้องเงียบงันลง เกวลินเม้มริมฝีปากแน่นแทบเป็นเส้นตรง หัวใจว้าวุ่นเต็มไปด้วยความปริวิตก สงครามของผีดูดเลือดจะส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนดาวดวงนี้ จะดีกว่านิวเคลียร์ตรงที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
...แต่จำนวนผู้เดือดร้อน บาดเจ็บ หรือผู้เสียชีวิตคงไม่ต่างกัน
ให้ตายสิ! ฉันนึกว่ามีแต่มนุษย์ที่บ้าสงคราม ที่ไหนได้แวมไพร์ก็บ้าบอพอกัน
“ถ้าไอถูกบีบให้ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งจะทำยังไง?” เธอมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะลอยตัวกับปัญหาใหญ่แบบนี้ ยกเว้นว่าอารียาจะหนีไปปลีกวิเวกไม่ข้องแวะกับโลกภายนอกอีก  
สาวผมสีทองเหยียดยิ้มน่ากลัว
“ฉันก็คงเลือกเล่นงานพวกนั้นก่อนน่ะสิ”
“ด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ?”
สาวสวยไม่ตอบคำถาม ลุกเดินไปหาเจ้าของห้อง ยกมือลูบศีรษะแล้วโยกเบาๆ หยอกล้อ
“คิดมากไปแล้วเด็กน้อย”
เธอปัดมือเย็นของหล่อนให้พ้นจากศีรษะ ทำหน้างอไม่พอใจ
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“ก็แค่อายุยี่สิบเอง ถือว่าเด็กมาก” แวมไพร์สาวอธิบาย ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ชิส์  เอาอายุมาข่มอีก
เกวลินเถียงไม่ออก หลังรู้อายุแท้จริงของอีกฝ่าย ก่อนเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
“แล้วสงครามนี้ จะกระทบกับพวกฮันเตอร์หรือเปล่า?” สาวหน้าคมเป็นห่วงพวกพ้องคนรู้จักกลุ่มกริช กลัวต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย  
หล่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ก็แล้วแต่ว่า พวกเขาอยากกระทบด้วยหรือเปล่า คราวก่อนพวก คิลเลอร์มากมายแห่เข้ามาร่วมสงครามแวมไพร์ เพราะความละโมบ แค่ทองคำไม่กี่ร้อยแท่งก็พาคนมาตายเป็นเบือ ถ้าโลภมากเหมือนตอนนั้นอีก...ผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน”
เกวลินฟังแล้วขนลุกเกรียว ได้แต่หวังว่า ผู้นำของกลุ่มกริชจะไม่ตัดสินใจผิดแบบผู้นำตอนนั้น   
หวังว่าคุณเชนจะไม่ทำแบบนั้น

OoXoO

เล่ม 1 จะอัพจบบทที่ 16 นะคะ แล้วจะอัพเล่ม 2 ต่อ     

E-book เรื่องนี้มีจำหน่ายที่ MEB ทั้ง 2 เล่มแล้วนะคะ ลิงค์นิยายอยู่ด้านขวามือบนค่ะ

ส่วนหนังสือ รายละเอียดการจอง อยู่ที่ลิงค์สินค้า ซ้ายมือบนค่ะ

ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ

นาง ^^

OoXoO



Create Date : 06 พฤษภาคม 2562
Last Update : 6 พฤษภาคม 2562 14:31:41 น. 0 comments
Counter : 551 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com