จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 6 (Yuri)
๖ หลังทานข้าวอาบน้ำอาบท่าเสร็จ สมาชิกทั้งสามมานั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขก ลิเลียนหลับคอพับไปหลายรอบ แต่ไม่ยอมเข้าห้องนอน ดอนนั่งกอดอกถอนหายใจเฮือกเป็นระยะส่วนเกวลินกระวนกระวายใจไม่น้อย ไม่ได้มีสมาธิกับการดูละครสักเท่าไหร่ ลอบชำเลืองดูนาฬิกาที่ผนังทุกๆ สิบนาทีจะห้าทุ่มอยู่แล้ว ทำไมพี่ยังไม่กลับมาอีก...แล้วเวลาแห่งการรอคอยที่แสนทรมานได้สิ้นสุดลงติ้งต๊อง!เสียงออดหน้าประตูดังขึ้น ทั้งสามคนสะดุ้ง และเป็นเกวลินที่ลุกพรวดพราดไปที่ชะโงกดูผ่านหน้าต่างก่อน เมื่อเห็นเป็นพี่ชายก็ยิ้ม หันบอกปู่ย่า“พี่กลับมาแล้วค่ะ มากับอาแซม”“ให้เข้ามาเร็ว” ดอนสั่ง“ค่ะ” สาวหน้าคมเปิดประตูต้อนรับสองคนตามคำสั่ง ก่อนล็อคประตูตามเดิม ทั้งสามเข้าไปในห้องรับแขก ทรุดนั่งเก้าอี้เรียบร้อย การสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น“บาดเจ็บหรือเปล่าลูก?” ลิเลียนถามหลานชายอย่างห่วงใย “ผมไม่เป็นอะไรครับย่า” ดิเรกฝืนยิ้ม พยายามซ่อนความตื่นเต้นบางอย่างเอาไว้ แต่เก็บสีหน้าได้ไม่มิดหน้าซีดมาก ไปเจอดีมาแน่เลย เกวลินเดาในใจ แต่ไม่กล้าถามต่อหน้าผู้ใหญ่ ได้แต่เงี่ยหูรอฟัง“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” หญิงสูงวัยถอนใจโล่งอก “เจอพวกมันไหม?” อดีตวีรบุรุษนักล่าถามตรงๆ เดาจากสีหน้าของทั้งคู่ เชื่อว่าต้องไปเจอกับอะไรมาแน่ สองหนุ่มสบตากัน ก่อนหันกลับมามองคนถาม “เจอครับ” แซมเป็นคนตอบ “แต่พวกนั้นไม่ใช่แวมไพร์”“หมายความว่าอะไร?”“พวกมันคล้ายแวมไพร์แต่คิดว่าไม่ใช่ครับ” นักล่าหนุ่มตอบอย่างลังเล เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวอะไร หืม สามคนที่รอฟังขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ“แปลว่าอะไรคะอาแซม?” สาวหน้าคมอดถามขึ้นไม่ได้ “คือแบบนี้นะ...” แซมเล่าลักษณะของสิ่งที่เจอโดยบังเอิญ โดยมีดิเรกคอยพูดเสริม คนที่เหลือนั่งฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งทั้งคู่ช่วยกันเล่าจนจบภารกิจวันนี้ราบรื่น จนกระทั่งตอนเกือบสามทุ่ม สมาชิกคนหนึ่งเห็นอะไรบางอย่างคล้ายคนโผล่ออกมาจากที่ซ่อนสี่ตัว ภากรผู้นำทีมใหม่กลัวตัวสั่น ส่วนลูกทีมที่กระตือรือร้นในตอนแรก ตัวแข็งทื่อกลายเป็นหิน ไม่เว้นแม้แต่ดิเรก แซมเห็นท่าไม่ดีจึงออกคำสั่งให้สมาชิกอยู่ในความสงบ หลังส่งพิกัดศัตรูไปให้เชนหัวหน้ากลุ่ม ก็ล่าถอยออกมาอย่างเงียบกริบ ไม่มีใครคิดจะเข้าไปต่อสู้กับพวกมัน เหมือนที่ลั่นวาจาไว้แม้แต่คนเดียว“ถ้าเป็นพวกนั้น สถานการณ์แย่กว่าที่คิด” ดอนพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง“พวกนั้น พวกไหนครับ?” ดิเรกถามบ้างอย่างไม่เข้าใจ“อาจจะเป็นสัตว์ดัดแปลง หรือสัตว์กลายพันธุ์จากผีดูดเลือด ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าไครอน” ชายสูงวัยตอบคำถาม“ไครอน?” ลิเลียนทวนคำ เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว “มันยังอยู่เหรอเนี่ย ผ่านมาตั้งห้าสิบกว่าปีแล้วนะ”อ๋อ พวกที่คิดจะผลิตยาอายุวัฒนะที่อ่านเจอวันก่อน แทนที่จะทำยา ดันสร้างปีศาจขึ้นมาแทน...เอาสมองส่วนไหนคิดเนี่ยเกวลินนึกต่อว่าต่อขานพวกที่เรียกตัวเองว่าไครอน ซึ่งทำสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากพวกที่คิดจะปลุกไดโนเสาร์จากฟอสซิล...หากทำได้จริง มนุษย์คงไม่แคล้วสูญพันธุ์แน่ ดอนหันไปตอบภรรยา“ยังไม่รู้ แค่สันนิษฐานน่ะ”“สัตว์กลายพันธุ์นี่ น่ากลัวกว่าแวมไพร์เหรอครับ?” หลานชายซักต่อ พร้อมทำหน้าไม่อยากเชื่อ“ก็คงน่ากลัวพอกัน แต่ที่ร้ายกาจมากคือ พวกนี้จับคนเป็นๆ เป็นหนูลองยาน่ะสิ” ลิเลียนตอบ พอรู้เรื่องพวกนี้จากบันทึกเก่าๆ ที่เขียนถึงสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับผีดูดเลือดเอาไว้ด้วยดิเรกทำตาโตเป็นไข่ห่าน“ขนาดนั้นเชียว!”“ยังไม่มีใครรู้หรอกว่า พวกไครอนกับสัตว์ทดลองจริงๆ แล้วเป็นยังไง เรายังมีข้อมูลไม่มากพอ” แซมที่นั่งฟังเงียบๆ พูดเสริมขึ้น ไม่อยากด่วนสรุปแบบตีตนไปก่อนไข้ จนกว่าจะรู้ข้อเท็จจริงมากกว่านี้แค่รู้ว่า พัทยามีสัตว์ประหลาดออกอาละวาด ก็แย่สุดๆ แล้ว จะรับมือยังไงดีล่ะเนี่ย? แซมคิดหนักเขาถูกบิดาสอนฝังหัวมาว่า ในฐานะฮันเตอร์ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับอะไร ต้องพยายามปกป้องชีวิตคนไว้ให้ได้มากที่สุด“ที่อาแซมพูดก็ถูก แต่การที่พวกมันมาเดินเล่นที่พัทยาหลายตัวแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่” สาวน้อยแสดงความเห็นออกมา นึกหวั่นใจไม่น้อยว่า จะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกเป็นโขยง มีตั้งสี่ตัว คงมีคนตายอีกเป็นเบือ“นั่นสิ” ลิเลียนผงกหัวเห็นด้วยกับหลานสาว“แล้วเราจะรับมือพวกมันยังไงครับ?” ดิเรกถามลิ้นรัวเร็ว ความกล้าหาญที่เคยมีล้นปรี่หายไป ตั้งแต่สามวินาทีแรก ที่เห็นสัตว์กลายพันธุ์พวกนั้น ซึ่งดูแล้วไม่ต่างจากซากศพเดินได้นัก ถามยากไปนะ ฉันจะรู้ไหมดอนพ่นลมหายใจออกปากเบาๆ“ปู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”คำตอบของเขา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเครียดยิ่งขึ้นไปอีก ไม่มีใครพูดอะไรนานหลายนาที ในสมองของอดีตวีรบุรุษนักล่าอยากรู้วิธีกำจัดสัตว์ร้ายพวกนี้ให้สิ้นซาก แต่การจับพวกมันเป็นๆ เพื่อศึกษา ไม่รู้ว่าต้องสังเวยชีวิตอีกสักเท่าไรแค่คิดถึงการแลกเปลี่ยนราคาแสนแพง เขาก็ยากจะทำใจยอมรับ รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตนวางมือ ไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมพาคนไปลุยเหมือนสมัยก่อน แต่กระนั้นก็ยังทรมานหัวใจทุกครั้ง ที่นึกถึงผองเพื่อนและคนรู้จักมากมายซึ่งจบชีวิตต่อหน้าต่อตา...หากเลือกได้เขาคงเลือกที่จะตายแทนมากกว่าอยู่แบบนี้“มีคนไปรายงานเชนหรือยัง?”“ภากรอาสาครับ” คิลเลอร์มือดีตอบยิ้ม รู้เจตนาดีว่า หมอนั่นต้องการเอาหน้ากับพ่อ...ตามสไตล์พวกไร้ฝีมือที่นิยมทำงานด้วยลิ้น “แล้วเด็กนั่นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” ชายสูงวัยอยากรู้ฝีมือทายาทหนุ่มของหัวหน้ากลุ่ม ที่หลายคนคาดหวังให้ขึ้นตำแหน่งนี้เป็นคนถัดไปหากพ่อหมอนั่นเห็นเข้า คงพูดไม่ออกแน่ คนถูกถามยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงสภาพของหัวหน้าทีมมือใหม่ ที่น่าอับอายสุดๆ“คงต้องฝึกอีกเยอะครับอา” เขาตอบกลางๆ“แค่เห็นสัตว์ร้ายนั่นก็สั่นเป็นเจ้าเข้า หน้าซีดซะไม่มี คนอะไรขี้โม้ชะมัด” ดิเรกพูดเยาะอย่างหมั่นไส้ดีแต่ว่าคนอื่น...แซมปรายตามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ซึ่งมีฝีปากล้ำเลิศ ไม่ด้อยกว่าภากรสักเท่าใด “นายก็สั่นเหมือนกัน หรือไม่จริง”โหย! อย่าเอามาขายสิครับ เขายกมือเกาหัวตัวเองแบบอายๆ “ง่า...อาพูดแบบนี้ผมก็แย่สิ”ปู่ย่ากับน้องสาวหัวเราะออกมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายกว่าหลายนาทีก่อนมาก“เวลาเจอศัตรู มือใหม่ก็ปอดลอยทุกคนนั่นแหละ” ลิเลียนพูดแก้ให้หลานชาย ก่อนหันไปพยักพเยิดกับสามี “ใช่ไหมคุณ?”“คงงั้น” สามีเออออค่อยยังชั่วหน่อย ดิเรกยิ้มเจื่อนๆ หลังเจอปีศาจตัวจริง ความห้าวหาญที่เคยมีหดหายไปเยอะ จนไม่แน่ใจว่า หากให้ไปเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายพวกนั้นอีก ...เขาจะกล้าสู้หรือวิ่งหนี? เกวลินนั่งนิ่ง หวนคิดถึงตอนเจอกับแวมไพร์สาว น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกกลัวขนาดหนักอย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้ แถมยังใช้ให้อีกฝ่ายช่วยลูกแมวอีกต่างหากนี่ฉันคงไม่ปกติสินะแซมมองเวลาที่ผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว“ดึกแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง” “ขอบใจนะที่ช่วยดูแลดิเรก” ลิเลียนเอ่ยอย่างซาบซึ้งในน้ำใจงามของเขา“เรื่องเล็กน้อยครับอาหญิง”“พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ อีกไม่นานนายได้ออกรบอีกแน่” อดีตวีรบุรุษเชื่อว่า เชนต้องไม่ปล่อยให้สัตว์ทดลองลอยนวลในเมืองนี้นานนัก เพราะไม่อยากเสียหน้า...ทั้งที่แทบจะไม่มีเหลือแล้วก็ตาม นัยน์ตาสีเข้มของนักล่าหนุ่มวาวเป็นประกาย“ผมพร้อมเสมอครับอา”“มันต้องแบบนี้สิ” ดอนมองลูกชายเพื่อนอย่างชื่นชม“ลาล่ะครับ” แซมยกมือไหว้สองผู้อาวุโส เกวลินกับดิเรกไหว้เขา พร้อมเดินไปส่งที่รถ จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายไปพักผ่อน เกวลินนอนลืมตามองเพดานห้องนอนในความมืด ในใจประหวัดไปถึงผีดูดเลือดสาวที่เพิ่งเจอหวังว่าผู้หญิงชุดดำ คงไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์กลายพันธุ์ อะไรนั่นหรอกนะ...แต่คุ้นหน้ามาก เคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ สาวหน้าคมครุ่นคิดถึงหล่อนวนไปวนมา ก่อนผล็อยหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้น ดอนรับโทรศัพท์จากหัวหน้ากลุ่มนักล่า เรื่องศพที่ถูกสัตว์กลายพันธุ์ทำร้ายจนตายไปหลายวันก่อน ทำให้เขาทำตาโตหลังได้ยินข่าวล่าสุด“ศพหาย!”“ใช่ ฉันกำลังให้คนไปเช็คว่า หายไปทุกศพหรือเปล่า?” เชนพูดตามสาย ด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล พระเจ้าช่วย!เจ้าของร้านขายของเก่าอุทานในใจ หลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่น่าสะพรึงกลัวสุดๆ “นายกำลังสงสัยว่า พวกมันแพร่เชื้อแบบเดียวกับแวมไพร์กัด”“อือ” หัวหน้ากลุ่มคิลเลอร์พึมพำ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง อีกไม่นานพัทยาได้เป็นนรกแน่”บ้าเอ๊ย!คนฟังกำมือถือแน่น จนกลัวว่ามันจะแหลกคามือทั้งคู่นิ่งเงียบไปหลายวินาที แล้วเชนก็เอ่ยขึ้น “นายพอรู้วิธีกำจัดสัตว์กลายพันธุ์พวกนี้ไหม?”“ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าจุดอ่อนน่าจะไม่ต่างจากผีดูดเลือด” เจ้าของร้านขายของเก่าคาดคะเน จากการที่กลุ่มไครอนใช้เซลล์ของแวมไพร์ในการทำเซรุ่ม เสียดายที่ไม่มีข้อมูลพวกนี้บันทึกไว้มากนัก “งั้นก็พอมีวิธี” เชนหยุดนิดนึง “ฉันจะเรียกรวมพล และจัดการพวกมันให้ได้โดยเร็ว”ผู้นำกลุ่มนักล่ารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจรอเวลา การปล่อยให้สัตว์ร้ายฆ่ามากขึ้น ก็ไม่ต่างกับเปิดโอกาสให้พวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องลงมือกำจัดให้เร็วที่สุด ทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะชนะในศึกนี้เลยก็ตาม ตัวเดียวก็ฆ่าไม่ง่ายแล้ว ขืนมาทีเป็นฝูง...แค่คิดยังไม่อยากจะคิด “มีอะไรให้ช่วย ก็บอกนะเชน” อดีตวีรบุรุษพร้อมให้การสนับสนุนทุกอย่าง ไม่ใช่เพื่อหน้าตาหรือชื่อเสียงของกลุ่มกริช แต่เพื่อความอยู่รอดของทุกคน“งั้นช่วยสวดมนต์ให้ด้วยแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ” อีกฝ่ายบอกเสียงเนือยๆ แล้วกดวางสายไปเรื่องนั้นถึงนายไม่ขอ ฉันต้องทำอยู่แล้วคนฟังถอนหายใจยาวเหยียด วางมือถือบนโต๊ะอาหารที่มีสมาชิกนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา“มีอะไรเหรอคะคุณ?” ลิเลียนถาม หลังเห็นสามีทำหน้าราวกับฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลายหลานหญิงชายซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอาหารจ้องหน้าเขาตาแป๋ว เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจะเล่าดีไหม?ชายสูงวัยถอนหายใจ ก่อนเล่าเรื่องที่สนทนากับเชนออกมาอย่างสั้นย่อ แต่ได้ใจความ สามคนที่นั่งฟังทำหน้าเสีย โดยเฉพาะดิเรกหน้าซีดเผือดแทบไร้สีเลือด ก่อนสบถในใจ บ้าชัดๆ “แปลว่าพวกมันจะเพิ่มจำนวนขึ้น ทุกครั้งที่มีคนตาย” เกวลินเอ่ยโพล่งขึ้น“ไม่แน่หรอกนะลูก” ลิเลียนตอบ “แปลว่าอะไรคะย่า?” หญิงสาวซักต่อ“บางคนแค่โดนกัดหรือข่วน ก็ติดเชื้อได้” ย่ารู้เรื่องนี้ เพราะเคยเป็นอดีตนักล่าในสมัยสาวๆ ก่อนวางมือหลังมีลูก ซึ่งก็คือพ่อของเกวลินกับดิเรก ร้ายกาจขนาดนั้นเชียวเกวลินมองว่า เมืองพัทยาตอนนี้กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้ว ดิเรกตาแทบถลนกับคำตอบ“แบบนี้ก็แย่สิครับ”“ก็ไม่แย่เท่าไหร่ ถ้ารีบกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ไม่งั้นพัทยาคงกลายเป็นขุมนรก” ดอนสรุปอย่างรวบรัดพูดน่ะง่าย แต่จะกำจัดมันยังไง หญิงสาวคิดในทางลบ ไม่มั่นใจว่า กลุ่มฮันเตอร์จะเข้มแข็งพอจะจัดการกับพวกสัตว์กลายพันธุ์พวกนั้น หลังสมาชิกเลือดใหม่แสดงความขี้ขลาดตาขาวออกมาเมื่อคืน ไม่แน่ใจว่าจะพึ่งพาอะไรได้...ดีไม่ดีพวกนั้นจะวิ่งแจ้นเอาตัวรอดนำหน้าไปก่อนด้วยซ้ำ“แล้วคนที่ไม่ตาย แต่ติดเชื้อล่ะครับ เราจะทำยังไง?” หลานชายถามต่อด้วยความอยากรู้เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ แต่ทะลึ่งอยากเป็นคิลเลอร์ แกเป็นหลานฉันจริงๆ เหรอดิเรก ดอนนึกบ่นในใจที่อีกฝ่ายมีความรู้รอบตัวต่ำเตี้ยมาก พวกคิลเลอร์มีกฎปฏิบัติอยู่ว่า ถ้าติดเชื้อต้องถูกกำจัดทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นภัยภายหลัง พวกนักล่าติดเชื้อที่มีจิตใจเข้มแข็งจะลงมือฆ่าตัวตายทันที ไม่ก็ขอร้องให้เพื่อนในทีมช่วยจัดการ แต่ก็มีนักล่าหลายคนที่ตาขาวรอจนกลายเป็นผีดูดเลือด แต่สุดท้ายก็ต้องถูกฆ่าติดเชื้อจะอยู่ได้สักกี่วันเชียว ยังไงก็กลายเป็นปีศาจ สู้ตายไปเลยดีกว่าสาวหน้าคมคิดอย่างเด็ดเดี่ยว“ก็ต้องกำจัดสถานเดียว” คนเป็นปู่ตอบเสียงเรียบ“ไม่มีทางรักษาเหรอครับ?” หลานชายถามเสียงสั่นๆ รู้สึกกลัวตายขึ้นทันที “ไม่มี” ชายอาวุโสส่ายหัวฉันชักไม่อยากเป็นนักล่งนักล่าอะไรนั่นแล้ว...อันตรายชะมัด ดิเรกคิดแบบคนรักตัวกลัวตาย ไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้นอีก เขามีความคิดแบบเดียวกับนักล่ามือใหม่หลายคน ที่ลังเลใจว่า...จะออกจากกลุ่มหรือไปต่อดี?“คุณมีวิธีกำจัดปีศาจพวกนั้นแล้วเหรอคะ?” ลิเลียนถาม “จริงๆ ผมก็ยังไม่รู้ ได้แต่หวังว่าพวกมันจะมีจุดอ่อนเหมือนพวกผีดูดเลือด” ดอนตอบภรรยา ก่อนเอ่ยถึงภารกิจสำคัญที่กลุ่มนักล่าควรทำเป็นอันดับแรก “ตอนนี้เรื่องสำคัญเร่งด่วน คือต้องหารังของพวกนั้นให้เจอโดยเร็วที่สุด”พวกมันน่าจะอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่พวกภากรเจอ ดอนเชื่อว่า เชนเองต้องคิดไม่ต่างจากเขานัก และส่งพวกฝีมือดีไปที่นั่น อย่างช้าที่สุดคงลงมือคืนนี้ ก่อนที่พวกมันจะฆ่าและแพร่พันธุ์เต็มเมือง “แล้วถ้าเกิดพวกมันไม่เหมือนกันล่ะครับ จะทำยังไง?” ดิเรกถามถึงอีกความเป็นไปได้ แกถามฉัน แล้วฉันถามใครคนเป็นปู่กลอกตาไปมา แต่ไม่คิดจะตอบใดๆ ตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ส่วนลิเลียนทำหน้าขรึมกว่าเดิม คาดว่าคงรู้คำตอบนี้ แต่ไม่อยากพูดออกมาคนถามช่างสังเกตพอเดาได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี จึงก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานตรงหน้า กลัวจนหัวหด ถ้าจัดการมันไม่ได้ พวกเราก็อาจจะตายแทนน่ะสิ...ไม่น่าถาม เกวลินตอบคำถามของพี่ชายในใจ แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ความรู้สึกหิวหายไปหมดสิ้น จึงยกแก้วนมสดขึ้นดื่มแทน OoXoO