|
จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 11 (Yuri)
๑๑ รอ เธอเงียบหายเป็นอะไรไปหรือเปล่า ไม่เห็นเงาสักนิดฉันห่วงหา คอยกังวลอยากรู้อยากพบหน้า ชะเง้อตารอพบทุกคืนวัน. เช้าวันจันทร์ เกวลินในชุดเครื่องแบบนักศึกษาจอดมอเตอร์ไซค์ด้วยท่าทีเนือยๆ หลังไม่รู้ข่าวของเพื่อนใหม่มาหลายวัน อีกฝ่ายหายไป หลังคืนสัตว์ดัดแปลงตายหมู่ จึงนึกกังวลใจไม่น้อย ประกอบกับคิลเลอร์กริชประกาศตามล่าผีดูดเลือดลึกลับ โดยให้ค่าหัวสูงเป็นประวัติการณ์ นี่ฉันเพี้ยนหรือเปล่า! ไอเป็นแวมไพร์ นักล่าทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หญิงสาวพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นวันละหลายรอบ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี เหมือนมีความผูกพันเป็นพิเศษกับหล่อน ซึ่งเธอเชื่อว่า สาเหตุมาจากอีกคนเป็นผู้มีพระคุณเคยช่วยตนและครอบครัวเอาไว้ อยากรู้จัง ตอนนี้ไออยู่ที่ไหน? “เฮ้ย!” สาวหน้าคมอุทานออกมาอย่างลืมตัว หลังโดนใครบางคนตบไหล่จนสะดุ้งเฮือก จึงหันขวับกลับมามองเห็นนิจรินทร์ เพื่อนสนิทยิ้มแบบกวน จึงส่ายหน้าไปมา “ทักเบาๆ ก็ได้ ฉันบอบบางแกก็รู้” กล้าพูด! คนฟังเบะปากไม่เห็นด้วย “โหย! ถ้าอย่างแกบอบบาง ฉันว่าโลกนี้คงหาสาวแข็งแรงไม่ได้แล้วล่ะ แกมันพวกซุปเปอร์วูแมนชัดๆ” “ชิส์ ปากเหรอนั่น” สาวหน้าคมขยับปากขมุบขมิบ อยากสวดสรรเสริญพุทธคุณบทใหญ่ให้เพื่อนรักเป็นการตอบแทน แต่พอเห็นอีกคนมองซ้ายมองขวาทำท่ามีพิรุธ จึงเปลี่ยนใจ “อะไร?” “มีข่าวร้ายนิดหน่อย” อีกคนลดเสียงเบาลง ทำหน้าจริงจัง สาวหน้าคมเห็นเพื่อนเปลี่ยนโหมด ก็ตั้งใจฟัง “เรื่อง?” “วันก่อนที่มีศพตายเกลื่อนห่างจากบ้านแกไม่กี่กิโล แต่ตำรวจปิดข่าวเอาไว้” นิจรินทร์กระซิบ ขณะก้าวเท้าเดินเคียงคู่กันไปยังห้องเรียน เกวลินทำตาโต ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะรู้เรื่องนี้ด้วย “เหรอ!” “อ้าว! แกไม่รู้เรื่องเหรอ?” “ไม่” เธอส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ แอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง ไม่ได้อยากโกหก แต่คงบอกความจริงออกไปไม่ได้ “พ่อฉันบอกว่า สงสัยจะมีพวกก่อการร้าย หรือไม่ก็ฆาตกรโรคจิตแอบมาหลบที่พัทยา” ลูกสาวสารวัตรประชาเล่าตามที่บิดาว่า ฆาตกรโรคจิต...คิดได้ไง คนฟังทำตาปริบๆ กับข้อสันนิษฐานที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ได้แต่พยักหน้าเออออ ไม่คิดเล่าสิ่งที่ตนรู้ กลัวโดนหาว่าเสียสติ ศตวรรษนี้ไม่ค่อยมีคนเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ แม่มด หรือมนุษย์ต่างดาว มองเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล ยังไม่อยากย้ายไปนอนโรงพยาบาลโรคจิต “เจอหลักฐานเหรอ?” “ไม่เลยมีแต่รอยเท้า คนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพ” คนเล่าทำหน้าเครียด ราวกับเรื่องนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตน นิจรินทร์ตั้งใจว่าเรียนจบปริญญาเมื่อไหร่ จะไปสมัครเป็นตำรวจ เจริญรอยตามพ่อ จึงตั้งใจเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดี แหม จับผีดิบไม่ได้ง่ายเหมือนจับแมวหรอกนะ เกวลินนึกเปรียบเทียบในใจ “เมื่อวานก็มีเรื่องแปลกๆ ด้วยนะ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในเมือง แจ้งความว่า ถุงเลือดที่เพิ่งรับมาหายไปเกือบสิบถุงแบบไร้ร่องรอย แถม กล้องวงจรปิดก็บันทึกภาพไม่ได้ด้วย ฉันกำลังสงสัยว่า หนึ่งในไอ้ฆาตกรต้องได้รับบาดเจ็บแน่” ไออาจจะบาดเจ็บ แต่คงไม่เป็นอะไรมาก...ค่อยยังชั่วหน่อย สาวหน้าคมนึกเดา หญิงสาวปักใจเชื่อว่า ผู้ขโมยน่าจะเป็นอารียา แอบโล่งใจนิดๆ ที่หล่อนยังไม่ได้กลายเป็นฝุ่นผง ความกังวลใจที่สะสมมาหลายวันลดน้อยไปกว่าครึ่ง จึงผุดยิ้มมุมปากบางเบา นัยน์ตาเป็นประกายวิบวับ “จินตนาการบรรเจิดมาก ช่วงนี้ดูโคนันมากไปหรือเปล่า?” เธอแกล้งแซวเพื่อน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ รู้ได้ไง เพื่อนยิ้มเฝื่อนๆ หลังได้ยินชื่อการ์ตูนเรื่องโปรดที่ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก “แกพูดเหมือนพ่อฉันเลย” “มันจริงนี่น่า แกมองอะไรๆ ก็เห็นเป็นคดีไปซะหมด บางทีสองเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ นี่มันโลกแห่งความจริงไม่ใช่นิยายไม่ใช่การ์ตูน” “มันก็จริง” นิจรินทร์พยักหน้าหงึกๆ “อีกไม่นานตำรวจคงสืบและจับคนร้ายได้ สารวัตรประชาเก่งจะตายไป” สาวหน้าคมกล่าวชื่นชมบิดาของเพื่อนสนิทตบท้าย ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้อีกคนอารมณ์ดีขึ้น คนฟังยิ้มแก้มแทบแตก “มันแน่อยู่แล้ว” ทั้งคู่ก้าวผ่านประตูห้องเรียน หยุดคำสนทนาไปโดยปริยาย รีบหาที่นั่ง ก่อนที่อาจารย์ประจำวิชาจะเข้ามา “ต้องเป็นพวกผีดิบแน่ คนที่ไหนจะบ้าไปปล้นถุงเลือดกัน” ภากรกล่าวทะลุกลางปล้องขึ้น หลังฟังแซมรายงานสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในเมืองล่าสุด ขณะที่อยู่ในห้องรับแขก ซึ่งเป็นการประชุมกลุ่มย่อย โดยมีเชน ดอน ออสวีน และอาดัมนั่งฟังอยู่ด้วย “เสียมารยาท!” ผู้นำกลุ่มตำหนิชายหนุ่มที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ด้วยภากรอาวุโสน้อยที่สุด และไร้ประสบการณ์ที่สุด พวกตลาดมืดไง อยากได้เลือดมนุษย์และอวัยวะทุกอย่างไปขาย ไม่ได้รู้อะไรเลย โง่จริงๆ ลูกชายฉัน เขาทำหน้าจ๋อย “ขอโทษครับ” “ประหลาดนะ แวมไพร์ปล้นเลือด” ดอนเปรยขึ้น “กระโจนกัดคอคนง่ายกว่าหรือเปล่า?” “นั่นสิ” ออสวินพูดเสริม “มันอาจจะได้รับบาดเจ็บมาก ก็เลยใช้วิธีปล้นแทน” อาดัมพี่ชายของเชนเอ่ยถึงอีกความเป็นไปได้ “แบบนี้แสดงว่ามันต้องมีมากกว่าหนึ่งตัว” ภากรเดา อยากแสดงความเก่งต่อหน้าปู่ของเกวลิน หวังอยากเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน “ที่หลานชายพูด ก็เป็นไปได้” ปู่ของเธอพยักหน้า ออสวีนเห็นพ้องด้วย ก่อนกล่าวถึงปัญหาหนักใจที่สุดออกมา “ปัญหาคือเราไม่รู้จำนวนผีดิบ ยังไม่รวมสัตว์กลายพันธุ์อะไรนั่นด้วย” ‘การรู้เรา แต่ไม่รู้เขา’ เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะคู่ต่อสู้ที่เป็นอมนุษย์ แวมไพร์หนึ่งตัวก็น่ากลัวพออยู่แล้ว หากพวกมันรวมเป็นฝูง...คงน่าขนหัวลุกยิ่งกว่านรกแตก บรรยากาศในการคุยตึงเครียดกว่าเดิม แม้สัตว์ทดลองของกลุ่มไครอนจะถูกกำจัดไปแล้วหลายตัว แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า พวกมันยังมีเหลืออีกเท่าไหร่ แถมต้องมาเจอกับศัตรูที่ยากจะจัดการแบบแวมไพร์ ถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตของเมืองนี้เลยทีเดียว อยู่เฉยๆ ต่อไปคงไม่ได้ เชนตรึกตรองอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจหันหน้าไปหาบุคคลที่พึ่งพาได้มากที่สุด “แซม” “ครับ” ชายหนุ่มขานรับแทบจะทันที “เพิ่มการลาดตระเวนให้มากขึ้นอีก ค้นทุกซอกทุกมุมของพัทยา เราต้องรีบหาพวกมันให้เจอโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพวกผีดิบหรือสัตว์ประหลาด มีอะไรคืบหน้าก็รีบรายงานมาที่ฉันโดยตรง” “ได้ครับ” นักล่าหนุ่มรับคำหนักแน่น อะไรก็แซมตลอด...บ้าจริง! ภากรกลอกตาไปมา ไม่ยอมให้โอกาสหลุดลอยไปง่ายๆ จึงรีบส่งเสียงออกมา “พ่อครับ” เชนปรายตาไปมองลูกชายเป็นเชิงถาม “ผมขอร่วม-” ทว่าชายหนุ่มเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็โดนบิดาโบกมือห้าม “แกยังฝีมือไม่ถึง ขืนออกไปก็ตายเปล่า” หัวหน้ากลุ่มฮันเตอร์พูดตำหนิออกมาตรงๆ “ถ้าให้ดีแกควรฝึกจิตใจให้เข้มแข็งด้วย หัวหน้าทีมที่ไหน แค่เห็นเป้าหมายอยู่ห่างตั้งไกลก็ขาสั่นปอดแหก แล้วแบบนี้ลูกทีมที่ไหนจะเชื่อแก” ฉึก! ลูกชายสะดุ้ง ประหนึ่งมีลิ่มแหลมมาปักเข้าที่หัวใจ เสียหน้ามากแบบที่อยากจะมุดดินหายไปจากตรงนั้น โอ๊ย! พูดไม่ไว้หน้ากันเลยนะพ่อ นี่ลูกนะ ภากรนึกบ่นกระปอดกระแปด ก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตา กำหมัดแน่นอย่างเจ็บแค้นใจ เขาโดนบิดาสบประมาทดูแคลนมาตลอด หลังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ชายหนุ่มจึงคิดสร้างผลงาน เพื่อให้เชนยอมรับในตัวเขาให้จงได้ คนอื่นที่ได้ยินซ่อนยิ้มในหน้า รู้สึกสมเพชภากร แต่ไม่มีใครพูดซ้ำเติมออกมา ปล่อยให้พ่อลูกเคลียร์กันเอาเอง บางเรื่องคนนอกไม่ควรสอดเสือก ...คอกใครคอกมัน รักใคร่กันซะขนาดนี้...ก็เข้าทางฉันสิ อาดัมเหลือบมองสองพ่อลูก แล้วยิ้มมุมปากอย่างมาดร้าย คิดฉกฉวยโอกาสยุแยงให้แตกคอกันมากขึ้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ เขาเชื่อในคำกล่าวคนโบราณที่บอกว่า ‘ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสแฝงอยู่เสมอ’ ...ไม่เว้นแม้แต่เรื่องนี้ หากเรื่องผีดิบอาละวาดล่วงรู้ไปถึงคนระดับผู้นำประเทศ มีความเป็นไปได้มากว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐไร้ความสามารถในการจัดการ กลุ่มนักล่ากริชจะได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้กำจัดอมนุษย์เหล่านั้นแทน ยิ่งสถานการณ์รุนแรงขึ้นเท่าไหร่ ผลประโยชน์จะยิ่งเยอะตามไปด้วย เมื่อคิดถึงโอกาสทองลอยมาตรงหน้า อาดัมก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพอใจ เสร็จงานนี้ฉันรวยเละแน่ พี่ชายของหัวหน้ากลุ่มนักล่ามองแต่สิ่งที่ตนจะได้รับ ทว่าเขาลืมคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าไป คือ การสูญเสียชีวิตของสมาชิกฮันเตอร์ ที่ต้องออกไปเสี่ยงกับความเป็นความตาย และความสูญเสียของครอบครัวของสมาชิก อาดัมคิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่น ช่างเป็นคนที่มีความคิดสกปรก เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ หลังทานมื้อเย็นกับครอบครัวเสร็จ สาวหน้าคมขึ้นไปบนดาดฟ้าของบ้าน นั่งเล่นชมจันทรากับดาราไปพลางๆ เหมือนเช่นทุกค่ำคืน ในใจลึกๆ แอบหวังว่าอารียาจะแวะมาเดินเล่นแถวนี้อีก แต่นั่งบริจาคเลือดให้ยุงไปเกือบชั่วโมง จนอากาศเริ่มเย็นก็ยังไร้วี่แววของแขกไม่ได้รับเชิญ “หายไปไหนล่ะเนี่ย” เผลอบ่นพึมพำกับตัวเอง “อะไรหายเหรอ?” เสียงหวานๆ ดังขึ้น ไอ! สาวหน้าคมนึกถึงเจ้าของเสียงนั้น หันขวับไปทางแทงค์น้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ เห็นใครบางคนก้าวออกมาช้าๆ เธอยิ้มกว้างอย่างโล่งใจ ลุกไปหาอย่างเร็ว หยุดยืนในระยะห่างพอประมาณ “ปลอดภัยใช่ไหม?” “อือ...” อีกฝ่ายขานรับเสียงต่ำในลำคอ แวมไพร์สาวรู้สึกแปลกๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี ที่มีคนถามไถ่อย่างห่วงใยแบบนี้ จึงรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่ ต้องโกหกแน่ๆ ถ้าไม่บาดเจ็บ แล้วหายไปไหนตั้งหลายวัน สาวผมยาวจ้องตาหล่อนเขม็ง เหมือนคาดคั้น “แน่ใจนะ?” “เอ่อ จริงๆ ก็มีแผลนิดหน่อย สักสิบกว่าแห่งมั้ง” สาวสวยพึมพำไม่อยากโป้ปด “หา!” คนฟังหลุดอุทานออกมาอย่างแตกตื่น “แต่ตอนนี้แผลหายหมดแล้วล่ะ ฉันฟื้นตัวเร็ว” อารียารีบพูดต่อ ลืมไปว่าไอเป็นแวมไพร์ บาดแผลจะหายเร็วกว่าคนธรรมดา สาวหน้าคมนึกขึ้นได้ จึงยกมือเกาหัวตัวเองแบบเขินๆ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” “ลิน” หล่อนเรียกชื่ออีกฝ่าย เธอทำหน้างงๆ ที่ได้ยินแวมไพร์สาวเรียกชื่อเล่นของตน “คะ?” “ไม่มีอะไร แค่ลองเรียกเฉยๆ” หืม? มนุษย์สาวทำหน้าไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม อารียายืนกอดอก เอียงคอมองสาวหน้าคม แล้วผุดยิ้มบางๆ ที่มุมปากสวยได้รูป “อะไรหายเหรอ?” เชอะ! เรื่องอะไรจะบอก เกวลินเฉสายตามองไปทางอื่น ไม่กล้าพูดว่า ใครรบกวนจิตใจให้เป็นห่วงอยู่หลายวัน นึกประหม่าที่โดนจ้องหน้า จึงนึกหาคำพูดไม่ออก “เอ่อ...” น่ารักน่าแกล้งไปนะ แวมไพร์สาวอดคิดแบบนั้นไม่ได้ ก่อนเปลี่ยนท่าทีไม่คิดจะรังแกอีกฝ่าย ด้วยการคลายวงแขนที่กอดอกออก “ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อายหรอกนะ แค่อยากรู้เฉยๆ เผื่อว่าจะช่วยลินตามหาน่ะ” เอ่ยอย่างสุภาพกว่าเดิม ทำไมไอถึงได้ใจดีแบบนี้?...เป็นแวมไพร์จริงๆ เหรอ? เธออดสงสัยไม่ได้ สาวฝรั่งที่ยืนตรงหน้าดูภายนอกไม่ได้ต่างจากมนุษย์แม้แต่น้อย ดูอย่างไรก็คน แถมมีอุปนิสัยดีกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์ผู้ประเสริฐเสียอีก “คือจริงๆ ฉันหาไออยู่น่ะ รอมาตั้งหลายวันแล้ว แต่ไอก็ไม่มาสักที” เกวลินยอมเล่าความจริงออกมา หล่อนแอบรู้สึกดีใจนิดๆ ที่มีใครรอพบ จึงยิ้มละไม “หาฉัน?” “ใช่” หญิงสาวพยักหน้า “ฉันอยากบอกให้ไอรีบไปจากเมืองนี้ ให้เร็วที่สุด” ที่แท้ก็อยากไล่ฉันไปให้พ้น แวมไพร์สาวทำหน้าขรึม รอยยิ้มแห่งความสุขสลายไปจากหน้าสวยแทบจะทันที “ทำไม?” ถามด้วยโทนเสียงแข็งขึ้น “กลุ่มฮันเตอร์รู้เรื่องที่เมืองนี้มีแวมไพร์ปรากฎตัว ตอนนี้กำลังหาตัวเธอให้ควั่กน่ะสิ” นึกว่าอะไร! อารียาเหยียดยกมุมปากเหมือนเยาะ “พวกนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ” “ฉันรู้ว่าไอเก่ง แต่หลบไปสักพักดีกว่าไหม ปู่ฉันบอกว่าอาจมีพวกคิลเลอร์กลุ่มอื่นอาสามาร่วมด้วยน่ะ” อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเป็นห่วง พวกคิลเลอร์มีหลายกลุ่มกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก การคิดจะซ่อนตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติแต่ละกลุ่มจะอยู่แบบเอกเทศ แต่เมื่อใดที่มีผลประโยชน์จะสามัคคีเป็นเนื้อเดียวกัน แม้แต่อาณาจักรรัตติกาลที่ยิ่งใหญ่ก็ล่มสลายมาแล้ว ...นับประสาอะไรกับแวมไพร์แค่ตนเดียว “งั้นเหรอ” สาวผมทองพึมพำอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนย้อนถาม “แล้วถ้าสัตว์กลายพันธุ์ออกมาอาละวาดอีก คิดว่าลำพังแค่ฮันเตอร์จะจัดการไหวไหม?” คนฟังชะงักกับคำถามที่โยนกลับมา “พัทยายังมีพวกนั้นอยู่อีกเหรอ?” “ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หล่อนตอบ “ฉันเคยเจอพวกมันหลายแห่งในเอเชีย แต่ไม่ดุร้ายเท่าที่เจอวันก่อน ฉันลองออกค้นหาที่ซ่อนของพวกมัน แต่ยังไม่เจอเลย พวกมันซ่อนตัวเก่งมาก” “ทำไมต้องหาพวกมัน?” มนุษย์สาวถาม ไม่รู้ทำไมเธอถึงอยากรู้ทุกเรื่องของอารียานัก “จริงๆ ฉันไม่ได้สนใจสัตว์ประหลาดพวกนั้นหรอกนะ ฉันตามหาผีดูดเลือดต่างหาก” หืม? “เพื่ออะไร?” หญิงสาวถามจุดประสงค์ของอีกฝ่าย “เพื่อแก้แค้นแทนไลล่าน่ะ” “ใครเหรอ?” เกวลินนึกอยากกัดลิ้นตัวเองเสียให้ได้ แวมไพร์สาวอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนตอบเสียงแผ่ว “คนรักของฉัน” คนรัก! สาวหน้าคมรู้สึกแปลกๆ กับคำตอบ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีคนรักเป็นผู้หญิง หญิงสาวรู้สึกแปลกๆ ที่ก้อนเนื้อในอกซ้ายอย่างไร้สาเหตุ “ไลล่าเป็น...” สาวหน้าคมลากเสียงยาว แต่ไม่กล้าพอที่จะถามต่อตรงๆ ทว่าหล่อนเดาได้ว่าอีกคนอยากรู้อะไร “เป็นคน ฉันไม่ได้เปลี่ยนเธอ เธอตายในสงคราม” มิน่าดวงตาของไอถึงได้ดูเศร้านัก เธอนิ่งเงียบ ไม่กล้าจะซักไซ้อดีตของอีกฝ่ายต่อ เริ่มเชื่อแล้วว่า หล่อนต่างจากแวมไพร์ตนอื่นจริงๆ เท่าที่เห็นอารียาไม่ได้ดุร้าย น่ากลัวเหมือนกับที่ในบันทึกเขียนไว้เลยสักนิด สาวหน้าคมได้แต่แอบสงสัยว่า ใครคือผู้ที่หล่อนกำลังตามหา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม ...ไม่นานอารียาก็จากไป ส่วนเธอกลับไปห้องนอนของตัวเอง
OoXoO เรื่องนี้เล่ม 1 เอาเข้า MEB แล้วนะคะ คาดว่าจะโหลดซื้อ E-book ได้ในเร็วๆ นี้ . ส่วนเล่ม 2 น่าจะเสร็จเดือนหน้าค่ะ . หนังสือจะเปิดจองเร็วๆ นี้ สนใจดูได้ที่หน้าสินค้า หรือ เพจ นิ้วนาง ค่ะ . ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ . นาง ^^ OoXoO
Create Date : 22 เมษายน 2562 |
|
0 comments |
Last Update : 22 เมษายน 2562 17:22:57 น. |
Counter : 596 Pageviews. |
|
 |
|
|
|
|
|
งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี |
|
|
|
|
|
|
|