DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

ฆาตกร...ยุคบุกเบิกตำนานหั่นศพยัดถัง


ใครเลยจะคิดว่าทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น แบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ ให้เช่า เลขที่ 628/41 ซอยบุญพงศา 1 ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กทม.จะเป็นสุสานของ "เสาวรส บุพนานนท์" อยู่นานกว่า 3 ปี ทั้งที่ภายในบ้านมีผู้เช่าอาศัยอยู่ไม่เคยว่างเว้น กระทั่งสองพี่น้องวัยเรียนคู่หนึ่งไปพบศพโดยบังเอิญ
"สมภพ กับ ธรสถิต เอี่ยมอุดม" สองพี่น้องวัย 18 และ 14 ปี ต้องทนสูดดมกลิ่นเน่าเหม็นจากซากศพอยู่นานนับเดือน หลังจากเช่าห้องพักเลขที่ 2 ชั้น 2 ของทาวน์เฮ้าส์เป็นที่พักระหว่างการศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองหลวง



ทั้งสองพยายามเสาะหาที่มาของกลิ่นก็ไม่พบ กระทั่งเช้ามืดวันที่ 19 กันยายน 2534 กลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนจนนั่งไม่ติด สองพี่น้องจึงช่วยกันค้นหาอีกครั้ง กระทั่งมาสะดุดตรงหน้าประตูห้องเช่าเลขที่ 3 ถัดจากห้องเขาออกไปเพียงผนังกั้น โดยห้องนี้ถูกปิดตายมาตั้งแต่แรกที่เด็กหนุ่มเข้าพัก กลิ่นโชยออกมาตามรอยแตกกรอบประตู ทำให้รู้ได้ทันทีว่าต้นตอของกลิ่นมาจากห้องนี้อย่างแน่นอน
สองพี่น้องตัดสินใจงัดประตูเข้าไปกลิ่นเหม็นโชยมาปะทะใบหน้าจนต้องเบือนหนี เมื่อตรวจสอบหาที่มาก็พบว่ามาจากถังน้ำพลาสติกสีดำขนาดใหญ่มุมห้อง ทันทีที่ฝาถูกเปิดออก กระดูกมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อนๆ ก็ลอยพ้นน้ำสีเข้มส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ เมื่อควบคุมสติได้แล้ว สมภพและธรสถิตจึงวิ่งไปบอกผู้จัดการบริษัทเฟิร์สการ์ดซิสเต็มไฟเออร์ จำกัด แล้วประสานไปยัง ร.ต.อ.นนท์ นุ่มบุญนำ ร้อยเวร สน.บางยี่ขัน เดินทางมาตรวจสอบ พร้อมด้วย พล.ต.ต.บุญชอบ พุ่มวิจิตร ผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี พ.ต.ท.เสนาะ อ่อนศรี และ พ.ต.ท.ประพนธ์ แกลโกศล



ถังน้ำขนาดใหญ่ถูกลำเลียงลงมาชั้นล่าง จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า ภายในมีชิ้นส่วนมนุษย์ถูกหั่นแบ่งเป็น 9 ท่อน ตั้งแต่ศีรษะไล่ลงไปจรดปลายเท้า เหลือเพียงเศษหนังแห้งกรังหุ้มกระดูก
ตำรวจตรวจค้นห้องเช่าเลขที่ 3 อย่างละเอียดพบจดหมายเขียนด้วยลายมือ มีข้อความลักษณะคล้ายหนังสือสัญญา ทำขึ้นระหว่างสามีและภรรยา จับใจความได้ว่า ภรรยาต้องเลิกพฤติกรรมเจ้าชู้ !?!
พ.ต.ท.ประพนธ์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.เสนาะ ได้รับมอบหมายให้ทำคดี จากการตรวจสอบพบว่าเดิมทาวน์เฮ้าส์เป็นบ้านของ พ.อ.สุทัศน์ วงศ์บุญมาก นายทหารวัยใกล้เกษียณ บก.สส. ซึ่งได้ย้ายออกไปนานแล้ว และแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ ให้คนเช่า พนักงานสอบสวนจึงเชิญ พ.อ.สุทัศน์ มาให้ข้อมูลจึงทราบว่าห้องหมายเลข 3 มี "ปรีชา ฉัตรชัยสกุล" วัย 39 ปี พนักงานขายประกัน บริษัทประกันชีวิตชื่อดังแห่งหนึ่ง เช่าอาศัยอยู่กับครอบครัวมานานหลายปี



ปรีชาเช่าห้องอยู่กับ "เทียมตา ปัญจบุรี" ภรรยาวัย 37 ปี และบุตรสาวอีก 2 คนมานานหลายปี ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ยึดอาชีพขายโจ๊กกับต้มเลือดหมูอยู่ริมฟุตบาทตรงข้ามห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า กระทั่งปลายปี 2531 ปรีชาได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เลิกขายโจ๊กหันไปยึดอาชีพนายหน้าขายประกันชีวิตแทน ส่วนเทียมตาไม่มีใครพบเห็นอีก
แม้จะย้ายออกไปแล้ว แต่ปรีชาก็เช่าห้องไว้ โดยจะนำเงินค่าเช่าไปจ่ายให้เจ้าของบ้านเป็นประจำทุกๆ 3 เดือน เจ้าของบ้านคิดว่าเช่าไว้เก็บสิ่งของ จึงไม่ได้สนใจตรวจสอบ
หลังจากทราบข้อมูลตำรวจสันนิษฐานว่า ศพที่พบอาจจะเป็นเทียมตา เนื่องจากการสอบปากคำเพื่อนบ้านใกล้เคียงทราบว่า ก่อนจะหายตัวไปสองสามีภรรยามีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง
แต่ข้อสันนิษฐานของตำรวจกลับตาลปัตร เมื่อจับกุมปรีชาได้ขณะนอนหลับพักผ่อนอยู่ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านพรานนก ตอนสายวันที่ 20 กันยายน 2534 เพียงวันเดียวหลังจากพบศพ ปรีชาสารภาพกับตำรวจโดยไม่สะทกสะท้านว่า
เป็นคนฆ่าหั่นศพจริง แต่ไม่ใช่เทียมตาภรรยาของเขา เป็น "เสาวรส บุพนานนท์" พี่สาวแท้ๆ ของเขาเองวัย 42 ปี เมื่อวันที่ 3 ต่อเนื่องวันที่ 4 ธันวาคม 2531 หรือราว 3 ปีก่อนพบศพ
แล้วคำสารภาพก็พรั่งพรูออกจากปากของปรีชา
...คืนเกิดเหตุที่ห้องหมายเลข 3 มีเพียงปรีชาและลูกๆ อีก 2 คน ส่วนเทียมตาถูกไล่กลับไปอยู่ที่ จ.ลำพูน บ้านเกิดนานมาแล้ว หลังจากปรีชาจับได้ว่ามีพฤติกรรมนอกใจ เขาให้ลูกๆ นอนอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองหลอกพี่สาวมาดื่มเหล้าที่ระเบียงห้อง เมื่อเมาจนได้ที่จึงลงมือบีบคอจนแน่นิ่ง แล้วลากเข้าไปในห้องน้ำ จับกดน้ำจนแน่ใจว่าเสียชีวิตแล้ว จึงนำเสื้อกันฝนมาห่อศพยัดใส่ตู้เสื้อผ้าไว้
เช้าวันต่อมาปรีชาพาลูกไปส่งโรงเรียน โดยกำชับว่าหลังเลิกเรียนให้ไปนอนที่บ้านย่า หลังจากนั้นปรีชาได้ย้อนกลับมาที่ห้องเช่า เพื่อหั่นศพแยกชิ้นส่วน เขาลงมือผ่าท้องเลาะเอาอวัยวะภายในใส่ถุงพลาสติกไปทิ้งที่กองขยะย่านพรานนก ส่วนชิ้นส่วนอื่นๆ ใช้มีดอีโต้สับเป็น 9 ท่อน ทิ้งลงถังน้ำขนาดใหญ่ แล้วใช้น้ำยาดับกลิ่นเทราดบนชิ้นเนื้อ จากนั้นจึงเก็บข้าวของเครื่องใช้ย้ายออกจากห้องพัก
ส่วนสาเหตุการฆ่าหั่นศพครั้งนี้ เกิดจาก ปรีชาโกรธแค้นที่พี่สาวคิดจะฮุบกิจการโรงน้ำแข็งของครอบครัว อีกทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยก ปรีชาเคยให้การไว้ว่าเขารับไม่ได้ที่พี่สาวทำตัวเหลวแหลก ภายหลังพี่เขยตายไป แถมยังชวนเทียมตาไปเที่ยวเตร่ด้วย คืนเกิดเหตุเขาชวนพี่สาวมาที่บ้านเพื่อพูดคุยถึงเรื่องเหล่านี้ แต่กลับถูกด่าว่าอย่างหยาบคายจึงบีบคอและจับกดน้ำ แล้วลงมือหั่นศพทำลายหลักฐาน
หลังก่อเหตุสยองปรีชายังคงวนเวียนไปตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องพัก ที่เขาใช้เป็นสุสานเก็บศพพี่สาวอยู่เป็นประจำตลอด 3 ปี โดยไม่มีใครเอะใจสงสัย กระทั่งศพร้องขอความเป็นธรรม กลิ่นลอยไปแตะจมูกสองเด็กหนุ่มที่เข้ามาเช่าห้องพักข้างเคียง
ปรีชาเป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพในยุคแรกๆ ต่อมามีคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นตามมาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่ครึกโครมที่สุด คือ คดีฆ่าหั่นศพ "พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ" โดยผู้ลงมือคือสามีแท้ๆ ของเธอเอง "นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ" นั่นเอง


หมอชี้อาจป่วยจิต
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า ผู้ต้องหาที่มีพฤติกรรมการก่อเหตุรุนแรง ด้วยการฆ่าหั่นศพบุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะสมาชิกภายในครอบครัวได้ ต้องได้รับการตรวจดูอาการอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะคนเหล่านี้อาจป่วยด้วยอาการทางจิต
ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุฆ่าชำแหละศพได้ โดยทั่วไปแล้วจะมีพฤติกรรมชอบความรุนแรง มีนิสัยหุนหันพลันแล่นและก้าวร้าว เป็นคนต่อต้านสังคม ไม่ไว้ใจบุคคลอื่น มีบุคลิกภาพแปรปรวน พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงก่อเหตุต่างๆ ได้โดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ โดยพื้นฐานของปัญหาเกิดจากสภาพครอบครัว และการดูแลเลี้ยงดูในวัยเด็ก อาจมีปัญหาครอบครัวแตกแยก ขาดความอบอุ่น หากผู้ต้องหาคดีประเภทนี้ไม่ได้รับการบำบัดรักษา หรือผ่านการฝึกอบรมการควบคุมภาวะทางจิต เมื่อพ้นโทษออกมาอาจก่อคดีในลักษณะเดิมซ้ำได้อีก
"ก่อนการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีประเภทนี้ ควรนำไปฝึกอบรมการควบคุมภาวะจิตใจ ต้องฝึกให้รู้จักคิดและยับยั้งชั่งใจให้ได้ รวมทั้งต้องละลายพฤติกรรมการต่อต้านสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ก่อเหตุซ้ำอีก"
รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันน่าเป็นห่วงสังคมไทย เพราะคนในชาตินิยมความรุนแรงมากขึ้น สังเกตได้จากปรากฏการณ์
ทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ แค่ความขัดแย้งทางความคิด ที่ต่างฝ่ายต่างเห็นแตกต่างกัน ก็เกิดปัญหาการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง บางรายถึงกับฆ่ากันตาย ทั้งที่เรื่องความขัดแย้งที่เป็นชนวนเหตุของปัญหาไม่ได้มีที่มาจากปัญหาของตัวเอง


ข้อมูลจาก //atcloud.com




 

Create Date : 25 มกราคม 2553
0 comments
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:24:07 น.
Counter : 1801 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.