DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
8 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
สั่ง! ประหาร 2 ผัวเมียพม่า คดีฆ่าปาดคอ 3 ศพ ด้วย DNA


                ที่ห้องพิจารณาคดี 605 ศาลอาญา ถ.รัชดาฯ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ และนางอังสนา เสริมสุวรรณ โจทก์ร่วมฟ้อง น.ส.แอน หรือ ทุยทุ้ย และนายชัย หรือละกะบา สัญชาติเมียนม่าร์ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้อื่นโดยมีอาวุธฯ, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ, พาอาวุธปืนไปในเมือง และพ.ร.บ.คนเข้าเมือง 


                โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.49 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนรับใช้ภายในบ้าน และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีได้ร่วมกันฆ่า น.ส.วาสนา นาวาทองอายุ 35 ปี เพื่อนคนรับใช้โดยใช้ท่อนเหล็กทุบที่ต้นคอ และใช้มีดเชือดคอก่อนชิงทรัพย์ รวมมูลค่ากว่า 13,000 บาท และยังร่วมกันฆ่าชิงทรัพย์ น.ส.ผัสพร พรหม สังคหะ อายุ 44 ปี โดยการใช้มีดเชือดลำคอ ได้ทรัพย์สิ้นไปรวม 23,000 บาท 


                ก่อนจะร่วมกันเชือดคอฆ่า ร.ต.อ.อนุรักษ์ เสริมสุวรรณ อายุ 80 ปี เจ้าของบ้านซึ่งเป็นบิดาของ พ.ต.อ.ปกรณ์ เสริมสุวรรณ ผกก.สภ.อ.ดอนมดแดง จ.อุบลราชธานี และบิดาของโจทก์ร่วม ได้ทรัพย์สินเป็น โทรศัพท์มือถือ สร้อยคอทองคำ แหวน นาฬิกา พระเลี่ยมทอง และกางเกงขายาว รวมมูลค่า 72,900 บาท เหตุเกิดภายในบ้านเลขที่ 29 หมู่บ้านอินทรารักษ์ ถนนรามอินทรา 6 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. 


                โจทก์มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปติดตั้งโทรศัพท์ในบ้านเกิดเหตุ เบิกความสอดคล้องกันว่า พบเห็นจำเลยที่ 1 ที่หน้าบ้านในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีแดง พยานอีกปากที่เป็นเพื่อนบ้านเบิกความระบุว่าได้ยินเสียงคนแก่ร้องด้วยความเจ็บปวด จนทราบภายหลังว่ามีการฆาตกรรมในบ้านหลังดังกล่าว ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน เบิกความยืนยันว่าพบเห็นจำเลยทั้ง 2 เดินออกจากหมู่บ้านผ่านทางป้อมยาม ในเวลาประมาณ 18.15 น.ของวันเกิดเหตุโดยที่จดจำจำเลยทั้ง 2 ได้ เนื่องจากเห็นเป็นคนแปลกหน้าจากนั้น 1 ชั่วโมง จึงทราบว่ามีเหตุฆาตกรรม 3 ศพใน บ้านที่เกิดเหตุ 


                นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานเป็นเจ้าของร้านทอง ที่รับซื้อสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท และแหวนทองคำน้ำหนัก 1 สลึง จาก จำเลยที่ 1 ไว้เมื่อวันที่ 5 ก.ค.49 ใน ราคา 15,000 บาท โดยทำการลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานการซื้อขายทองไว้ด้วย พร้อมชี้ ตัวยืนยันว่าจำเลยทั้ง 2 เป็นผู้นำทองมาขาย อีกทั้งในการจับกุมจำเลยที่ 2 นั้น ยังพบว่าจำเลยที่ 2 สวมใส่กางเกงขายาวของ ร.ต.อ.อนุรักษ์ ผู้ตายอยู่ด้วย ประกอบ การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พบรอยนิ้วมือ และรอย เท้าแฝง 


                เมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้วพบว่าตรงกับของจำเลยทั้ง 2 และการตรวจพิสูจน์คราบเลือดจากหยดเลือดภายในบ้าน ยังตรงกับของจำเลยที่ 2 ที่มีบาดแผลที่นิ้วมือจากการต่อสู้กับผู้ตาย นอกจากนี้การตรวจพิสูจน์คราบเลือด ที่เสื้อยืดสีขาว และกางเกงขาสั้นสีแดงของจำเลยที่ 1 ยังพบว่าเป็นเลือดของผู้ตายทั้ง 3 ส่วนศพของผู้ตายทั้ง 3 นั้นมีการผูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา ซึ่งความเห็นของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เชื่อว่าคนร้ายไม่สามารถกระทำได้เพียงคนเดียว จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธอ้างว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิด แต่ถูกจับมัดไว้ภายในห้องขณะ ที่จำเลยที่ 2 ลงมือฆ่าผู้ตายทั้ง 3 ขณะที่จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตลอดข้อ กล่าวหา 


                ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากต่างไม่มี สาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้ง 2 มาก่อน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานได้ปฏิบัติไปตามหน้าที่ แม้คดีนี้จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นการฆ่าผู้ตายทั้ง 3 แต่พยานแวดล้อมที่ตรวจได้ทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังสามารถยึดของกลางจากจำเลยทั้ง 2 ได้ จึงเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันฆ่าเชือดคอผู้ตายทั้ง 3 จริง  


                โดยพฤติการณ์การกระทำความผิด ใช้ช่วงเวลานานหลายชั่วโมง ใช้มีดหลายเล่ม โดยที่ผู้ตายทั้ง 3 เป็นผู้หญิงและผู้สูงอายุ ไม่จำเป็นต้องฆ่าให้ตายแต่อย่างใด เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกัน โดยฆ่าผู้ตายทั้ง 3 เพื่อไม่ให้มีชีวิตรอดเป็นพยาน ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่า ไม่ได้ร่วมชิงทรัพย์ และฆ่า นั้น เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างที่ไร้น้ำหนักฟังไม่ขึ้นเพราะหากจำเลยที่ 1 ไม่ให้ความร่วมมือ จำเลยที่ 2 จะไม่สามารถเข้าไปก่อเหตุภายในบ้านได้ พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 กระทำผิดฐานชิงทรัพย์และฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน


                ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (4)(7) รวม 3 กรรม ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นการการกระทำที่เลือดเย็น โหดเหี้ยม อำมหิต โดยที่ผู้ตายไม่มีทางต่อสู้แต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยที่ 1 เมื่อกระทำความผิดกลับไม่สำนึก ปฏิเสธต่อสู้คดี และแม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพ แต่จากพยานหลักฐานที่มีความชัดเจนที่จะเอาผิดจำเลยที่ 2 ได้ ประกอบกับจำเลยที่ 2 มีการกระทำที่โหดร้าย จึงลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 2 สถานเดียว พร้อมให้คืนสร้อยคอทองคำ สร้อยพระ โทรศัพท์มือถือ และแหวนทองหากไม่สามารถคืนได้ ให้ชดใช้เป็นเงินจำนวน 31,200 บาท


ที่มาจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 13:47:26 น. 4 comments
Counter : 2000 Pageviews.

 
น่าสงสา่ร2ผัวเมียเมียนม่านะคะ ไม่น่าประหารเลย....



พวกนี้มันน่าจับทรมาณโดยการจับตัดมือตัดขา ค่อยๆตัดวันละ3นิ้วจนถึงลำตัว แล้วค่อยยิงทิ้ง


โดย: คุณหงิญ IP: 61.7.166.28 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:56:03 น.  

 
ดหกเก


โดย: ffgsg IP: 61.90.41.91 วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:1:07:58 น.  

 
ยังมีประหารอยู่อีกเหรอนึกว่าหายไปแล้ว...แต่น่าจะเอามาใช้บ่อยๆนะ


โดย: นอม IP: 124.157.155.240 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:13:15:44 น.  

 
การลงโทษประหารแบบตัดหัว ควรมีอยู่ในประเทศไทยค่ะ เพราะคนชั่วไม่ไำด้กลัวบทลงโทษในปัจจุบันการทำผิด คดีร้ายแรง จึงมีอยู่เรื่อยๆ


โดย: หมิว IP: 110.49.205.91 วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:15:40:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.