หลักฐานประวัติศาสตร์ ที่เหลืออยู่ กรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ ตอนที่ 1
กรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ แม้ว่าจะจบสิ้นไปแล้วตามกระบวนการยุติธรรม แต่คดีลี้ลับนี้ไม่เคยปิดสำนวนลงตามคำพิพากษาแต่อย่างใด โดยเฉพาะบทสรุปของเรื่องที่ไม่สมบูรณ์ ตามความในคำพิพากษาศาลฎีกา "พยานสองชุดนี้ยังไม่เป็นหลักฐานพอจะชี้ได้ว่า ใครเป็นผู้ลงมือกระทำการลอบปลงพระชนม์" นี่คือที่มาสำคัญที่ทำให้คดีนี้เป็นที่สนใจมาตลอดทุกครั้งที่พูดถึง จากวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ จนถึงวันนี้เป็นเวลา ๕๗ ปี นอกจากเอกสารสิ่งพิมพ์แล้ว ยังมีสิ่งที่ช่วยเชื่อมโยงอดีต ย้ำเตือนความมืดดำมาสู่ปัจจุบัน คือวัตถุหลักฐานที่ใช้ประกอบในการพิจารณาคดีนี้ ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ ราวกับรอคอยให้ปริศนาแห่งคดีเปิดเผยสัจจะมาในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ตามคำของนายปรีดี พนมยงค์ ที่เคยกล่าวไว้ "...เพราะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอายุความ ความจริงอาจปรากฏขึ้น แม้จะล่วงเลยมาหลายร้อยปีก็ตาม" วัตถุหลักฐานส่วนหนึ่งในคดีนี้ที่ยังปรากฏมาถึงปัจจุบัน และเปิดเผยต่อสาธารณชน ถูกจัดแสดงอยู่ภายในโรงพยาบาลศิริราช ที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ อาคารอดุลยเดชวิกรม หรือที่รู้จักกันอย่างลำลองว่า "พิพิธภัณฑ์ซีอุย" เหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะพระเอกของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ "ซีอุย แซ่อึ้ง" ฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังที่สุดของเมืองไทย สร้างคดีสยองขวัญในช่วงปี ๒๕๐๑ ในการฆ่าเด็กแล้วกินตับ และหัวใจ ถูกเก็บรักษาศพไว้ที่นี่ให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก พิพิธภัณฑ์ซีอุยเคยจัดแสดงอยู่ชั้นล่างของตึกนิติเวชเก่าภายในโรงพยาบาล บรรยากาศทึมๆ ชวนขนลุก แต่เดี๋ยวนี้มีการปรับปรุงใหม่บนชั้นสองของอาคารอดุลยเดชวิกรม สว่างไสวลดบรรยากาศสยองขวัญไปได้หมดสิ้น นอกจาก "ซีอุย" แล้วยังมีการจัดแสดงทางด้านนิติเวชอื่นๆ คือการรวบรวมตัวอย่างชิ้นส่วนมนุษย์ วัตถุพยาน อันเนื่องมาจากการฆาตกรรม และอุบัติเหตุ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาต่างๆ ประเภท "สืบจากศพ" นั่นเอง รวมทั้งวัตถุหลักฐานในชั้นสอบสวนของคดีสวรรคตด้วย วัตถุหลักฐานในคดีสวรรคตส่วนแรกแสดงอยู่ในตู้ขนาดไม่ใหญ่นัก มีคำบรรยายเล็กน้อยพอให้รู้ว่าคืออะไร "บางส่วนของเครื่องมือที่ใช้ในการชันสูตรพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล" ภายในตู้จัดแสดงเครื่องมือแพทย์ชนิดต่างๆ ๑๑ ชิ้น รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบคือ ผ้า ไม้บรรทัด ดินสอ ไม่มีคำบรรยายอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ แต่รายละเอียดของเครื่องมือทั้งหลาย นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้บันทึกไว้ในหนังสือ "เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต" ไว้พอสมควร "วันที่ ๒๑ มิถุนายน มาถึงที่ทำงานก่อน ๘.๐๐ น. เล็กน้อย สำรวจเครื่องมือที่จะนำไป และได้เครื่องมือเพิ่มเติมจากหมอสงกรานต์ด้วย เนื่องจากเครื่องมือที่แผนกมีไม่ครบเพราะทำกับศพธรรมดา ไม่เหมาะกับการชันสูตรเกี่ยวกับหาหลักฐานทางคดี เครื่องมือจากแผนกกายวิภาคศาสตร์ มีมีดชำแหละ ๒ เล่ม เทปวัดทำด้วยเหล็ก ๑ อัน ถุงมือยางอย่างหนา ๒ คู่ เลื่อย ๑ ปื้น ทางพยาธิวิทยาให้ยืมเครื่องมือจับกะโหลกมา ๑ อัน และถุงมือยางอย่างบาง ๒ คู่ และก่อนจะลงมือชันสูตรพระบรมศพทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นำมีดยาวมา ๑ เล่ม เข็มเย็บผิวหนัง ๑ เล่ม เครื่องมือจับเข็ม ๑ อัน ผ้าคลุมปากจมูก ๒ ผืนมาเพิ่มเติมให้ (เครื่องมือบางชิ้นขณะนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล) นอกจากนั้นก็มีโหลใส่ฟอร์มาลิน ๒๐ เปอร์เซ็นต์-๕๐๐ ซีซี แอลกอฮอล์ และน้ำยาแอมโมเนีย (กลัวจะเป็นลม) ทางแผนกกายวิภาคศาสตร์เอาไฟถ่ายรูปไป ๒ ดวง คุณหมออวยเตรียมกล้องและฟิล์ม" (สุด แสงวิเชียร, เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต, ๒๕๒๙) คงต้องยกความดีนี้ให้กับนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ที่คิดเก็บรักษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญนี้ไว้ ไม่ปล่อยให้สูญหาย หรือถูกทำลายเหมือนกับหลักฐานชิ้นอื่นๆ ในคดีนี้ เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่ต้องผ่านขั้นตอนการชันสูตรพระบรมศพ เครื่องมือแพทย์เหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ประโยชน์ทางนิติเวชศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง น่าเสียดายตรงที่ว่าการจัดแสดงลำดับความสำคัญกับส่วนนี้น้อยเกินไป ทั้งทางเนื้อหา และทางจิตใจ การชันสูตรพระบรมศพด้วยเครื่องมือบางส่วนที่พิพิธภัณฑ์จัดแสดงไว้ เกิดขึ้นที่พระที่นั่งพิมานรัถยา ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๔๕ ถึง ๑๕.๓๐ น. มีนายแพทย์สุด แสงวิเชียร และนายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน เป็นผู้ทำการชันสูตร รายงานการชันสูตรอย่างเป็นทางการมีอยู่ใน บันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๙.๓๐ น. ที่ศาลานอกพระที่นั่งพิมานรัถยา แต่ขั้นตอนโดยละเอียดนั้นนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้เขียนบันทึกไว้ภายหลังในหนังสือ "เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต" ดังนี้ "เวลาสำคัญได้มาถึง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนมซึ่งแต่งตัวนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน สวมเสื้อคอปิดสีขาวได้เชิญพระโกศลองในปิดทองเกลี้ยงมา ทุกคนถวายคำนับแล้วยืนสงบนิ่ง พนักงานสนมเปิดฝาพระโกศออก (เข้าใจว่าได้กะเทาะที่บัดกรีออกไว้ก่อนแล้ว) พนักงานเขย่งตัวขึ้นไปหยิบพระมหามงกุฎ (ยอดหัก) ออกมาก่อน เห็นประดับเพชรแวววาวไปหมด เอาห่อผ้าขาวแล้วตีตรา ต่อไปจึงช่วยกันช้อนเอาพระบรมศพออกจากพระโกศ เอาขึ้นมาวางบนเตียงใหญ่..." "...ขณะนั้นพนักงานสนมแก้เอาด้ายดิบออกซึ่งพันไว้เป็นเปลาะๆ แล้วจึงแกะเอาผ้าขาวออก พอเปิดถึงพระพักตร์ก็มีคนดีใจว่า ยาฉีดเขาดีพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังสดอยู่ แต่ที่จริงเป็นขี้ผึ้งปิดพระพักตร์ มีทองปิดด้วยหรือเปล่าไม่ได้สังเกต แล้วก็เปิดถึงผ้าเยียระบับ แต่ลืมไม่ได้สังเกตว่าได้ทำเป็นฉลองพระองค์เสื้อหรือเปล่า ตามผ้าขาวและผ้าเยียระบับมีพระบุพโพเปื้อนอยู่ทั่วไป แต่มีกลิ่นน้อยอย่างประหลาดถึงกับคิดว่าไม่ต้องใส่ผ้ากันปากจมูกก็ได้ ในพระที่นั่งมีถาดจุดกำยานอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีพัดลม..." เรื่องเกี่ยวกับ ยาฉีดเขาดี ทำให้ไม่มีกลิ่นก็เพราะมีการฉีดยาพระบรมศพน้อยกว่ากำหนด ทำให้คณะกรรมการฝ่ายแพทย์เกรงว่าพระบรมศพอาจจะไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์นัก "พระยาดำรงแพทยาคุณสงสัยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาจถูกยาพิษจึงสั่งไม่ให้ใช้น้ำยาที่ผสมสารหนู แพทย์ทั้งสองจึงใช้น้ำเปล่าผสมฟอเมอรีน และคลีโอสถฉีดเข้าทางเส้นโลหิตที่โคนขาขวา โดยตั้งใจว่าจะฉีด ๓,๐๐๐ ซีซี แต่เมื่อฉีดไป ๑,๐๐๐ ซีซี ก็มีน้ำยาไหลออกทางรอยแผลที่พระนลาตประมาณ ๑๐ ซีซี จึงเลิกฉีด..." (สรรใจ แสงวิเชียร, วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย, กรณีสวรรคตฯ, ๒๕๑๗) ขั้นตอนการชันสูตรนั้นเป็นไปอย่างละเอียดหลายหน้าตามกระบวนการ คำให้การในชั้นศาลของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ก็เช่นกัน เริ่มตั้งแต่การถ่ายภาพ การเอกซเรย์ ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย คือการนำอวัยวะต่างๆ กลับคืนที่ และเย็บแผลจนเรียบร้อย ขั้นตอนโดยย่อพอให้เห็นการใช้เครื่องมือชันสูตรเป็นดังนี้ "พระบรมศพซีดเซียวลงไปเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับมีกลิ่นรบกวนการชันสูตรแม้ว่ายาฉีดรักษาพระบรมศพจะน้อยกว่าที่ควร หลังจากตรวจภายนอกแล้ว ได้ทำการถ่ายรูปเอ็กซเรย์โดยใช้เครื่องชนิดเคลื่อนที่ได้ ทำการถ่ายเอ็กซเรย์ ๙ รูป เอ็กซเรย์เฉพาะพระเศียรไว้ ๔ ท่า ท่าคว่ำพระพักตร์ หงายพระพักตร์ทั้งสองด้าน ต่อจากนั้นนายแพทย์สุด แสงวิเชียร และนายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน ทำการตรวจต่อโดยใช้มีดกรีดผิวหนังจากพระกรรณข้างหนึ่งขึ้นบนพระเศียรจนถึงพระกรรณอีกข้างหนึ่ง แล้วตลบผิวหนังไปจนพ้นรอยบาดแผลด้านหลัง พบรอยแตกที่กลางพระกะโหลกทางด้านซ้ายตั้งแต่กลางพระเศียรจนถึงพระกรรณซ้าย ผิวหนังเหนือรอยแตกนี้มีรอยแดงช้ำ ตลบหนังพระเศียรไปจนถึงพระนลาต รูแผลที่พระนลาตขนาด ๑๑ x ๑๐ มม. มีรอยร้าวออกไปจากรูแผล จากนั้นแพทย์ทั้งสองเลื่อยพระกะโหลกส่วนบนแล้วดึงส่วนนั้นออก ตัดเยื่อหุ้มสมองภายใน พบพระโลหิตตกเป็นแผ่นแข็งอยู่ทางด้านซ้าย พระสมองด้านซ้ายคงดีอยู่ ทางด้านขวาเน่า พบรูที่พระสมองซีกซ้ายตรงกับรูที่พระนลาต ทะลุออกไปตรงกับรูที่ท้ายทอย ได้ตัดเอาพระสมองออก ที่ฐานพระกะโหลกมีรอยแตกร้าวอีก..." (กรณีสวรรคตฯ, น. ๔๐, ๒๕๑๗) เมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง นายแพทย์สุด แสงวิเชียร จึงได้เก็บเครื่องมือชันสูตรนั้นไว้ ทำให้เราได้เห็นหลักฐานชิ้นสำคัญกันในวันนี้ "ก่อนไปล้างมือได้คุกเข่าลงถวายบังคมกับพื้นขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วไปล้างมือ พอล้างมือเสร็จ ห่อเครื่องมือตั้งใจจะเอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ (เดิมอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กายวิภาค คองดอน ขณะนี้มอบให้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ พร้อมกับกะโหลก และผิวหนังของศพที่ได้ทดลองยิงในวันต่อมา)..." ที่มาที่ไปของเครื่องมือชันสูตรพระบรมศพมีโดยสังเขปเท่านี้ ถัดจากตู้เครื่องมือไป จะเป็นตู้แสดงกะโหลกศพที่ใช้ในการทดลองยิงตามกระบวนการสืบสวนในคดี เหนือขึ้นไปจะแสดงภาพถ่ายให้เห็นถึงวิถีกระสุน เกี่ยวเนื่องกันทางตู้ติดผนังจะเป็นชิ้นส่วนหนังศีรษะของกะโหลกที่แสดงอยู่ เป็นการแสดงรอยแผลจากกระสุนปืน ที่มีลักษณะคล้าย หรือแตกต่างจากรอยแผลของพระบรมศพ เหตุผลที่ต้องทดลองยิงศพคนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ยิงหัวหมูแล้วได้ข้อสรุปที่ไม่ชัดเจน ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกา วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ บันทึกไว้ว่า "...ทำการทดลองยิงศพคนที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทราบระยะยิง ที่จะทำให้เกิดบาดแผล เช่นบาดแผลที่พระบรมศพ" ที่ต้องหาระยะยิง และลักษณะของบาดแผล ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากความสับสนในเรื่องของบาดแผลที่พระบรมศพ เนื่องจากแผลที่พระนลาฏ (หน้าผาก) ใหญ่กว่าแผลตรงท้ายทอย หลายคนสงสัยว่าอาจถูกยิงจากข้างหลัง และเป็นการหาว่าจากบาดแผลที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากเหตุใดได้บ้าง ระหว่างปลงพระชนม์เอง ถูกลอบปลงพระชนม์ และอุบัติเหตุ ต่อมาจึงได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่า วิถีกระสุนเข้าทางพระนลาฏ ทะลุออกทางด้านหลัง แต่ระยะยิงนั้นเป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน ในการสันนิษฐานหาสาเหตุที่แท้จริงในกระบวนการสอบสวน เช่น หากเป็นการยิงไกลเกินระยะแขน ก็เป็นไปได้ว่าไม่ได้เกิดจากพระองค์เอง หรือหากเป็นการยิงในระยะประชิด เหตุใดจึงไม่รู้สึกพระองค์ก่อน และคนร้ายเข้าไปในพระวิสูตรโดยไม่มีใครรู้ได้อย่างไร เป็นต้น การทดลองยิงศพนั้นเกิดขึ้นหลังจากการชันสูตรพระบรมศพ ๑ วัน มีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นทางการใน บันทึกรายงานการประชุมคณะแพทย์ ครั้งที่ ๓ วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๑๐.๑๐ น. ที่ห้องตรวจชันสูตรศพ ของแผนกพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กรมมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้ "การทดลองได้กระทำในห้องตรวจศพของแผนกพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ของกรมมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ พื้นห้องเป็นพื้นกระเบื้องซีเมนต์ ศพที่ใช้ทดลองวางอยู่บนที่นอน ๒ ชั้น และได้เปลี่ยนเพิ่มเป็น ๓ ชั้น และเพิ่มหมอนรองใต้ที่นอนอันล่างสุดอีก ๑ ใบ เมื่อถึงการทดลองศพที่ ๓ ศพนอนหงาย ศีรษะศพวางอยู่บนหมอนใบเดียว ที่นอนวางบนเตียงไม้เตี้ยๆ มีแผ่นเหล็ก ๓ แผ่นวางกันกระสุนอยู่ใต้ที่นอนอันล่าง มีหีบใส่ทรายอยู่ใต้เตียง ความสูงของเตียงและที่นอนใกล้เคียงกับพระที่บรรทม ที่นอนที่ใช้ทดลองเป็นที่นอนทั่วๆ ไปที่ใช้ตามโรงพยาบาล ยัดนุ่นหลวมกว่าพระที่มาก ปืนที่ใช้เป็นปืนสั้นออตอเมติกขนาด ๑๑ มม. ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนนำมา เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนฯ เป็นผู้ยิง" ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม
Create Date : 31 มกราคม 2553 |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:12:29 น. |
|
3 comments
|
Counter : 9284 Pageviews. |
|
|