15 ปี อุ้มฆ่าสองแม่ลูก ศรีธนะขัณฑ์ ปิดฉากประหาร ชลอ เกิดเทศ ตอนที่ 2
ป้ายราคาห่อผ้าอนามัย เบาะแสลากคอคนร้าย ชุดคลี่คลายคดี เริ่มต้นขุดคุ้ยจากหลักฐานภายในรถเบนซ์ของสองแม่ลูก จนกระทั่งพบเบาะแสสำคัญ คือ ป้ายราคา ห่อผ้าอนามัยที่อยู่ในรถ บ่งบอกว่าถูกซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ อ.สระแก้ว จ.ปราจีนบุรี ในขณะนั้น ชุดคลี่คลายคดีไม่รอช้า จึงลงพื้นที่จนกระทั่งพบ กวีวิลล่า ใน อ.สระแก้ว อันเป็นสถานที่คนร้ายนำตัวสองแม่ลูกไปกักขังไว้และสังหารจนเสียชีวิต ซึ่งภายหลังตำรวจจับกุมผู้ต้องหารวม 9 คน ประกอบด้วย พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ, พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีตสว.สส. สภ.อ.เมือง ปราจีนบุรี (ขณะนั้น), จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี (เสียชีวิต), ด.ต.สมนึก เวชศรี อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.สระแก้ว, นายวีระชัย พลทิแสง, นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ, นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือฉายาว่า พงษ์ ปากกว้าง, นายสมหมาย พุดเทศ (เสียชีวิต) และนายสุภาพ ช่างสาย (เสียชีวิต) โดยภายหลังพนักงานสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นจำเลยที่ 1-9 ตามลำดับ ในคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2552 ที่ผ่านมาระบุพฤติกรรมของคนร้ายไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.37 เวลา 08.00 น. พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีตสว.สส. สภ.อ.เมือง ปราจีนบุรี (จำเลยที่ 2) และนายวีระชัย พลทิแสง, นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ, นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือฉายาว่า พงษ์ ปากกว้าง, นายสมหมาย พุดเทศ (เสียชีวิต) จำเลยที่ 5-8 ได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้ตายทั้งสอง ขณะขับรถยนต์ออกจากบ้านย่านตลิ่งชันไปกักขังที่ กวีวิลล่า จ.สระแก้ว แล้ว จำเลยที่ 2, 6 และ 7 ได้ร่วมกันเรียกค่าไถ่จากโจทก์ร่วม ได้เงินไปจำนวน 2.5 ล้าน โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537 เวลา 02.00 น.ได้พบผู้ตายทั้งสองภายในรถยนต์ซึ่งถูกเฉี่ยวชนที่ถนนมิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ฆ่า สองแม่ลูก อย่างเหี้ยมโหด คดีนี้ โจทก์มีแพทย์ผู้ชันสูตรรวมทั้งผู้ที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุรถยนต์ของผู้ตายถูกชนและพยายามเข้าไปช่วย เบิกความไปในทำนองเดียวกันว่า สภาพรถยนต์ที่ถูกเชี่ยวชน มีเพียงกันชนด้านหน้าขวาที่ถูกเชี่ยวชนจนห้อยลงมา เป็นอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ส่วนภายในรถก็ไม่ได้เกิดความเสียหาย สภาพศพนางดาราวดีนั่งก้มหัวประชิดเข่า ส่วน ด.ช.เสรี สภาพนอนหงายที่เบาะซ้ายข้างคนขับ โดยไม่มีอวัยวะใดกระแทกกับรถ อีกทั้งตำแหน่งที่รถบรรทุกมาชนรถยนต์ของนางดาราวดีมาในทิศทางเดียวไม่ได้วิ่งสวนทาง ที่จะมีแรงปะทะมาก หากเกิดการเฉี่ยวชน จึงไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้ตายทั้งสองเสียชีวิตได้ และจากผลการชันสูตรศพนางดาราวดี พบว่ามีบาดแผล 7 แห่ง ที่กะโหลกบวมช้ำ เลือดคลั่งในสมอง ผิวหนังฉีก ถลอกช้ำกระดูกหักหลายแห่งเช่นเดียวกับ ด.ช.เสรี ที่มีบาดแผล 3 แห่ง ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าทั้งสองเสียชีวิตเนื่องจากสมองบวมเฉียบพลัน ซึ่งไม่น่าจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กน้อยได้ ส่วนแผลที่กกหูของนางดาราวดี คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ทดลองนำผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับนางดาราวดีไปนั่งที่เบาะคนขับ และให้พยายามใช้ศีรษะด้านขวาไปแตะที่แกนพวงมาลัยว่าจะทำให้เกิดบาดแผลได้หรือไม่ ปรากฎว่าหญิงสาวดังกล่าวไม่สามารถนำศีรษะเข้าไปใต้แกนพวงมาลัยได้ ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 อ้างความเห็นของ พล.ต.ต.ทัศนะ สุวรรณจูฑะ อดีต ผบก.นิติเวชตำรวจ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 37 ว่าผู้ตายทั้งสองตายด้วยอุบัติเหตุไม่ใช่การฆาตกรรม พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงแน่นหนารับฟังได้ว่า การเสียชีวิตของผู้ตายทั้งสองเกิดจากการฆาตกรรมด้วยของแข็งไม่มีคม โดยจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย นอกจากนี้ โจทก์ยังมีพยานหลักฐานซึ่งเป็นคำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนและรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลยที่ 1 และ 2 โดยจำเลยที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนติดตามหาเพชรที่หายไป โดยจำเลยที่ 1 ได้สั่งการให้จำเลยที่ 2 กับพวกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามหาตัวนายสันติ โจทก์ร่วม แต่ไม่พบกระทั่งจำเลยที่ 1 ทราบข่าวของโจทก์ร่วมจึงให้จำเลยที่ 2 กับพวก ไปจับตัวผู้ตายทั้งสองมากักขัง และจำเลยที่ 1 ยังสั่งให้จำเลยที่ 2 โทรศัพท์ไปเรียกค่าไถ่เพื่อเป็นการตบตาในการจับตัวผู้ตายทั้งสอง เพื่อให้โจทก์ร่วมออกมาเพื่อที่จะได้นำตัวไปซักถามเรื่องการซื้อขายเพชร แต่เมื่อไม่เป็นไปตามแผนและจำเลยที่ 1 กลัวว่านายสันติ โจทก์ร่วมจะไปร้องเรียนกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทย (ขณะนั้น) จึงสั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวกฆ่าผู้ตายทั้งสอง และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 37 เวลา 10.00 น. จำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์มาสอบถามจำเลยที่ 2 ว่าเรียบร้อยหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 2 ตอบว่าเรียบร้อย ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นการให้การเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับตน ไม่ได้เป็นการซัดทอดจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 1 ยกฎีกาขึ้นมาอ้าง ศาลจึงนำคำให้การของจำเลยที่ 2 มารับฟังประกอบกับพยานแวดล้อมอื่นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น มาลงโทษจำเลยที่ 1 ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้จะได้รับแต่งตั้งให้ติดตามหาเพชร ซึ่งก็ได้ติดตามหาเพชรของกลางคืนแล้วบางส่วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนหาเพชรอีก จึงไม่มีความผิดตาม ป.อาญา ม.157 ประหารชีวิต! ปิดฉาก 15 ปีคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูก ศาลฎีกาเห็นว่าในการปฎิบัติหน้าที่สืบสวนสอบสวนหาเพชร จำเลยที่ 1 ได้เคยทำหนังสือถึงอุปทูตประเทศซาอุดิอาระเบีย ว่าจะติดตามหาเพชรบูลไดมอนด์ เพชรประจำตระกูลเจ้าชายไฟซาล คืนมาให้ได้ภายใน 15 วัน หลังจากที่นำเพชรส่วนแรกคืนไปแล้ว จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 ยังคงติดตามหาเพชรอยู่ โดยสั่งการให้จำเลยที่ 2 กับพวกจับกุมตัวผู้ตายเพื่อหวังให้ได้ตัวโจทก์ร่วมมาซักถามเพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องเพชร ขณะที่นายสันติ โจทก์ร่วมก็เคยเบิกความว่า ก่อนที่ผู้ตายทั้งสองจะถูกจับตัวไป จำเลยที่ 1 เคยจับตัวโจทก์ร่วมไปซักถาม ซึ่งโจทก์ร่วมเคยบอกไปแล้วว่าได้ขายเพชรทั้งหมดไปแล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืน ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 เป็นเวลากว่า 15 ปี ที่คดีนี้ ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ บ้างก็ว่า นี้เป็นเพราะอาถรรพ์ของเพชรซาอุฯ ที่คนริเริ่ม อย่าง เกรียงไกร เตชะโม่ง ถูกอาถรรพณ์เล่นงาน แม้จะติดคุกเพียง 3 ปี แต่ปัจจุบัน ยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ได้มีความสุขจากทรัพย์สินที่ตัวเองขโมยมา นอกจากนี้ ผู้คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเพชรของราชวงศ์ไฟซาล ต่างก็มีอันเป็นไปต่างๆนานา สุดท้ายแม้แต่ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ที่หลงกับความงามของเพชรบลูไดมอนด์ ก็ต้องปิดฉากชีวิตด้วยคำพากษาของศาลที่ให้ประหารชีวิตสถานเดียว
Create Date : 31 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 31 พฤษภาคม 2553 7:17:35 น. |
|
4 comments
|
Counter : 3313 Pageviews. |
|
|
อยากถามว่า คุณหมอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ขนาดไหนครับ?
ถ้าเกี่ยวเยอะ อยากจะถามรายละเอียดเพิ่มเติม