เรื่องลึกลับของสุขุม เชิดชื่น ตอนที่ 2
ความใฝ่ฝันในความทะเยอทะยานของ สุขุมคือ บทบาททางการเมือง เขาได้กำหนดเส้นทางชีวิตที่จะมุ่งไปสู่เส้นทางดังกล่าวให้ได้ การสร้างฐานเริ่มต้นการเข้าไปคลุกคลีกับวงไฮโซ และกลุ่มการเมือง ซึ่งการทำหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์คือเป้าหมายหนึ่งในการปูฐานไปสู่งานการเมือง ตามแผนที่วางไว้ให้กับชีวิต ระยะหลังมีการเดินทางขึ้นล่องภาคอีสานบ่อยครั้ง เพื่อปูทางสู่สนามการเลือกตั้งงานทางด้านกีฬาเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เขาเข้าไปสร้างฐาน คือการทุ่มเงินกว่า 10 ล้านบาท สร้างที่ทำการสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาให้ฟรี ปัจจุบัน เสธ.ม่อย ก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวในคดีที่เชียงใหม่ นอกจากนี้ สุขุมยังเป็นผู้หนึ่งที่เข้าไปคลุกคลีกับวงการประกวดนางงาม เคยเป็นสปอนเซอร์ส่ง น้องอ้วน หรือ อารีวรรณ จตุทอง จนได้ตำแหน่งรองนางสาวไทยใน ปี 1994 ซึ่งต่อมาเมื่อน้องอ้วนไปแต่งงาน เธอก็มีปัญหาข่าวอื้อฉาวบนหน้าหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งสภาองค์การนายจ้างแห่งชาติและไต่เต้าจนได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในที่สุด ก่อนที่เกิดเรื่องอื้อฉาวในเวลา นั้นคือคดีจ้างวานฆ่าหมอมิชรี ย้อนกลับไปที่คดีหมอมิชรี ตำรวจสรุปประเด็นสำคัญได้เรื่องใหญ่เพียงเรื่องเดียว ที่เป็นมูลเหตุการสังหาร คือเรื่องขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่มีมูลค่าหลายร้อยล่านบาท ย้อนกลับไปไม่กี่เดือนก่อนเกิดคดีหมอมิชรีได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพ่ง เพื่อฟ้องร้องบริษัท มิลเลี่ยมกรุ๊ป ของนายสุขุม เชิดชื่น บริษัทเป็นจำเลยที่ 1 และตัวเขาเองในคำฟ้องคือจำเลยที่ 2 เป็นค่าเสียหายเป็นจำนวน 100 กว่าล้านบาท ทำไมต้องฟ้อง..?? หลายปีก่อนหน้านี้ มารดาของหมอมิชรี คือ ร.ศ.ฉลวย มะกรสาร นักธุรกิจสาวใหญ่ ที่มีชื่อเสียงในวงการไฮโซ ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นเพื่อทำธุรกิจด้านที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ หุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัทก็คือนายสุขุม ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา(ในขณะนั้น) บริษัทที่ว่าดำเนินงานอย่างราบรื่นมาเกือบ 3 ปี แต่แล้วไม่รู้เพราะสาเหตุใด ร.ศ.ฉลวยได้มอบหมายให้หมออมิชรีดูแลผลประโยชน์แทนเธอ และต่อมาไม่รู้เพราะสาเหตุใดหมอมิชรีต้องการถอนหุ้น มูลค่ามหาศาลของแม่ของเธอออกจากบริษัททั้งหมด บางทีเธออาจไปเจอความลับของบริษัทแห่งนี้ก็เป็นได้ แต่ก็แค่เดาๆ กัน เธออ้างต่อศาลว่าลายเซ็นของแม่เธอนั้น เป็นลายเซ็นต้องสงสัย น่าเคลือบแคลงเชื่อว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นเกิดขึ้น ระหว่างที่รอพิสูจน์ลายเซ็นนั้นเอง.....หมอมิชรีก็ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าบ้านของเธอ อย่างเหี้ยมหฤโหด สำหรับธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นชนวนสังหาร ตำรวจยังพบว่า หมอนิชรีและสว.สุขุมยังร่วมลงทุนกับสองแม่ลูกตระกูลอมตวาณิชย์ทำธุรกิจเสรีอนุสรณ์ ที่ตั้งย่านเอกมัย ตำรวจเรียกสองแม่ลูกมาให้ปากคำ แต่ท้ายสุดก็ตัดประเด็นนี้ออกไป เพราะไม่มีประเด็นแรงพอที่จะเป็นชนวนสังหาร เวลาต่อมา ตำรวจเรียก ตู่ ติงลี่ หรือนายเมตตา เต็มชำนาญ มาสอบสวน เนื่องจากเป็นเพื่อนนายสุขุมอีกทั้งยังมีอิทธิพลด้านการเมิอง แต่จากการสอบสวน ก็ไม่พบอะไรน่าสงสัยเพิ่มเติม ต้นปี 1997 แม้นายสุขุมจะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีจ้างวานฆ่าหมอมิชรี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถออกหมายเรียกหรือหมายจับ สว.สุขุมได้ เพราะเขายังได้รับเอกสิทธิ์ในก่ารคุ้มครองจากรัฐสภาอยู่ เพราะช่วงเวลาเกิดเหตุ สภายังเปิดสมัยประชุม 21 มกราคม1997 วันที่ปิดประชุม สว.สุขุมพร้อมทนายส่วนตัว หอบหลักทรัพย์สินมูลค่าถึง 30 ล้านบาท เข้าพบตำรวจทันที เพื่อมอบตัวและสู้คดี ส่วนเงินมูลค่า 30 ล้านบาทนั้นเป็นการประกันตัว นอกจากนี้สุขุมยังอ้างด้วยเหตุผลต่างๆ ในฐานะ สว.ผู้ทรงเกียรติแห่งรัฐสภาไทย แต่ทุกอย่างจบลงตรงที่ไม่ให้ประกันตัว สว.สุขุมจำต้องเข้าคุกและสู้คดีในเวลาต่อมา 6 เดือนเต็ม สำหรับการดำเนินคดีของนายสุขุม ในข้อหาจ้างวานฆ่าผู้อื่น ก่อหนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นบ้านพักและสำนักงานจอง สว.สุขุม แต่ก็ไม่พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวของกับคดีนี้มากนัก แต่สำหรับบ้านของนายพิศิษฐ์ สังฆสุวรรณซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงินของ สว.สุขุม ตำรวจพบหลักฐานเป็นอาวุธปืน รวมถึง 11 กระบอก และกระสุนปืนรวมกันเกือบ 1000 นัด 13 ปีถัดมา ณ วันที่ 26 มิ.ย. 2009 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ระบุว่า ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานซึ่งจำเลยที่ 4 ชักชวนมาทำหน้าที่ดูต้นทางให้จำเลยที่ 1 และ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ซึ่งแม้จะเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย แต่ไม่ถูกดำเนินคดี ดังนั้น ศาลจำต้องรับฟังคำเบิกความพยานปากนี้ด้วยความระมัดระวัง เห็นว่าพยานโจทก์ปากดังกล่าวเบิกความถึงรายละเอียดตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2547 ที่ชักชวนให้ไปดูบ้านผู้ตาย โดยมีจำเลยที่ 1 และ 2 ติดตามไปด้วยแต่ไม่พบรถผู้ตาย จึงนัดหมายลงมืออีกครั้ง เวลา 05.00 น. วันที่ 25 ตุลาคม 2004 ซึ่งพบรถยนต์ผู้ตายอยู่ในบ้าน จำเลยที่ 1 จึงลงมือยิง แล้ว จำเลยที่ 2 ขับรถหลบหนี ซึ่งแม้พยานไม่ได้ยื่นยันว่าจำเลยที่ 1, 2 และ 4 เป็นคนยิงผู้ตาย แต่ระหว่างยืนดูต้นทางที่บริเวณปากซอยทวีมิตร 9 ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกัน 4 นัด และต่อมาได้ยินอีก 1 นัด ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวสอดคล้องกับคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือยิงผู้ตาย มีจำเลยที่ 2 ขับรถหลบหนี อีกทั้งจำเลยยังพาไปชี้จุดเกิดเหตุ ไปขอขมาภาพผู้ตายต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และสื่อมวลชน แม้ภายหลังจำเลยที่ 1, 2 และ 4 จะกลับคำให้การภายหลัง อ้างว่าถูกทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพนั้น จากผลตรวจร่างกายไม่พบว่ามีบาดแผลถูกทำร้ายแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าคำให้การในชั้นสอบสวนที่ให้การหลังเกิดเหตุทันทีเป็นจริงยิ่งกว่า รับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1, 2 และ 4 กระทำผิดตามฟ้องจริง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 289 (4) ป.อาญา นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ที่ 1, 2 และ 4 ฟังไม่ขึ้น ส่วนจำเลยที่ 5 (นายสุขุม เชิดชื่น) กระทำผิดฐานเป็นผู้จ้างวานฆ่าหรือไม่นั้น โจทก์มีพนักงานสอบสวนชั้นผู้ใหญ่เบิกความสอดคล้องต้องกัน ว่าหลังเกิดเหตุได้สอบปากคำครอบครัวของผู้ตายให้การถึงเรื่องที่จำเลยที่ 5 มีความขัดแย้งทางธุรกิจกับนางฉลวย และผู้ตายกำลังตรวจสอบเรื่องการซื้อขายที่ดิน อ.แก่งกระจาย จ.เพชรบุรี มูลค่าหลายร้อยล้าน จนมีเรื่องฟ้องร้องในคดีแพ่งหลายคดี ประกอบกับได้ความจาก จ.ส.อ.เมตตา หรือกรุณา เต็มชำนาญ คนสนิทจำเลยที่ 5 และนายมงคล หรือหมง นกทอง ที่จำเลยที่ 5 เคยติดต่อว่าจ้างให้ฆ่าผู้ตายครั้งแรก เบิกความ ยืนยันว่า จำเลยที่ 5 เคยใช้จ้างวานให้ไปฆ่าผู้ตายภายในงานเลี้ยงครบรอบ 50 ปี โรงเรียนโรจนเสรีอนุสรณ์ ที่โรงแรมเอเชีย แต่ไม่นายมงคลไม่ได้ลงมือ ขณะที่ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเคยพูดกับเพื่อนร่วมงานว่าหากเป็นอะไรไป เชื่อว่าน่าจะเกิดจากฝีมือของจำเลยที่ 5 ซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้ตายไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นขึ้นรถของผู้ตาย จึงเชื่อว่าการที่ครอบครัวผู้ตายมีเรื่องฟ้องร้องกับจำเลยที่ 5 ดังกล่าวน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าจะกระทบต่อประโยชน์ชื่อเสียงและสถานะทางสังคมของจำเลยที่ 5 จึงเกิดความขุ่นเคืองและว่าจ้างให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 5 จึงเปรียบเสมือนเป็นตัวการกระทำผิด พิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 5 สถานเดียว นี้คือใจความสำคัญในการอ่านคำพิพากษา คดีอาชญากรรมที่โด่งดังในรอบทศวรรษ หลังฟังคำพิพากษา นายสุขุมกับพวกจำเลยมีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนคนใกล้ชิดและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจต่างร้องไห้ระงม นายสุขุมและพวกถูกส่งไปเรือนจำบางขวางในแดนนักโทษประหาร รอการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกตำรวจกลั่นแกล้งจับกุมทำให้ตกเป็นแพะรับบาป แต่พร้อมจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด ขอให้สื่อมวลชนจับตาดูว่าคดีนี้จะลงเอยเหมือนเช่นคดีเชอรี่แอน ดันแคน หรือไม่ นายสุขุมกล่าวเสียงเข้มผ่านห้องขัง ปัจจุบันการต่อสู้ของอดีต สว. นายสุขุม เชิดชื่น ก็ยังอยู่ในชั้นศาล แต่ไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก คำตัดสินยังประหารเหมือนเดิม และศาลไม่ลดหย่อนโทษให้ เพราะนายสุขุมปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้เป็นผู้จ้างวานฆ่าหมอมิชรี สิ่งที่เราเห็นนายสุขุม เชิดชื่นเวลานึ้คือ สภาพร่างกายและจิตใจของเขา ไม่เหมือน สว. หนุ่มไฟแรงในอดีตแล้ว เหมือนสภาพคนสิ้นหวัง ชีวิตแทบพลังทลาย นี้ยังไม่พูดถึง...ธุรกิจพันล้านของเขา ต้องพังพินาศย่อยยับหลังเขาถูกจับกุม อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รวมทั้งโครงการโลกใต้น้ำมูลค่า 3000 ล้านบาทต้องจบสิ้นเพราะคดีนี้ และจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า......สุขุมผิดจริงหรือไม่?
Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
7 comments |
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2553 21:52:43 น. |
Counter : 12256 Pageviews. |
|
|
|