หลักฐานประวัติศาสตร์ ที่เหลืออยู่ กรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ ตอนที่ 2
ตามบันทึกการทดลองยิงศพในเวลานั้น มีการทดลองทั้งหมด ๗ ครั้ง ลักษณะทางกายภาพของศพ และระยะยิงแตกต่างกันออกไป คือ ศพที่ ๑, ศพดอง เพศชาย อายุ ๑๖ ปี ยิงโดยวิธีให้ปากกระบอกปืนติดกับผิวหนัง ยิงทางด้านหน้าตรงตำแหน่งที่พบแผลในพระบรมศพ ตรงตามแนวไม้บรรทัดที่จัดให้แนวตรงกับแผลหน้า และแผลหลัง ในพระบรมศพ ผู้ยิงปืนยิงอยู่ทางด้านหัวของศพ ศพที่ ๒, ศพดอง เพศหญิง อายุ ๑๘ ปี ยิงเหมือนการทดลองกับศพแรก แต่ระยะยิงห่างจากศพ ๑๐ เซนติเมตร ศพที่ ๓, ศพดอง เพศชาย อายุ ๑๗ ปี ยิงห่างจากศพ ๕ เซนติเมตร ศพที่ ๔, ศพดอง เพศหญิง อายุ ๒๒ ปี ยิงทางด้านหน้า ปากกระบอกปืนเกือบชิดผิวหนัง ศพที่ ๕, ศพสด เพศหญิง อายุ ๑๙ ปี ยิงชิดกับผิวหนัง ศพที่ ๖, ศพสด เพศชาย อายุ ๔๗ ปี ยิงทางด้านหน้า ปากกระบอกปืนติดชิดกับผิวหนัง ศพที่ ๗, ศพดอง เพศชาย อายุ ๒๗ ปี คว่ำหน้าศพวางอยู่บนหมอน ยิงจากท้ายทอยไปทางหน้า ผู้ยิงยืนยิงที่ตรงลำตัวของศพ ปากกระบอกปืนห่างจากเป้า ๕๐ เซนติเมตร ผลการทดลองสรุปเป็นความเห็นออกมาว่า บาดแผลที่พระบรมศพ มีลักษณะคล้ายคลึงกับศพที่ทดลองยิงในระยะติดหรือเกือบชิดผิวหนัง และยิงจากหน้าไปทะลุท้ายทอย ภายหลังจึงมีข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นมาอีกว่า "คณะกรรมการยืนยันเป็นเอกฉันท์ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ได้สวรรคตโดยลูกกระสุนปืน ซึ่งเข้าไปในพระนลาฏของพระองค์ และผ่านทะลุออกไปข้างหลังของพระเศียร และทั้งชี้แจงเป็นเอกฉันท์ว่า ตามที่ได้ทดลองกับศพ ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ภายในระยะ ๕ เซนติเมตร ของพระนลาฏโดยเกือบแน่นอน" (คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๖ คดีหมายเลขดำที่ ๓๐๕๖/๒๔๙๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๓๖/๒๔๙๖) สุดท้ายคณะกรรมการแพทย์แต่ละท่านก็มีความคิดเห็นออกมาตามแถลงการณ์ของกรมตำรวจ วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๘๙ นายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ อธิบดีกรมการแพทย์ และแพทย์ประจำพระองค์ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง ซึ่งอาจเป็นได้เท่ากันทั้งสองประการ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นอุบัติเหตุเลย" พ.อ.เย อี. ไดรเบอร์ก (Colonel Driberg) นายแพทย์กองทัพบกอังกฤษ ไม่มีความเห็นในแถลงการณ์ฉบับนี้ แต่จากคำให้การของนายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ ต่อศาลอาญา วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ อ้างว่า พันเอกไดรเบอร์กมีความเห็นว่า ถูกลอบปลงพระชนม์ รองลงมาคือปลงพระชนม์เอง แล้วจึงถึงอุบัติเหตุ พ.ต.ท.เอ็จ ณ ป้อมเพชร กรรมการผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์ ผู้แทนตำรวจ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าบาดแผลนั้นเนื่องมาจากการกระทำด้วยพระองค์เอง หรือเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่น" นายแพทย์คอร์ท (E. C. Cort) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอมิค เชียงใหม่ "...แห่งที่ของบาดแผล และทางของบาดแผลคล้ายถูกปลงพระชนม์กว่าปลงพระชนม์เอง และอุบัติเหตุนั้น ดูไม่น่าจะเป็นไปได้" นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ อดีตอาจารย์อายุรศาสตร์ ศิริราช "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" นายแพทย์ชุบ โชติกเสถียร ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ "...ตามความเห็นของข้าพเจ้าเรื่องนี้เป็นกรณีถูกปลงพระชนม์ และข้าพเจ้าไม่สงสัยว่าเป็นการปลงพระชนม์เองหรืออุบัติเหตุโดยสิ้นเชิง" นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน พยาธิแพทย์ และผู้ชำนาญวิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" นายแพทย์เต่อ สนิทวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลาง "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการอุบัติเหตุ หรือถูกปลงพระชนม์ หรือปลงพระชนม์เอง ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว จิตแพทย์ โรงพยาบาลโรคจิต "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการอุบัติเหตุ ถูกปลงพระชนม์ หรือปลงพระชนม์เอง ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" พลตรีสงวน โรจนวงศ์ แพทย์ใหญ่ทหารบก "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" นายแพทย์สุด แสงวิเชียร หัวหน้าแผนกกายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช "ตามความเห็นของข้าพเจ้ามีทางอธิบายที่เป็นไปได้ ๒ ประการเท่านั้น คือ ปลงพระชนม์เองหรือถูกปลงพระชนม์ทั้งสองประการเท่าๆ กัน" นายแพทย์ หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ สูติแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์หรือปลงพระชนม์เองตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป และข้าพเจ้าไม่ถือว่าเป็นการอุบัติเหตุเลย" พ.ต.ต่วน จีรเศรษฐ พยาธิแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์ การปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" นายแพทย์ชูช่วง เศวตรุนทร์ แพทย์ประจำบ้าน โรงพยาบาลจุฬาฯ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" นายแพทย์สงัด เปล่งวานิช เลขานุการกรมการแพทย์ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" พ.ต.ประจักษ์ ทองประเสริฐ หัวหน้าแผนกศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการปลงพระชนม์ หรือถูกปลงพระชนม์ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นอุบัติเหตุ" นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ หัวหน้าแผนกสรีรวิทยา โรงพยาบาลศิริราช "ตามความเห็นของข้าพเจ้า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะอนุมานได้โดยสิ้นเชิงว่าจะเป็นประการใดประการหนึ่งเช่นว่านั้น แต่ข้าพเจ้าเลือกจะถือว่าเป็นการถูกปลงพระชนม์เป็นประการแรก เป็นอุบัติเหตุเป็นประการที่สอง และเป็นการปลงพระชนม์เองเป็นประการที่สาม" นายแพทย์หลวงพิณพาทย์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล "ตามความเห็นของข้าพเจ้า การสวรรคตเนื่องมาจากถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" พลตรี พระยาดำรงแพทยาคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ หรือปลงพระชนม์เอง ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป ข้าพเจ้าไม่ถือเป็นอุบัติเหตุเลย" ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของแพทย์ ตามผลการชันสูตร และการทดลอง โดยสรุปก็คือแพทย์ส่วนใหญ่เห็นเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์ มากกว่าปลงพระชนม์เอง และอุบัติเหตุ แต่นั่นไม่ใช่ข้อสรุปของคดี เพื่อให้เห็นภาพรอบด้านมากขึ้นอีก คงต้องฟัง "ฝ่ายค้าน" ในคำแถลงการณ์ปิดคดีของจำเลย ณ ศาลอาญา วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๔๙๔ คดีหมายเลขดำที่ ๑๘๙๘/๒๔๙๑ คดีหมายเลขแดงที่ /๒๔ ความตอนหนึ่งเกี่ยวกับคณะแพทย์ชุดนี้ว่า "การตรวจเพื่อรู้ว่า สมองส่วนใดจะต้องถูกทำลายไปพร้อมกันนี้ย่อมต้องมีความชำนาญในการตรวจ และมีความชำนาญพอที่จะวินิจฉัยได้ และได้เคยประจักษ์ผลแห่งความแรงของปืน การกระเทือนของปืนที่ผ่านสมองไป มีผลทำให้รอบข้างทำลายไปพร้อมกันเพียงใด ซึ่งในเรื่องความชำนาญดังนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่บรรดานายแพทย์ทุกท่านที่เข้ามาเป็นพะยานในเรื่องนี้ ไม่เคยได้กระทำการตรวจสมองใดๆ ที่เคยมีกระสุนปืนผ่านมาก่อนเลย และในรายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ ได้ทำการตรวจเมื่อระยะเวลาล่วงไปนานเสียแล้ว จึงไม่อาจตรวจพิเคราะห์โดยละเอียดได้..." ทนายจำเลย นายฟัก ณ สงขลา ยังได้ค้านเกี่ยวกับความเห็นเรื่องการถูกปลงพระชนม์ โดยตัดอุบัติเหตุออกไป ตามความเห็นของแพทย์ ดังนี้ "เกี่ยวกับเรื่องฐานที่ตั้งจากบาดแผลตามตำรานิติเวชวิทยา มิได้ยืนยันว่าบาดแผลที่กระทำขึ้นอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ เป็นบาดแผลที่ถูกปลงพระชนม์เท่านั้น การเฉียงลงของกระสุนปืน เป็นเพียงการเฉียงลงเล็กน้อย มิใช่ว่าจะให้บ่งตรงว่าเป็นเรื่องลอบปลงพระชนม์อย่างเดียวเช่นเดียวกัน ถ้าลองเอาปืนขนาด ๑๑ มม. จรดดูที่หน้าผาก วางปืนตั้งได้ฉากหรือเอนด้ามขึ้นทางศีรษะ เอนด้ามปืนลงมาทางเท้า ไม่มีลักษณะที่ขัดข้องที่จะกระทำด้วยตนเองอย่างใดเลย อนึ่ง เป็นที่รับกันว่ากรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้น บางรายเกิดขึ้นได้อย่างพิสดารที่สุด..." แต่ผลสรุปคดีทางกฎหมายของศาลยุติธรรมทั้งสามศาล เห็นได้ชัดว่าคณะผู้พิพากษาได้ให้น้ำหนักกับกระบวนการชันสูตร และความเห็นของแพทย์ไว้ค่อนข้างมาก ยกเว้นความเห็นแย้งคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ที่มองต่างมุมในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ว่ากระบวนการทางแพทย์ (กรณีอาการแข็งเกร็ง คาดาเวอริสปันซั่ม) และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (กรณีสนิมในปากกระบอกปืน) ยังไม่สมบูรณ์เด็ดขาดพอที่จะพิสูจน์ให้มีข้อสรุปเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้ชัดเจน แต่คำพิพากษาก็ชี้สาเหตุการสวรรคตออกมาสอดคล้องกันทั้ง ๓ ศาล ศาลอาญา เชื่อว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ จึงมีการตัดสินประหารชีวิตจำเลยที่ ๒ นายชิต สิงหเสนี อยู่ในข่ายรู้เห็นร่วมมือกับผู้กระทำการปลงพระชนม์ แต่ให้ปล่อยนายเฉลียว ปทุมรศ และนายบุศย์ ปัทมศริน ศาลอุทธรณ์ เชื่อว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์เช่นกัน จึงได้ตัดสินประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน ให้ปล่อยนายเฉลียว ปทุมรศ ในชั้นอุทธรณ์นี้มีความเห็นแย้งคำพิพากษา โดยผู้พิพากษา ๑ ใน ๕ ของคณะผู้พิพากษา คือความเห็นแย้งของหลวงปริพนธ์จนพิสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ "หลักฐานยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม" ศาลฎีกา พิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน! แม้กระบวนการทางกฎหมายจะได้สิ้นสุดลงแล้ว และไม่อาจแก้ไขสิ่งใดๆ ได้อีก แต่ "สิ่งที่ยังเหลืออยู่" ในกรณีสวรรคต ไม่ใช่แค่เครื่องมือแพทย์ และกะโหลกศีรษะ ที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ ไม่ใช่แค่สำนวนคดีหลายพันหน้าที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย แต่ยังมี "ความแคลงใจ" ในปริศนาของคดีนี้ ซึ่งจะเหลืออยู่ตลอดกาล "...ประวัติศาสตร์จะต้องดำเนินต่อไปในอนาคตโดยไม่สิ้นสุด ดังนั้นผมขอฝากไว้แก่ท่าน และชนรุ่นหลังที่ต้องการสัจจะช่วยตอบให้ด้วย..." (ปรีดี พนมยงค์, ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๖) ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม
Create Date : 31 มกราคม 2553 |
|
24 comments |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:11:21 น. |
Counter : 42200 Pageviews. |
|
|
|
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ยังโดนลอบปลงพระชมน์