DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
31 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

หลักฐานประวัติศาสตร์ ที่เหลืออยู่ กรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ ตอนที่ 2

          ตามบันทึกการทดลองยิงศพในเวลานั้น มีการทดลองทั้งหมด ๗ ครั้ง ลักษณะทางกายภาพของศพ และระยะยิงแตกต่างกันออกไป คือ  


          ศพที่ ๑, ศพดอง เพศชาย อายุ ๑๖ ปี ยิงโดยวิธีให้ปากกระบอกปืนติดกับผิวหนัง ยิงทางด้านหน้าตรงตำแหน่งที่พบแผลในพระบรมศพ ตรงตามแนวไม้บรรทัดที่จัดให้แนวตรงกับแผลหน้า และแผลหลัง ในพระบรมศพ ผู้ยิงปืนยิงอยู่ทางด้านหัวของศพ  


          ศพที่ ๒, ศพดอง เพศหญิง อายุ ๑๘ ปี ยิงเหมือนการทดลองกับศพแรก แต่ระยะยิงห่างจากศพ ๑๐ เซนติเมตร 


          ศพที่ ๓, ศพดอง เพศชาย อายุ ๑๗ ปี ยิงห่างจากศพ ๕ เซนติเมตร  


        ศพที่ ๔, ศพดอง เพศหญิง อายุ ๒๒ ปี ยิงทางด้านหน้า ปากกระบอกปืนเกือบชิดผิวหนัง 


          ศพที่ ๕, ศพสด เพศหญิง อายุ ๑๙ ปี ยิงชิดกับผิวหนัง  


          ศพที่ ๖, ศพสด เพศชาย อายุ ๔๗ ปี ยิงทางด้านหน้า ปากกระบอกปืนติดชิดกับผิวหนัง  


          ศพที่ ๗, ศพดอง เพศชาย อายุ ๒๗ ปี คว่ำหน้าศพวางอยู่บนหมอน ยิงจากท้ายทอยไปทางหน้า ผู้ยิงยืนยิงที่ตรงลำตัวของศพ ปากกระบอกปืนห่างจากเป้า ๕๐ เซนติเมตร  


          ผลการทดลองสรุปเป็นความเห็นออกมาว่า บาดแผลที่พระบรมศพ มีลักษณะคล้ายคลึงกับศพที่ทดลองยิงในระยะติดหรือเกือบชิดผิวหนัง และยิงจากหน้าไปทะลุท้ายทอย ภายหลังจึงมีข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นมาอีกว่า "คณะกรรมการยืนยันเป็นเอกฉันท์ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ได้สวรรคตโดยลูกกระสุนปืน ซึ่งเข้าไปในพระนลาฏของพระองค์ และผ่านทะลุออกไปข้างหลังของพระเศียร และทั้งชี้แจงเป็นเอกฉันท์ว่า ตามที่ได้ทดลองกับศพ ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ภายในระยะ ๕ เซนติเมตร ของพระนลาฏโดยเกือบแน่นอน" (คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๖ คดีหมายเลขดำที่ ๓๐๕๖/๒๔๙๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๓๖/๒๔๙๖)  


          สุดท้ายคณะกรรมการแพทย์แต่ละท่านก็มีความคิดเห็นออกมาตามแถลงการณ์ของกรมตำรวจ วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๘๙  


          นายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ อธิบดีกรมการแพทย์ และแพทย์ประจำพระองค์  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง ซึ่งอาจเป็นได้เท่ากันทั้งสองประการ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นอุบัติเหตุเลย"  


          พ.อ.เย อี. ไดรเบอร์ก (Colonel Driberg) นายแพทย์กองทัพบกอังกฤษ ไม่มีความเห็นในแถลงการณ์ฉบับนี้ แต่จากคำให้การของนายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ ต่อศาลอาญา วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ อ้างว่า พันเอกไดรเบอร์กมีความเห็นว่า ถูกลอบปลงพระชนม์ รองลงมาคือปลงพระชนม์เอง แล้วจึงถึงอุบัติเหตุ  


          พ.ต.ท.เอ็จ ณ ป้อมเพชร กรรมการผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์ ผู้แทนตำรวจ  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าบาดแผลนั้นเนื่องมาจากการกระทำด้วยพระองค์เอง หรือเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่น"  


          นายแพทย์คอร์ท (E. C. Cort) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอมิค เชียงใหม่  


          "...แห่งที่ของบาดแผล และทางของบาดแผลคล้ายถูกปลงพระชนม์กว่าปลงพระชนม์เอง และอุบัติเหตุนั้น ดูไม่น่าจะเป็นไปได้"  


          นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ อดีตอาจารย์อายุรศาสตร์ ศิริราช  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป" 


          นายแพทย์ชุบ โชติกเสถียร ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ  


          "...ตามความเห็นของข้าพเจ้าเรื่องนี้เป็นกรณีถูกปลงพระชนม์ และข้าพเจ้าไม่สงสัยว่าเป็นการปลงพระชนม์เองหรืออุบัติเหตุโดยสิ้นเชิง"  


          นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน พยาธิแพทย์ และผู้ชำนาญวิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          นายแพทย์เต่อ สนิทวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลาง  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการอุบัติเหตุ หรือถูกปลงพระชนม์ หรือปลงพระชนม์เอง ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว จิตแพทย์ โรงพยาบาลโรคจิต  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการอุบัติเหตุ ถูกปลงพระชนม์ หรือปลงพระชนม์เอง ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          พลตรีสงวน โรจนวงศ์ แพทย์ใหญ่ทหารบก  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          นายแพทย์สุด แสงวิเชียร หัวหน้าแผนกกายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้ามีทางอธิบายที่เป็นไปได้ ๒ ประการเท่านั้น คือ ปลงพระชนม์เองหรือถูกปลงพระชนม์ทั้งสองประการเท่าๆ กัน"  


          นายแพทย์ หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ สูติแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์หรือปลงพระชนม์เองตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป และข้าพเจ้าไม่ถือว่าเป็นการอุบัติเหตุเลย"  


          พ.ต.ต่วน จีรเศรษฐ พยาธิแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์ การปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          นายแพทย์ชูช่วง เศวตรุนทร์ แพทย์ประจำบ้าน โรงพยาบาลจุฬาฯ  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          นายแพทย์สงัด เปล่งวานิช เลขานุการกรมการแพทย์  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          พ.ต.ประจักษ์ ทองประเสริฐ หัวหน้าแผนกศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการปลงพระชนม์ หรือถูกปลงพระชนม์ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นอุบัติเหตุ"  


          นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ หัวหน้าแผนกสรีรวิทยา โรงพยาบาลศิริราช  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะอนุมานได้โดยสิ้นเชิงว่าจะเป็นประการใดประการหนึ่งเช่นว่านั้น แต่ข้าพเจ้าเลือกจะถือว่าเป็นการถูกปลงพระชนม์เป็นประการแรก เป็นอุบัติเหตุเป็นประการที่สอง และเป็นการปลงพระชนม์เองเป็นประการที่สาม" 


          นายแพทย์หลวงพิณพาทย์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล  


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้า การสวรรคตเนื่องมาจากถูกปลงพระชนม์ ปลงพระชนม์เอง หรืออุบัติเหตุ ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป"  


          พลตรี พระยาดำรงแพทยาคุณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ   


          "ตามความเห็นของข้าพเจ้าเป็นการถูกปลงพระชนม์ หรือปลงพระชนม์เอง ตามลำดับเป็นขั้นๆ ไป ข้าพเจ้าไม่ถือเป็นอุบัติเหตุเลย"  


          ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของแพทย์ ตามผลการชันสูตร และการทดลอง โดยสรุปก็คือแพทย์ส่วนใหญ่เห็นเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์ มากกว่าปลงพระชนม์เอง และอุบัติเหตุ  


          แต่นั่นไม่ใช่ข้อสรุปของคดี เพื่อให้เห็นภาพรอบด้านมากขึ้นอีก คงต้องฟัง "ฝ่ายค้าน" ในคำแถลงการณ์ปิดคดีของจำเลย ณ ศาลอาญา วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๔๙๔ คดีหมายเลขดำที่ ๑๘๙๘/๒๔๙๑ คดีหมายเลขแดงที่ /๒๔ ความตอนหนึ่งเกี่ยวกับคณะแพทย์ชุดนี้ว่า  


          "การตรวจเพื่อรู้ว่า สมองส่วนใดจะต้องถูกทำลายไปพร้อมกันนี้ย่อมต้องมีความชำนาญในการตรวจ และมีความชำนาญพอที่จะวินิจฉัยได้ และได้เคยประจักษ์ผลแห่งความแรงของปืน การกระเทือนของปืนที่ผ่านสมองไป มีผลทำให้รอบข้างทำลายไปพร้อมกันเพียงใด ซึ่งในเรื่องความชำนาญดังนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่บรรดานายแพทย์ทุกท่านที่เข้ามาเป็นพะยานในเรื่องนี้ ไม่เคยได้กระทำการตรวจสมองใดๆ ที่เคยมีกระสุนปืนผ่านมาก่อนเลย และในรายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ ได้ทำการตรวจเมื่อระยะเวลาล่วงไปนานเสียแล้ว จึงไม่อาจตรวจพิเคราะห์โดยละเอียดได้..."  


          ทนายจำเลย นายฟัก ณ สงขลา ยังได้ค้านเกี่ยวกับความเห็นเรื่องการถูกปลงพระชนม์ โดยตัดอุบัติเหตุออกไป ตามความเห็นของแพทย์ ดังนี้  


          "เกี่ยวกับเรื่องฐานที่ตั้งจากบาดแผลตามตำรานิติเวชวิทยา มิได้ยืนยันว่าบาดแผลที่กระทำขึ้นอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ เป็นบาดแผลที่ถูกปลงพระชนม์เท่านั้น การเฉียงลงของกระสุนปืน เป็นเพียงการเฉียงลงเล็กน้อย มิใช่ว่าจะให้บ่งตรงว่าเป็นเรื่องลอบปลงพระชนม์อย่างเดียวเช่นเดียวกัน ถ้าลองเอาปืนขนาด ๑๑ มม. จรดดูที่หน้าผาก วางปืนตั้งได้ฉากหรือเอนด้ามขึ้นทางศีรษะ เอนด้ามปืนลงมาทางเท้า ไม่มีลักษณะที่ขัดข้องที่จะกระทำด้วยตนเองอย่างใดเลย อนึ่ง เป็นที่รับกันว่ากรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้น บางรายเกิดขึ้นได้อย่างพิสดารที่สุด..."  


          แต่ผลสรุปคดีทางกฎหมายของศาลยุติธรรมทั้งสามศาล เห็นได้ชัดว่าคณะผู้พิพากษาได้ให้น้ำหนักกับกระบวนการชันสูตร และความเห็นของแพทย์ไว้ค่อนข้างมาก ยกเว้นความเห็นแย้งคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ที่มองต่างมุมในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ว่ากระบวนการทางแพทย์ (กรณีอาการแข็งเกร็ง คาดาเวอริสปันซั่ม) และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (กรณีสนิมในปากกระบอกปืน) ยังไม่สมบูรณ์เด็ดขาดพอที่จะพิสูจน์ให้มีข้อสรุปเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้ชัดเจน แต่คำพิพากษาก็ชี้สาเหตุการสวรรคตออกมาสอดคล้องกันทั้ง ๓ ศาล  


          ศาลอาญา เชื่อว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ จึงมีการตัดสินประหารชีวิตจำเลยที่ ๒ นายชิต สิงหเสนี อยู่ในข่ายรู้เห็นร่วมมือกับผู้กระทำการปลงพระชนม์ แต่ให้ปล่อยนายเฉลียว ปทุมรศ และนายบุศย์ ปัทมศริน  


          ศาลอุทธรณ์ เชื่อว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์เช่นกัน จึงได้ตัดสินประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน ให้ปล่อยนายเฉลียว ปทุมรศ  


          ในชั้นอุทธรณ์นี้มีความเห็นแย้งคำพิพากษา โดยผู้พิพากษา ๑ ใน ๕ ของคณะผู้พิพากษา คือความเห็นแย้งของหลวงปริพนธ์จนพิสุทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ "หลักฐานยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม" 


          ศาลฎีกา พิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน!  


          แม้กระบวนการทางกฎหมายจะได้สิ้นสุดลงแล้ว และไม่อาจแก้ไขสิ่งใดๆ ได้อีก แต่ "สิ่งที่ยังเหลืออยู่" ในกรณีสวรรคต ไม่ใช่แค่เครื่องมือแพทย์ และกะโหลกศีรษะ ที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ ไม่ใช่แค่สำนวนคดีหลายพันหน้าที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทย แต่ยังมี "ความแคลงใจ" ในปริศนาของคดีนี้ ซึ่งจะเหลืออยู่ตลอดกาล   


          "...ประวัติศาสตร์จะต้องดำเนินต่อไปในอนาคตโดยไม่สิ้นสุด ดังนั้นผมขอฝากไว้แก่ท่าน และชนรุ่นหลังที่ต้องการสัจจะช่วยตอบให้ด้วย..." (ปรีดี พนมยงค์, ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๖)                     


ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม




 

Create Date : 31 มกราคม 2553
24 comments
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:11:21 น.
Counter : 42200 Pageviews.

 

หลวงพ่อโต ทำนายไว้ว่า ร 8 ยุคทมิฬ

เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ยังโดนลอบปลงพระชมน์

 

โดย: aodbu 1 กุมภาพันธ์ 2553 19:34:51 น.  

 

เพิ่งเคยอ่านความเห็นของแพทย์ก็วันนี้เอง
ขอบคุณ อ.หมู ที่ได้นำเอาบทความดีๆมาให้อ่านครับ

 

โดย: NATSKI13 2 กุมภาพันธ์ 2553 9:11:56 น.  

 

อา...

 

โดย: Sial IP: 203.144.144.164 22 มีนาคม 2553 12:27:33 น.  

 

ขอบคุณที่นำมาให้ได้อ่านกันครับ เคยได้ยินแต่ผู้ใหญ่เขาพูดให้ฟัง แต่ไม่ละเอียดขนาดนี้เลย

 

โดย: petchpaper 18 พฤษภาคม 2553 14:38:36 น.  

 

มันเกี่ยวกันมั้ย

 

โดย: ใครอ่ะ IP: 10.0.1.1, 202.143.146.123 25 สิงหาคม 2553 17:09:36 น.  

 

ดิฉันเป็นอีกคนที่สนใจในเรื่องนี้ และคิดว่ามีบางอย่างที่ไม่กระจ่าง และแน่นอน... ความลับไม่มีในโลก และหวังว่าวันใด วันหนึ่งความลับที่ถูกเก็บไว้จะต้องถูกเปิดเผย ...กรรมคืนสนอง..

 

โดย: Pissamai IP: 124.157.213.30 20 ธันวาคม 2553 19:59:43 น.  

 

เป็นเรื่องที่คนสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าพูดถึง ฟื้นฝอยกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับใครขึ้นมา ไม่แน่ถ้าสิ่งที่สงสัยกันกระจ่างขึ้นมา อาจสะเทือนใจเสียใจที่สุดหรือถึงเวลานั้นจริงๆอาจอยากเลือกที่จะไม่รู้เลยซะดีกว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเปราะบางจริงๆ

 

โดย: Madeenah IP: 27.55.25.174 19 มกราคม 2554 12:32:56 น.  

 

คุณหมอเกิดช้าไปนิดค่ะ

 

โดย: หมิว IP: 110.49.205.22 20 มกราคม 2554 14:06:00 น.  

 

เรื่องมีแง่หงำมาก สักวันหนึ่งความลับต้องถูกเปิดเผย

 

โดย: Noo"So IP: 49.48.189.242 5 พฤษภาคม 2554 17:35:57 น.  

 

 

โดย: peter125 (steven1064 ) 2 มกราคม 2555 9:07:15 น.  

 

ขอบคุณคะที่ทำให้ได้อ่าน

 

โดย: หลาน ศจ.นพ.ชุป IP: 125.24.44.103 28 มกราคม 2555 22:25:38 น.  

 

ขอบคุณครับ

 

โดย: หลาน พ.ต. IP: 118.172.125.79 8 กุมภาพันธ์ 2555 13:45:31 น.  

 

ขอบคุนสำหรับข้อความดีๆค๊

 

โดย: เด็กยุคใหม่ IP: 110.49.227.17 10 กรกฎาคม 2555 23:27:32 น.  

 

การสวรรคตของพระองค์ท่านเราเด้กรุ่นใหม่อาจไม่ทราบและคงจะไม่ทราบหากไม่มีใครบอก

 

โดย: สภักดี IP: 124.120.17.214 12 ธันวาคม 2555 20:39:19 น.  

 

การสวรรคตของพระองค์ท่านเราเด้กรุ่นใหม่อาจไม่ทราบและคงจะไม่ทราบหากไม่มีใครบอก

 

โดย: สภักดี IP: 124.120.17.214 12 ธันวาคม 2555 20:40:17 น.  

 

มันมีคนรู้จริงทุกอย่างรู้แล้วอยู่ที่ว่ากล้าหรือเปล่าเท่านั้นเอง

 

โดย: vvti IP: 115.67.99.11 8 กุมภาพันธ์ 2556 20:09:42 น.  

 

ความจริงเลิกสงสัยมานานแล้ว แต่ไม่มีเวทีที่จะระบาย ขอบคุณโลกไซเบอร์ที่มีโอกาสให้แสดงความเห็น เคยสังเกตไหมที่แกหน้าเศร้าอยู่ตลอด ถ้าไม่เป็นเพราะสำนึกในบาปกรรมที่ตนทำกับพี่ชายและเข่นฆ่าคนไทยจนเหลือคณานับในการปฏิวัติแต่ละครั้ง ก็อาจเป็นเพราะกลัวผีพี่ชายตบกระโหลกเอาตอนไปเจอกันในนรก
สมเพศนะเที่ยวสั่งสอนให้ใครต่อใครให้ดำรงตนในความพอเพียง แตตัวเองกลับเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ให้อภัยแกเถอ บาปกรรมได้เยือนแกแล้ว ดูลูกดูเมียแกซิ น่าอับอายขายหน้าชาวโลกเจาแค่ไหน คงอยู่ได้ไม่นานนักหรอกแกคงไม่ขนไปด้วยมั๊ง เมื่อแกไปแล้วต้องยุติระบบเส็งเคร็งนี้นะ ไม่ต้องมีให้ถ่วงความเจริญหรอก

 

โดย: kingless IP: 171.4.126.125 21 กรกฎาคม 2556 0:14:09 น.  

 

ความขริงเลิกสงสับมานานแล้ว แต่ไม่มีที่ให้แสดงความเห็น ต้องขอบคุณโลกไซเบอร์จริง ๆนะ ผมคิดต่อไปว่าอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่กษัตริย์ต้องบวชต้องฝึกสมาธิเพื่อพยายามให้ลือความหลัง แต่กฎแห่งกรรมมันเห็นได้จริง จะเห็นว่าแม้รวยล้นฟ้าอย่างไร(ไหนบอกว่าอยู่อย่างพอเพียง ไหงท่านรวยที่สุดในโลกหนอ)ครอบครัวก็ไม่เป็นสุข ทั้งเมียและลูกเต้าแต่ละคนไม่เป็นแบบอบ่างของสังคมได้เลย ถ้าเป็นสมัยที่กษัตริย์นำทหารออกรบเนี่ยผมยอมกราบตีนและตายแทนได้นะ แต่ทุกวันนี้ยังนึกไม่ออกว่าทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติเลยจริง ๆ นอกจากการสร้างภาพและออกกฎหมายบังคับให้คนอื่นเคารพกราบไหว้

 

โดย: อิสระ IP: 223.206.87.227 29 กรกฎาคม 2556 16:41:54 น.  

 

ความขริงเลิกสงสับมานานแล้ว แต่ไม่มีที่ให้แสดงความเห็น ต้องขอบคุณโลกไซเบอร์จริง ๆนะ ผมคิดต่อไปว่าอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่กษัตริย์ต้องบวชต้องฝึกสมาธิเพื่อพยายามให้ลือความหลัง แต่กฎแห่งกรรมมันเห็นได้จริง จะเห็นว่าแม้รวยล้นฟ้าอย่างไร(ไหนบอกว่าอยู่อย่างพอเพียง ไหงท่านรวยที่สุดในโลกหนอ)ครอบครัวก็ไม่เป็นสุข ทั้งเมียและลูกเต้าแต่ละคนไม่เป็นแบบอบ่างของสังคมได้เลย ถ้าเป็นสมัยที่กษัตริย์นำทหารออกรบเนี่ยผมยอมกราบตีนและตายแทนได้นะ แต่ทุกวันนี้ยังนึกไม่ออกว่าทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติเลยจริง ๆ นอกจากการสร้างภาพและออกกฎหมายบังคับให้คนอื่นเคารพกราบไหว้

 

โดย: อิสระ IP: 223.206.87.227 29 กรกฎาคม 2556 16:42:14 น.  

 

โห! ใจถึงจัง กล้าออกความเห็นขนาดนี้ อยู่เมืองไทยป่าว จะโดนซิวมั้ยนี่

 

โดย: TAMARIND GARLIC IP: 171.7.193.136 27 ตุลาคม 2556 19:49:34 น.  

 

เชื่อได้เลยว่า คดีนี้จะคงอยู่ในความแคลงใจ
ของคนไทยทุกคนทุกรุ่นไปอีกนานแสนนาน
ไม่มีทางที่จะปิดคดีลงได้อย่างสมบูรณ์เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคำให้การ หลักฐานดูไม่
สมเหตุสมผลไปทั้งหมด จะปิดลงได้อย่างไร
ในเมื่อไม่มีใครยอมเปิด "ความจิง"
อย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้ได้อ่านที่คุณหมอเขียน
เรื่องวิถีกระสุนและบาดแผล
รู้สึกว่า ได้รู้อะไรเพิ่มมากขึ้นเยอะค่ะ
ไม่แน่ว่าอาจเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการตั้งใจของอีกบุคคล ความลับอาจต้องตายไปพร้อมกับผู้รู้เหตุการณ์จริง นี่เองสินะที่ทำให้ประเทศเราเกิดแพะรับบาปขึ้นมากมายหลังจากเหตุการณ์นี้ !!!

 

โดย: Nicha IP: 14.207.43.72 26 พฤศจิกายน 2556 19:04:33 น.  

 

คดีนี้ แน่นอนมันทำให้คนไทยทุกคนเกิดความครางแครงใจ แต่ในเมื่อไม่มีใครพูดความจริง มีแต่คนเห็นแก่.... ก็คงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ เมืองไทย มีแต่เรื่องวุ่นวาย ทุกวัน น่าเคร้าใจ
ประเทศเรามันควรจะก้าวไปมากกว่านี้ มากกว่าทุกวันนี้ บางคนหลงในอำนาจ แย่งชิงกัน แล้วเมื่อไหร่จะอยู่สงบกันซักที

 

โดย: Paakee IP: 202.28.50.102 9 ธันวาคม 2556 15:20:56 น.  

 

เรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ถ้าไม่รู้จริงอย่าไปว่าใคร ใครทำกรรมใดกรรมนั่นคืนสนองเอง อย่าตัดสินคนผิดถูกด้วยคำพูดที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

 

โดย: นักเรียน IP: 118.173.219.138 11 มกราคม 2557 14:35:05 น.  

 

หนังสือมีให้อ่านเยอะค่ะเลือกๆเสพหน่อยอ่านตามนี้น่ะค่ะ ของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร สรรใจ แสงวิเชียรที่เขียนร่วมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งขอโทษจำชื่อไม่ได้ค่ะ มีคำให้การของในหลวงสมเด็จย่าและท่านอื่นๆเพียบค่ะหลักฐานอ้างอิงได้ แล้ว ช่วยกรุณาอ่านของ สมศักดิ เจียม สุพจน์ ด่านตระกูลด้วยน่ะค่ะ ข้อมูลหลักฐานใกล้เคียงกันแต่ไม่กระจ่างไม่อ้างอิง ไม่ขุดลึกซึ่งความจริงก็ไม่ต้องลึกเพราะมีตราครุฑประกาศโต้งๆอยู่แล้ว(หมายเรียกต่างๆในคดีประกาศต่างๆที่ออกมาแถลง )ทีนี้แล้วแต่ความเชื่อหรือวิจารณญานของแต่ล่ะบุคคลน่ะค่ะแต่โดยส่วนตัวมีคำตอบแล้วค่ะ
ปล.อย่าหยิบเรื่องมาเพียงประโยคเดียวและอย่าเชื่อเพียงอ่านแค่ประโยคเดียว

 

โดย: lin IP: 223.204.248.43 14 กรกฎาคม 2557 13:15:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.