13 มิย 53 ขันติธรรม
จากวันที่ฟังเทศน์หลวงปู่ก้าน ถึงวันนี้ เกือบสี่เดือนแล้ว อะไร คือความอดทน จะทำให้มีขึ้นได้อย่างไร link //www.bloggang.com/mainblog.php?id=mcayenne94&month=27-02-2010&group=7&gblog=133
มงคลที่ 27 ขันติความอดทน พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสรรเสริญขันติธรรมว่าเป็นเลิศ พระพุทธองค์ยังทรงสรรเสริญอีกว่า "ยกเว้นปัญญาแล้ว เราตถาคตสรรเสริญว่า ขันติเป็นเลิศ" มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม ๔ - หน้าที่ 196 [๔๒๘] เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่างอสูรและเทพดาได้มีแล้ว. พวกเทพดาชนะแล้ว จึงมัดจอมอสูรชื่อเวปจิตติ นำมาสู่สำนักของท้าวสักกะ. ท้าวเวปจิตตินั้นด่าท้าวสักกะผู้เป็นจอมของเทพดา ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ เหล่านี้ว่า "ท่านเป็นโจร ท่านเป็นคนพาล ท่านเป็นคนหลง ท่านเป็นโค ท่านเป็นลา ท่านเป็นอูฐ ท่านเป็นสัตว์นรก ท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติของท่านไม่มี ทุคติเท่านั้นเป็นที่หวังของท่าน" และบริภาษด้วยคำเป็นต้นว่า " แนะท้าวสักกะแก่ ท่านจักไม่ชนะตลอดกาลทั้งปวงดอก, เมื่อใด ความชนะจักมีแก่พวกอสูร, เมื่อนั้น เราจักมัดแม้ซึ่งท่านอย่างนี้ ให้นอนที่ประตูแห่งภพของพวกอสูรแล้ว จักโบย" ท้าวสักกะผู้มีชัยชนะแล้ว มิได้ทรงใส่ใจถึงคำนั้น เพราะความที่พระองค์เป็นผู้มีพระอัธยาศัยตั้งมั่น ในขันติและโสรัจจะตลอดกาลนาน. ลำดับนั้น มาตลิเทพบุตร คิดว่า "ท้าวสักกะนี่ ย่อมอดกลั้นคำหยาบเหล่านี้เพราะทรงกลัว หรือว่าเพราะความที่พระองค์ทรงประกอบด้วยอธิวาสนขันติ" จึงทูลถามเนื้อความนั้น. [๔๒๙] ทีนั้น ท้าวสักกะ ตรัสว่า "เราหาได้อดทน ( ถ้อยคำ )ของท้าวเวปจิตติเพราะความกลัวไม่ เพราะความอ่อนกำลัง ก็หามิได้" แล้วตรัสว่า "ประโยชน์ทั้งหลาย มีประโยชน์ของตน เป็นอย่างยิ่ง, ( ประโยชน์อะไร ) ยิ่งกว่าขันติไป ย่อมไม่มี, ผู้ใดแลเป็นผู้มีกำลัง ย่อมอดกลั้น(ถ้อยคำ) ของผู้อ่อนกำลังได้, บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวขันตินั้น ของบุคคลนั้นว่า ยิ่ง, เพราะคนอ่อนกำลัง ย่อมรุกรานได้เป็นนิตย์" //www.dhammahome.com/ ๒. สรภังคชาดก ท่านสรภังคฤาษีผู้เรืองตบะนี้ เว้นจากเมถุนธรรมตั้งแต่เกิดมา เป็นบุตรของปุโรหิตาจารย์ ได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่านจักพยากรณ์ปัญหา ของพระราชา ท้าวมฆวาฬสักกเทวราชปุรินททะ ทรงเห็นประโยชน์ ได้ ตรัสตามปัญหาอันเป็นปฐม ดังที่พระทัยปรารถนาว่า บุคคลฆ่าซึ่งอะไรสิจึงจะไม่เศร้าโศกในกาลไหนๆ ฤาษีทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการละอะไร บุคคลพึงอดทนคำหยาบที่ใครๆ ในโลกนี้กล่าวแล้ว ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่โยมเถิด? [๒๔๕๘] บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว จึงจะไม่เศร้าโศกในกาลไหนๆ ฤาษีทั้งหลายย่อมสรรเสริญการละความลบหลู่ บุคคลควรอดทนคำหยาบที่ชนทั้งปวงกล่าว สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนนี้ว่าสูงสุด. [๒๔๕๙] บุคคลอาจจะอดทนถ้อยคำของคนทั้ง ๒ พวกได้ คือ คนที่เสมอกัน ๑ คนที่ประเสริฐกว่าตน ๑ จะอดทนถ้อยคำของคนเลวกว่าได้อย่างไรหนอ ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่โยมเถิด? [๒๔๖๐] บุคคลพึงอดทนถ้อยคำของคนผู้ประเสริฐกว่าได้ เพราะความกลัว พึงอดทนถ้อยคำของคนที่เสมอกันได้ เพราะการแข่งขันเป็นเหตุ ส่วนผู้ใดในโลกนี้ พึงอดทนถ้อยคำของคนที่เลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนของผู้นั้นว่าสูงสุด. [๒๔๖๑] ไฉนจึงจะรู้จักคนประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลวกว่า ซึ่งมี สภาพอันอิริยาบถทั้ง ๔ ปกปิดไว้ เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปด้วยสภาพของคนชั่วได้ เพราะเหตุนั้นแล จึงควรอดทนถ้อยคำของคนทั้งปวง. [๒๔๖๒] สัตบุรุษผู้มีความอดทน พึงได้ผลคือความไม่มีการกระทบกระทั่ง เพราะการสงบระงับเวร เสนาแม้มากพร้อมด้วยพระราชาเมื่อรบอยู่ จะพึงได้ผลนั้นก็หามิได้ เวรทั้งหลายย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ. [๒๔๖๕] บัณฑิตเรียกคนเช่นไรว่ามีศีล เรียกคนเช่นไรว่ามีปัญญา เรียกคนเช่นไรว่าสัตบุรุษ ศิริย่อมไม่ละคนเช่นไรหนอ? [๒๔๖๖] ผู้ใดในโลกนี้ เป็นผู้สำรวมด้วยกาย วาจาและใจ ไม่ทำบาปกรรมอะไรๆไม่พูดพร่อยๆ เพราะเหตุแห่งตน บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่ามีศีล. ผู้ใดคิดปัญหาอันลึกซึ้งได้ด้วยใจ ไม่ทำกรรมอันหยาบช้าอันหาประโยชน์มิได้ ไม่ละทิ้งทางแห่งประโยชน์อันมาถึงตามกาล บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่ามีปัญญา. ผู้ใดแล เป็นคนกตัญญูกตเวที มีปัญญา มีกัลยาณมิตร และมีความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยเต็มใจ บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่าสัตบุรุษ. ผู้ใดประกอบด้วยคุณธรรมทั้งปวงเหล่านี้ คือ เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน แจกทานด้วยดี รู้ความประสงค์ ศิริย่อมไม่ละคนเช่นนั้น ผู้สงเคราะห์ มีวาจาอ่อนหวาน สละสลวย. [๒๔๖๗] นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีล ศิริ ธรรม ของสัตบุรุษ และปัญญา ว่าข้อไหนประเสริฐกว่ากัน? [๒๔๖๘] ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมกล่าวว่า ปัญญานั่นแหละประเสริฐสุด ดุจพระจันทร์ประเสริฐกว่าดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีล ศิริ และธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเป็นไปตามบุคคลผู้มีปัญญา. [๒๔๖๙] บุคคลในโลกนี้ทำอย่างไร ทำด้วยอุบายอย่างไร ประพฤติอะไร เสพอะไร จึงจะได้ปัญญา ขอท่านได้โปรดบอก ปฏิปทาแห่งปัญญา ณ บัดนี้ว่า นรชนทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีปัญญา? [๒๔๗๐] บุคคลควรคบหาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ละเอียดละออ เป็นพหูสูต พึงเป็นทั้งนักเรียน และไต่ถาม พึงตั้งใจฟังคำสุภาษิตโดยเคารพ นรชนทำอย่างนี้จึงจะเป็นผู้มีปัญญา. ผู้มีปัญญานั้นย่อมพิจารณาเห็นกามคุณทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นโรค ผู้เห็นแจ้งอย่างนี้ย่อมละความพอใจในกามทั้งหลายอันเป็นทุกข์ มีภัยอันใหญ่หลวงเสียได้. ผู้นั้นปราศจากราคะแล้ว กำจัดโทสะได้ พึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณ งดอาชญาในสัตว์ทุกจำพวกแล้ว ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงแดนพรหม. [๒๔๗๕] ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นทุกเมื่อเถิด ความยินดีนี้ เป็นคุณชาติประเสริฐสุดของบรรพชิต.
Create Date : 13 มิถุนายน 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 1 กรกฎาคม 2553 17:00:53 น. |
Counter : 1362 Pageviews. |
|
|
|