23 กย 53 วัดราชบูรณะ พิษณุโลก
วัดราชบูรณะ จ.พิษณุโลก
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ทางใต้ของวัดพระศรีมหาธาตุ ประวัติวัดบนไม้แผ่นป้ายของวัด มีความว่า วัดราชบูรณะเดิมไม่ปรากฏชื่อ ก่อสร้างมานาน ๑,๐๐๐ ปีเศษ ก่อนที่พระยาลิไทได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ดังนั้นวัดนี้จึงได้ชื่อว่า วัดราชบูรณะ รวมความยาวนานถึงปัจจุบันประมาณ ๑,๐๐๐ ปีเศษ
พระยาลิไท ได้เสด็จครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ๗ ปี คือ ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๐๕ ถึง ปี พ.ศ. ๑๙๑๒ พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุง ซ่อมแซมโบราณสถาน และโบราณวัตถุเมืองในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง สูงที่สุดในกรุงสุโขทัยตอนปลาย
พระยาลิไททรงสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาแล้ว ทองยังเหลืออยู่จึงได้หล่อพระเหลือขึ้น และทรงทอดพระเนตรเห็นว่าวัดนี้ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้บูรณะขึ้นมาอีกครั้งจึงได้นามว่า ราชบูรณะ วัดราชบูรณะนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างน้อย ๓ สมัย ดังนี้ คือ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซึ่งเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก ๒๕ ปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๐๓๑
และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งเสด็จเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก ๒๑ ปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๙๑ ถึง ปี พ.ศ. ๒๑๑๒
และในรัชสมัยพระบรมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในปี พ.ศ. ๒๒๙๙
ทำให้วัดราชบูรณะมีสภาพที่แข็งแรง มั่นคงมาตลอดกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นสันนิษฐานว่าได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เพราะได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถแล้วให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่องรามเกียรติ์ และมีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระวิหารแล้วให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่องพระพุทธประวัติ เดิมนั้นอาณาเขตของวัดราชบูรณะ ติดต่อกับวัดนางพญา เป็นพื้นที่เดียวกันในสมัยก่อน อยู่ในฐานะวัดพี่วัดน้อง ต่อมาในช่วงเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒ กรมทางหลวงได้ตัดถนนพิษณุโลก-หล่มสัก คือ ถนนมิตรภาพ ตัดผ่านเนื้อที่ของวัดนางพญา และวัดราชบูรณะเฉียดอุโบสถไปจนต้องรื้อย้ายใบเสมาด้านตะวันออกเฉียงเหนือทำให้เหลือเนื้อที่เพียง ๑๑ ไร่ ๓ งาน ๕๕ ตารางวา
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดราชบูรณะไว้เป็นโบราณสถาน วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ดังนี้ พ.ศ. ๒๕๒๘ บูรณะวิหารหลวง ปีพ.ศ. ๒๕๓๐ อนุรักษ์ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ และ พ.ศ. ๒๕๓๓ บูรณะเจดีย์หลวง โดยเสริมความมั่นคงทางรากฐาน และต่อยอดพระเจดีย์ทรงลังกาซึ่งหักชำรุดหายไปให้บริบูรณ์
วิหารหลวงพ่อทองดำ และเจดีย์ของวัดอยู่ทางด้านหลัง
เจดีย์ทรงกลมด้านหลังพระวิหารวัดราชบูรณะ เป็นเจดีย์ทรงกลม ตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม ฐานแปดเหลี่ยมนั้นทำเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป บนสุดเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบอยุธยามีกำแพงแก้วล้อมรอบ มุมกำแพงแต่ละมุมมีเจดีย์ทรงกลม ตั้งอยู่บนพนักกำแพงนั้น ปัจจุบันเจดีย์ทรงกลมองค์ใหญ่ยอดหัก เหลือแต่ชั้นบัลลังก์ที่รับยอด จากรูปทรงของฐานที่เห็นได้ในขณะนี้ ภายในอาจจะเป็นฐานเจดีย์แบบสุโขทัยและคงจะถูกซ่อมแปลงโดยการพอกภายนอกก็เป็นได้ ถ้าหากวัดราชบูรณะถูกซ่อมแปลงและมีอายุเก่าถึงสมัยสุโขทัยตอนปลาย
พ.ศ. ๒๕๓๓ กรมศิลปากร ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์รากฐานและก่อยอดพระเจดีย์วัดราชบูรณะ ให้มีความมั่นคงแข็งแรงและสมบูรณ์ดี
วิหารวัดราชบูรณะ เป็นวิหารทรงโรงเช่นเดียวกับโบสถ์แบ่งเป็น ๙ ห้อง ประตูทางด้านหน้า ๓ ประตู มุขทางด้านหน้าเป็นมุขแบบพะไลลอยตั้งรับเสา ๔ ต้น ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ โดยเฉพาะหางหงส์เป็นหัวนาคปูนปั้น นาคปักมุมเช่นเดียวกันเป็นนาคปูนปั้น หน้าบันเป็นแบบภควัม ภายในกรอบลูกฟักสลักลายเปลวแบบช่อหางโต ภายในวิหารมีเสาปูนกลม ๒ แถวๆ ละ ๗ ต้น เสาในประธานมีขนาดเส้นรอบวงประมาณ ๒.๔๙ เมตร เสาเฉลียงมีขนาด เส้นรอบวง ๒.๑๕ เมตร พ.ศ. ๒๕๒๘ กรมศิลปากร ได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ พระวิหารวัดราชบูรณะ โดยทำการซ่อมหลังคา ฝาผนัง และพื้นให้มีสภาพที่มั่นคงแข็งแรง ดีขึ้นมาก
พ.ศ. ๒๕๓๖ กรมศิลปากร ได้จัดส่งช่างศิลปกรรม มาอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระวิหารวัดราชบูรณะ ให้มีสภาพดีขึ้น
หลวงพ่อทองดำเป็นพระประธาน
พระประธาน เป็นพระประธานปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ เมตร สูง ๕.๕๐ เมตร ศิลปะสมัยสุโขทัย มีรูปร่างละม้ายคล้ายพระพุทธชินราชมาก ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี 2 ชั้น สูง ๑.๕๐ เมตร ชั้นล่างสูง ๑ เมตร เป็นรูปเท้าสิงห์ชั้นบนสูง .๕๐ เมตร เป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายปิดทอง
วัตถุโบราณ ที่เก็บไว้ในวิหารหลวงพ่อทองดำ
จิตรกรรมภายในวิหารหลวงทั้งสี่ด้าน มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือสกุลช่างในสมัยรัชกาลที่ ๔ เขียนเรื่อง พุทธประวัติ แต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ถูกน้ำฝนลบเลือนชำรุดเสียหายไปเกือบหมดแล้ว คงเห็นเป็นภาพจิตรกรรมได้เด่นชัดเฉพาะตรงผนังกลองหน้าพระวิหาร เขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าผจญมารเต็มทั้งฝาผนัง
อุโบสถ พระอุโบสถมีลักษณะพิเศษคือ ที่ชายคาตกแต่งด้วยนาค 3 เศียร มีลักษณะอ่อนช้อยงดงาม
สถาปัตยกรรมแบบทรงโรง มี ๖ ห้อง ซึ่งเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย มีหลังคาโค้งตรงกลางเล็กน้อย มุงด้วยกระเบื้องดินเผาสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคานั้นเป็นปีกนกคลุมสามชั้น มุงด้วยกระเบื้องดินเผาแบบเกล็ดพระยานาค จั่วหน้าหลังเป็นจั่วแบบภควัม มีการเข้าไม้แบบฝาประกน มี ๓ ชั้น ไม่มีการแกะสลักลวดลาย ประดับด้วยกระจกสีน้ำเงินและเหลือง มีช่อฟ้าบนหลังคาอุโบสถหน้าหลัง มีรวยระกาที่หน้าบรรณ ลำยองไม่ทำเป็นงวงแบบนาคสดุ้ง หางหงส์และนาคปักทำเป็นนาคเบือน ตามลักษณะความแหลมตามแนวหลังคา ทำเป็นรูปนาคปูนปั้นมีนาคสามเศียรปูนปั้นมีด้านหน้า ๔ ตน ด้านหลังหลัง ๔ ตน ซึ่งเป็นศิลปะแบบเก่าที่ใช้กับรวยระกา และป้านลมแบบสถาปัตยกรรมสุโขทัย บานประตูด้านหน้า และหลังรวม ๕ คู่ แกะสลักดอกไม้มีสี่กลีบแบบดอกลำดวน ประดับกระจกสีน้ำเงินและสีเหลืองรอบพระอุโบสถมีกำแพงแก้ว ก่ออิฐถือปูนสูงประมาณ ๑.๒๕ เมตร โดยรอบ
พระประธานในอุโบสถ หลวงพ่อทองสุข หรือหลวงพ่อขาว
เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๒ เมตร สูง ๓ เมตร ศิลปะสมัยสุโขทัยประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี ก่ออิฐถือปูนชั้นล่าง เป็นฐานเท้าสิงห์ ๒ ชั้น ชั้นบนสุดเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงาย ปิดทองประดับกระจกสีน้ำเงิน
ภายในอุโบสถ มีภาพวาด แต่เลือนลาง มองเห็นไม่ชัด
ที่ฝาผนังพระอุโบสถทั้งสี่ด้าน มีจิตรกรรมฝาผนัง ฝีมือสกุลช่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เขียนเรื่องรามเกียรติ์บนฝาผนังทั้งสี่ด้าน ภาพเขียนที่สำคัญคือ ภาพตอนทศกัณฑ์สั่งเมือง ตอนล่างของภาพรามเกียรติ์ ที่เขียนเป็นภาพเรื่องชนชาติต่าง ๆ ภาพกามกรีฑา ภาพสัตว์หิมพานต์ และภาพการละเล่นพื้นบ้าน
พ.ศ. ๒๕๒๘ กรมศิลปากรได้ขุดค้นเจดีย์หลวงวัดราชบูรณะ เพื่อจะทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ ได้ขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ ที่บรรจุไว้ในคอระฆังของเจดีย์-หลวง ซึ่งบรรจุอยู่ในผอบ และเจดีย์จำลองเล็กๆ ที่ทำจากทองสำริด
เรือพระที่นั่งรัชกาลที่ 5 วันที่ ๑๖ ตุลาคม ร.ศ.๑๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จวัดราชบูรณะ
เป็นเรือพระที่นั่งรับเสด็จมีขนาดความยาว ๑๒ เมตร กว้าง ๑.๗๐ เมตร โดยทรงใช้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธชินราช และเสด็จไปในที่ต่างๆ เพื่อทรงนมัสการศาสนสถาน รวมทั้งเสด็จมานมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดราชบูรณะ และทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกร โดยใช้เรือลำนี้แทนเรือพระที่นั่งที่มาจากเมืองหลวง (บางกอก) หลังจากนั้นเวลาผ่านมาเนิ่นนานเรือลำนี้ได้ถูกปล่อยทิ้งไว้จนจมดินเหลือให้เห็นแต่ท้ายเรือเท่านั้น
พ.ศ.๒๕๒๗ ทหารค่ายสฤษณ์เสนา จำนวน ๓๐๐ นาย ได้มาพัฒนาวัดราชบูรณะ รวม ๓ วัน ๓ คืน ได้มีมีการขุดเรือพระที่นั่งรับเสด็จขึ้นมาบูรณะซ่อมแซม แล้วนำมาตั้งไว้กลางลานวัดหน้ากุฏิไม้
พ.ศ. ๒๕๓๓ ในงานฉลอง ๔๐๐ ปี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทางศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลกได้อัญเชิญไปทำรบูรณะซ่อมแซมอีกครั้ง แล้วนำลงลอยในแม่น้ำน่านเป็นครั้งแรกเพื่อเฉลิมฉลองในนามเรือ "พระยาจีนจัตตุ" ซึ่งในว่าเป็นเวลากว่าร้อยปีที่เรือลำนี้ไม่ได้สัมผัสผิวน้ำเลย จากนั้นได้อัญเชิญกลับมาไว้ที่วัดราชบูรณะดังเดิม จนปัจจุบัน พร้อมจารึกอักษรไว้ว่า
"นาวาเสด็จน่านนทีราชบูรณะ" อ้างอิง;เสนอ นิลเดช (๒๕๓๒ : ๗๐) สองแคววันวาน พิษณุโลกวันนี้ สิ่งประทับใจในวัดนี้คือ เป็นโบราณสถาน ที่มีคุณค่าอย่างมาก ชอบวิหารหลวงพ่อทองคำ รวมทั้งการตกแต่งภายในวิหาร เพราะสถาปัตยกรรม รูปแบบสวยงาม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นโบราณสถาน การวางผังของเจดีย์ อุโบสถ และวิหารหลวงพ่อทองดำ สามารถจัดวางได้อย่างสวยงามลงตัว เมื่อเข้าไปภายในอุโบสถและวิหาร ก็สัมผัสได้ถึงความเป็นโบราณสถานเนื่องจากไม่มีความรู้ทางสิ่งก่อสร้างได้แต่อาศัยการสังเกต (พบว่าในสมัยโบราณนั้นมักสร้างเป็นอุโบสถขนาดเล็กๆ ) สภาพจิตรกรรม ภาพวาดที่ฝาผนังถึงแม้จะดูเลอะเลือน แทบจะมองไม่เห็น แต่ก็ยังเห็นเค้าความเก่าแก่อย่างแท้จริง บางส่วนที่รู้สึกเสียดายมากคือถนนตัดผ่านหน้าอุโบสถชิดจนเกินไป หนทางเข้าอุโบสถ ไม่สามารถเข้าทางด้านหน้าได้ ต้องเดินเข้าทางประตูหลัง เพราะด้านหน้าติดกำแพงวัดข้อคิดที่ได้คือ ไตรลักษณ์ของสรรพสิ่งทั้งปวง
ข้อเสนอแนะ วัดไทย เปรียบเสมือนแหล่งความรู้ทางประวัติศาสตร์ มีข้อมูล วัฒนธรรมและ เรื่องราวของบุคคลอันยาวนาน สะสมอยู่ในวัด และควรจะต้องได้รับการสืบทอดต่อไป ดังนั้นวัดจึงควรได้รับการอนุรักษ์และดูแลโดยคณะทำงาน ที่เล็งเห็นความสำคัญของการสืบทอดมรดกเหล่านี้ไปยังคนรุ่นหลัง และทำโครงการอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาวการก่อสร้างต่อเติม อาคารลงไปในบริเวณวัด ควรมีหน่วยงานที่มีความรู้ความสามารถในระดับชาติ เข้ามาร่วมให้ความคิดเห็น เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และยังคงมีภูมิทัศน์ที่งดงามค่ะ
Create Date : 23 กันยายน 2553 |
Last Update : 23 กันยายน 2553 22:08:59 น. |
|
2 comments
|
Counter : 4283 Pageviews. |
|
|
ไปพิดโลกมาก็บ่อย แต่ยังไม่ได้เข้าไปดูอย่างจริงจัง
มีสิ่งของเก่าๆ ที่มีคุณค่ามากมายเลยนะครับ