Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
2 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
2 กย 54 มุตโตทัย 9 อุบายแห่งวิปัสสนา อันเป็นเครื่องถ่ายถอนกิเลส



         ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดี อุปมาดั่งดอกปทุมชาติอันสวยๆงามๆ ก็เกิดขึ้นมาจากโคลนตมอันเป็นของสกปรกปฏิกูลน่าเกลียด แต่ว่าดอกบัวนั้น เมื่อข้นพ้นโคลนตมแล้วย่อมเป็นสิ่งที่สะอาดเป็นที่ทัดทรงของพระราชาอุปราชอำมาตย์และเสนาบดีเป็นต้น  และดอกบัวนั้นก็มิกลับคืนไปยังโคลนตมอีกเลย  ข้อนี้เปรียบเหมือนพระโยคาวจรเจ้าผู้ประพฤติพากเพียรประโยคพยายาม ย่อมพิจารณาซึ่งสิ่งสกปรกน่าเกลียด จิตจึงพ้นสิ่งสกปรกน่าเกลียดได้ สิ่งสกปรกน่าเกลียดนั้น ก็คือตัวเรานั่นเอง ร่างกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครก คือ อุจจาระ ปัสสาวะ (มูตร คูถทั้งปวง) สิ่งที่ออกจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ก็เรียกว่าขี้ทั้งหมด เช่นขี้หัว ขี้เล็บ ขี้ฟัน ขี้ไคล เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ร่วงหล่นลงสู่อาหาร แกง กับ เป็นต้นก็รังเกียจต้องเททิ้งกินไม่ได้ และร่างกายนี้ต้องชำระอยู่เสมอจึงพอเป็นของดูได้ ถ้าหากไม่ชำระขัดสีก็จะมีกลิ่นเหม็นสาป เข้าใกล้ใครก็ไม่ได้ ของทั้งปวงมีผ้าแพรเครื่องใช้ต่างๆ เมื่อยอยู่นอกกายของเราก็เป็นของสะอาด แต่เมื่อมาถึงกายนี้แล้วก็เป็นของสกปรกไป เมื่อปล่อยไว้นานเข้าไม่ซักฟอก ก็จะเจ้าใกล้ใครไม่ได้เลย เพราะเหม็นสาป ดังนั้นจึงได้ความว่า ร่างกายของเรานี้เป็นเรือนมูตรคูถ เป็นอสุภะเป็นของไม่งาม ปฏิกูลน่าเกลียด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นถึงปานนี้ เมื่อชีวิตหาไม่แล้วยิ่งจะสกปรกหาอะไรเปรียบเทียบมิได้เลย เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรทั้งหลาย จึงพิจารณาร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนาญด้วยโยนิโสมนสิการ ตั้งแต่ต้นมาทีเดียวคือ ขณะเมื่อยังเห็นไม่ทันชัดเจน  ก็พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วก็กำหนดส่วนนั้นให้มาก เจริญให้มาก ทำให้มาก การเจริญทำให้มากนั้นพึงทราบอย่างนี้ อันชาวนาเขาทำนา เขาก็ทำที่แผ่นดิน ไถที่แผ่นดิน ดำลงไปในดิน ปีต่อไปเขาก็ทำที่ดินอีกเช่นเคย เขาไม่ได้ทำในกลางอากาศกลางหาว  คงทำแต่ที่ดินอย่างเดียว ข้าวเขาก็ได้เต็มยุ้งเต็มฉางเอง เมื่อทำให้มากใที่ดินนั้นแล้ว ไม่ต้องเรียกว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงมาเต็มยุ้งเน้อ ข้าวก็จะหลั่งไหลมาเอง และจะห้ามว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงอย่ามาเต็มยุ้งเต็มฉางเราเน้อ ถ้าทำนาในที่ดินนั่นเองจนสำเร็จแล้ว  ข้าวก็จะมาเต็มยุ้งเต็มฉางเองฉันใดก็ดี พระโยคาวจรเจ้าก็ฉันนั้น  จงพิจารณากายในที่เคยพิจาณาอันถูกนิสสัย หรือที่ปรากฏมาให้เห็นครั้งแรกอย่าละทิ้งเป็นอันขาด  การทำให้มากนั่นมิใช่หมายแต่การเดินจงกรมเท่านั้น  ให้มีสติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดก็ให้มีสติรอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่าทำให้มากเมื่อพิจารณาในร่างกายนั้นจนชัดเจน แล้วให้พิจารณาแบ่งส่วนแยกส่วนออกเป็นส่วนๆตามโยนิโสมนสิการตลอดจนกระจายออกเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และพิจารณาให้เห็นไปตามนั้นจริงๆอุบายตอนนี้ตามแต่ตน จะใคร่ครวญออกอุบายตามที่ถูกจริตนิสสัยของตนแต่อย่าละทิ้ง หลักเดิมที่ตนได้รู้ครั้งแรกนั่นเทียว  พระโยคาวจรเจ้าเมื่อพิจารณาในที่นี้พึงเจริญให้มาก ทำให้มากอย่าพิจารณาครั้งเดียว แล้วปล่อยทิ้งตั้งครึ่งเดือนตั้งเดือน ให้พิจารณาก้าวเข้าไปถอยออกมาเป็นอนุโลมปฏิโลม  คือเข้าไปสงบจิตแล้วถอยออกมาพิจารณากายอย่าพิจารณากายอย่างเดียวหรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาอย่างนี้ชำนาญหรือชำนาญอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้แลเป็นส่วนที่จะเป็นเองคือ จิตย่อมจะรวมใหญเมื่อรวมพึบลงยอ่มปรากฏว่าทุกสิ่ง รวมลงเป็นอันเดียวกัน คือหมดทั้งโลกย่อมเป็นธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฏขึ้นพร้อมกันว่า โลกนี้ราบเหมือนหน้ากลอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียวกันไม่ว่าป่าไม้ ภูเขา มนุษย์สัตว์ แม้ที่สุดตัวของเราก็ต้องลบราบเป็นที่สุดอย่างเดียวกัน พร้อมกับญาณสัมปยุตต์คือรู้ขึ้นมาพร้อมกันในที่นี้ ตัดความสนเท่ห์ในใจได้เลยจึงชื่อว่า (ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสสนา) คือทั้งเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง ชั้นนี้เป็นเบื้องต้น ในอันที่จะดำเนินต่อไป ไม่ใช่ที่สุด อันพระโยคาวจรเจ้าพึงเจิรญให้มาก ทำให้มาก จึงจะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งอีกจนรอบจนชำนาญ เห็นแจ้งชัดว่า สังขารความปรุงแต่งอันเป็นความสมมติว่า โน่นเป็นของเรา โน่นเป็นเรา เป็นความไม่เที่ยง อาศัยอุปาทานความยึดถือจึงเป็นทุกข์  ก็แลธาตุทั้งหลายเขาหากมีหากเป็นอยู่อย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมาเกิดแก่เจ็บตาย เกิดขึ้นเรื่อยไปอยู่อย่างนี้ อาศัยอาการของจิตคือขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไปปรุงแต่ง สำคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ นับเป็นเอนกชาติเหลือประมาณมาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้จิตหลงอยู่ตามสมมติ ไม่ใช่สมมติมาติดเอาเรา เพราะธรรมชาติที้งหลายทั้งหมดในโลกนี้จะเป็นของวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เมื่อว่าตามความจริงแล้วเขาหากมีหากเป็นเกิดขึ้นเสื่อมไปมีอยู่อย่างนั้นทีเดียว  โดยไม่ต้องสงสัยเลย จึงรู้ขึ้นว่า ปุพเพสุ อนนุสสุเตสุ ธัมเมสุ  ธรรมดาเหล่านี้หากมีมาแต่ก่อน ถึงว่าจะไม่ได้ยินได้ฟังจากใคร ก็มีอยู่อย่างนั้นทีเดียว ฉะนั้นในความข้อนี้ พระพุทธองค์เจ้าจึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เราไม่ได้ฟังมาแต่ใคร มิได้เรียนมาแต่ใคร เพราะของเหล่านี้มีอยู่มาแต่ก่อนพระองค์ดังนี้ ได้ความว่า ธรรมดาธาตุทั้งหลายย่อมเป็นย่อมมีอยู่อย่างนั้น อาศัยอาการของจิตเข้าไปยึดถือเอาสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นมาหลายภพหลายชาติ จึงเป็นเหตให้เป็นไปตามสมมตินั้น เป็นเหตุให้ก่อภพก่อชาติด้วยอาการของจิตเข้าไปยึด ฉะนั้นพระโยคาวจรเจ้ามาพิจารณาโดยแยบคายลงไปตามสภาพว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขาร ความเข้าไปปรุงแต่ง คืออาการของจิตนั่นแลไม่เที่ยง สัตว์โลกเขาเที่ยง คือมีอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น ให้พิจารณาโดยอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ เป็นเครื่องแก้อาการของจิตให้เห็นแน่แท้ โดยปัจจัขสิทธิว่า ตัวอาการของจิตนี้เองมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์จึงหลงตามสังขาร  เมื่อเห็นจริงลงไปแล้วก็เป็นเครื่องแก้อาการของจิต จึงปรากฏขึ้นว่า สังขารา สัสสตา นัตถิ สังขารทั้งหลายที่เที่ยงแท้ไม่มี สังขารเป็นอาการของจิตต่างหาก เปรียบเหมือนพยับแดด  ส่วนสัตว์เขาก็อยู่ประจำโลกแต่ไหนแต่ไรมา เมื่อรู้โดยเงื่อน ๒ ประการ คือ รู้ว่า สัตว์ก็มีอยู่อย่างนั้น สังขารก็เป็นอาการของจิตเข้าไปสมมติเขาเท่านั้น  ฐีติภูตัง จิตตั้งอยู่เดิมไม่มีอาการเป็นผู้หลุดพ้น  ได้ความว่า ธรรมดาหรือธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน จะใช่ตนอย่างไรของเขาหากเกิดมีอย่างนั้น ท่านจึงว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา  ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ให้พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์ตามนี้ จนทำให้รวมพับลงไปให้เห็นจริงแจ้งชัดตามนั้น โดยปัจจิกขสิทธิ พร้อมกับญาณสัมปยุตต์ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน จึงชื่อว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนา  ทำในที่นี้จนชำนาญเห็นจริงแจ้งประจักษ์พร้อมกับการรวมใหญ่ และญาณสัมปยุตต์รวมทวนกระแสแก้อนุสัย สมมติเป็นวิมุตติ  หรือรวมลงฐีติจิตต์ อันเป็นอยู่มีอยู่อย่างนั้นจนแจ้งประจักษ์ในที่นี้ด้วยญาณสัมปยุตต์ว่า ขีณา ชาติ ญาณัง โหติ ดังนี้ ในที่นี้ไม่ใช่สมมุติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดเอง เป็นเอง รู้เองโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะด้วยการปฏิบัติอันเข้มแข็งไม่ท้อถอย  พิจารณาโดยแยบคายด้วยตนเอง จึงจะเป็นขึ้นมาเอง ท่านเปรียบเหมือนต้นไม้ต่างๆ มีต้นข้าวเป็นต้น เมื่อบำรุงรักษาต้นมันให้ดีแล้ว ผลคือรวงข้าว ไม่ใช่สิ่งอันบุคคลพึงปรารถนาเอาเลย เป็นขึ้นมาเอง  ถ้าแลบุคคลมาปรารถนาเอาแต่รวงข้าว แต่หาได้รักษาต้นข้าวไม่ เป็นผู้เกียจคร้าน จะปรารถนาจนวันตาย รวงข้าวก็จะไม่มีขึ้นมาให้ฉันใด  วิมุตติธรรมก็ฉันนั้นนั่นแล  มิใช่สิ่งอันบุคคลจะพึงปรารถนาเอาได้  คนผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม  แต่ปฏิบัติไม่ถูกหรือไม่ปฏิบัติ มัวเกียจคร้านจนวันตาย  จะประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลย ด้วยประการฉะนี้








Create Date : 02 กันยายน 2554
Last Update : 2 กันยายน 2554 22:28:58 น. 7 comments
Counter : 1069 Pageviews.

 
สาธุกับธรรมค่ะ


โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 3 กันยายน 2554 เวลา:7:10:50 น.  

 

... สวัสดียามเช้าวันหยุด..ของหลาย ๆ ท่านค่ะ..

(วันนี้เรายังไม่หยุด อิอิ ก็เลยอู้งานมา Comment กัน...^^ )






โดย: Lika ka วันที่: 3 กันยายน 2554 เวลา:7:59:52 น.  

 
นอนหลับฝันดีนะค่ะ..^^




โดย: Lika ka วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:20:51:40 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ วันทำงานวันแรกของสัปดาห์ค่ะ..^^



โดย: Lika ka วันที่: 5 กันยายน 2554 เวลา:7:50:27 น.  

 

 
...ขอบคุณค่ะ หยุดวันอาทิตย์วันเดียวเอง..เศร้า




โดย: Lika ka วันที่: 10 กันยายน 2554 เวลา:22:39:12 น.  

 

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

mcayenne94
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]




Bangkok

Kyoto

Sydney

Mcayenne94's Diary มีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึกเรื่องราวของเจ้าของบ้านและสิ่งแวดล้อม ไม่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการ จัดจำหน่าย ต้นไม้ดอกไม้ หรือสิ่งใด อนุญาตให้นำภาพถ่าย พร้อมชื่อMcayenneผู้ถ่ายภาพไปใช้ประโยชน์ได้ และสงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้นำภาพถ่าย Mcayenne ไปใช้ โดยการดัดแปลงตัดต่อหรือลบชื่อภายในภาพ
Friends' blogs
[Add mcayenne94's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.