วันนี้มีเพลง country มาฝากค่ะ ชอบฟังเสียง Banjo Guitar แสดงลักษณะเฉพาะตัวของเพลงcountry ได้ดีค่ะ ให้ความรู้สึกสนุกแบบเหงาๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่ดี มีประวัติน่าสนใจศึกษา และได้เรียนรู้ภาษาตามคำแปล นอกจากความรื่นรมย์ที่ได้รับ นะค่ะ
จอห์น ออกัสตัส ซัตเตอร์ เจ้าของเหมืองทองรายแรกในเมือง ซาคราเมนโต และหลุมศพ ของเขา RIP ค่ะ .. ??...แค่ไหนก็ไม่อยู่ค้ำฟ้าไปได้ค่ะ (มรณานุสติ )
In the spring of forty-seven
So the story, it is told,
Old John Sutter went to the mill site Found a piece of shining gold. ในฤดูใบไม้ผลิของปี 47 (ปี ค.ศ.1847) เรื่องราวที่เล่าสืบขาน เมื่อตาเฒ่าซุทเทอร์ ไปที่บริเวณกังหันน้ำ แกพบชิ้นส่วนเล็ก ๆของทองคำที่เป็นประกาย Well, he took it to the city Where the word, like wildfire, spread. And old John Sutter soon came to wish he'd Left that stone in the river bed. แกนำมันเข้ามาในเมือง จากนั้นเสียงร่ำลือก็กระจายไปดุจไฟไหม้ป่า จอห์นซุทเทอร์จึงได้คิดว่าควรจะทิ้งสินแร่นั้นให้จมไว้กับท้องน้ำ For they came like herds of locusts Every woman, child and man In their lumbering Conestogas They left their tracks upon the land. พวกเขาหลั่งไหลมาราวกับฝูงแมลง ผู้หญิง เด็กและพวกผู้ชาย ในเกวียนไม้มีประทุนลากด้วยม้า ทิ้งรอยไว้เป็นทาง (Chorus) Some would fail and some would prosper Some would die and some would kill Some would thank the Lord for their deliverance And some would curse John Sutter's Mill. บางคนล้มเหลว..มีบ้างที่ร่ำรวย บางคนก็ล้มตายไป..ส่วนบางคนถูกฆ่า บางคนสวดอ้อนวอนกับพระผู้เป็นเจ้า ส่วนบางคนก็พร่ำด่าจอห์นซุทเทอรมิลล์์ Well, they came from New York City, And they came from Alabam' With their dreams of finding fortunes In this wild unsettled land.
..พวกเขามากันจากนิวยอร์ค มาจากอลาบามา ด้วยความฝันที่จะพบกับโชค ในดินแดนป่าเถื่อนที่ยังไม่มีใครตั้งถิ่นฐาน Well, some fell prey to hostile arrows As they tried to cross the plains. And some were lost in the Rocky Mountains With their hands froze to the reins. Oh...
บางคนตกเป็นเหยื่อลูกศรของศัตรู ในขณะที่พยายามข้ามที่ราบกว้าง บางคนสาบสูญไปในเทือกเขารอคกี้ ในขณะที่มือเย็นแ็ข็งจับอยู่กับเชือกบังคับม้า
(Chorus) Well, some pushed on to California And others stopped to take their rest. And by the Spring of Eighteen-sixty They had opened up the west.
บางคนดั้นด้นไปจนถึงแคลิฟอร์เนีย คนอื่น ๆบ้างหยุดและตั้งถิ่นฐานตามรายทาง จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของปี 1860 พวกเขาก็เปิดหนทางมุ่งสู่ตะวันตก
And then the railroad came behind them And the land was plowed and tamed, When Old John Sutter went to meet his maker, With not one penny to his name. Oh...
แล้วทางรถไฟก็ตามพวกเขามา พื้นดินที่เดยว่างเปล่าก็ถูกหักร้างถางพง เมื่อตาแก่ John Sutter ไปพบพระเจ้า (ตาย) แกไม่มีเงินซักบาท.... (Chorus) And some would curse John Sutter's Mill Some men's thirsts are never filled.
และบางคนพร่ำสบถด่าจอห์นซุทเทอร์มิลล์ กิเลสตัณหามนุษย์ไม่มีใครเติมเต็มให้พอ..
ในศตวรรษที่ 19 John Sutter ผู้บุกเบิกการขุดทองแห่งเมือง Coloma, รัฐ California ณ ริมฝั่งแม่น้ำของอเมริกา เป็นครั้งแรกที่ถูกบันทึกไว้คือในเดือนมกราคม 1848 เขาขุดพบทองจำนวมากจนกลายเป็นตำนานของเพลง sutter's mill และเป็นตำนานแห่งยุคตื่นทองในแคลิฟลอเนียที่ทำให้ผู้คนกว่า 300.000 คนหลั่งไหลเข้าไปในแคลิฟรอเนียด้วยความหวังที่จะเป็นเศรษฐีกับการค้าทอง กลุ่มผู้ขุดทองรุ่นแรกๆถูกเรียกว่า "forty-niners" ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นที่มาของชื่อทีม อเมริกัน ฟุตบอล ชื่อดัง หรือที่เรียกว่า "ทีมนักขุดทอง"
ยุคตื่นทอง (Gold Rush) ในสหรัฐอเมริกา
คุณค่าของโลหะทองคำในสายตาของมวลมนุษย์นั้นมีค่ามากมหาศาลเมื่อเทียบกับโลหะมีค่าชนิดอื่น ๆ แต่ก่อนหน้า ค.ศ. 1848 ใครจะเชื่อว่าฐานะและบทบาทของทองคำเมื่อเทียบกับโลหะเงินในทางเศรษฐกิจและการค้าของประชาคมโลกแล้ว ถือว่าน้อยจนกระทั่งไม่อาจจะเทียบกันได้เลย
การค้นพบสายแร่ทองคำครั้งยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้นเมื่อกลางฤดูหนาวอันเย็นยะเยือกของ ค.ศ. 1847-1848 ที่โรงเลื่อยของจอห์น ออกัสตัส ซัตเตอร์ ชานเมืองซาคราเมนโต คนงานผู้หนึ่งนามว่า จอห์น มาร์แชล ได้พลัดตกลงไปในธารน้ำข้างโรงเลื่อยและบังเอิญได้พบว่าโคลนในแม่น้ำที่ตนตกลงไปนั้นเต็มไปด้วยทองคำ
โรงเลื่อยของจอห์น ออกัสตัส ซัตเตอร์ ชานเมืองซาคราเมนโต ในปัจจุบัน
จอห์น มาร์แชล คนงานโรงเลื่อย ผู้ค้นพบสายแร่ทองคำ ซึ่งต่อมากลายเป็นหุ้นส่วนกับ จอห์น ออกัสตัส ซัตเตอร์
ข่าวการค้นพบทองคำครั้งนี้ของเขาแพร่กระจายไปทั่วเมืองในเวลาอันรวดเร็ว คนนับพันต่างทะลักกันมาที่โรงเลื่อยดังกล่าวพร้อมกับอุปกรณ์ขุดค้นหาทองคำที่คาดว่าจะร่อนทอง ได้ทั้งในแม่น้ำและริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งทองคำที่พบในอเมริกานี้ มีลักษณะเป็นฝุ่นผงขนาดเล็กที่ต้องนำไปร่อน และหลอมด้วยวิธีพิเศษเท่านั้นเพื่อให้ฝุ่นผงเกาะตัวกันเป็นสินแร่และก้อนทองคำที่มีค่า
เสียงร่ำลือที่กระจายออกไปดุจไฟไหม้ป่าทำให้ ผู้คนต่างหลั่งไหลอพยพมาราวกับฝูงแมลง ผู้หญิง เด็กและพวกผู้ชาย เดินทางมาในเกวียนไม้มีประทุนลากด้วยม้า ทิ้งรอยไว้เป็นทางนับ 100 ไมล์
ภายใน 1 ปีถัดจากนั้นมา กระแสตื่นทองคำได้ผลักดันผู้คนนับแสนพากันหลั่งไหลเข้ามาในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเมื่อถึง ค.ศ. 1853 จำนวนคนตื่นทองพุ่งขึ้นไปมากกว่า 300,000 คนเพราะกระแสตื่นทองคำไม่เพียงแต่นำนักแสวงโชคที่มากับความเพ้อฝันที่จะร่ำรวยในชั่วข้ามคืน หากยังนำคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างพ่อค้า นักการเงิน นักการพนัน และอื่นๆ เข้ามาด้วย
บางคนก็ล้มเหลว..มีบ้างที่ร่ำรวย บางคนก็ล้มตายไป..ส่วนบางคนถูกฆ่า บางคนสวดอ้อนวอนกับพระผู้เป็นเจ้าขอพรให้ได้ทองจำนวนมากพอที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป
พวกเขาพากันมาจากนิวยอร์ค มาจากอลาบามา ด้วยความฝันที่จะพบกับโชค ในดินแดนป่าเถื่อนเต็มไปด้วยชนพื้นเมือง หรือพวกอินเดียนแดง เพื่อไปยังดินแดนที่ยังไม่มีใครตั้งถิ่นฐาน
ผู้คนพากันดั้นด้นไปจนถึงแคลิฟอร์เนีย บ้างก็หยุดและตั้งถิ่นฐานตามรายทางจนกลายเป็นชุมชน จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิของปี 1860 พวกเขาก็เปิดเส้นทางมุ่งสู่ตะวันตก มีการสร้างทางรถไฟเชื่อมจากทางตะวันออกไปยังตะวันตก
มีการเปิดเส้นทางมุ่งสู่ตะวันตกเพื่อสร้างทางรถไฟเชื่อมจากทางตะวันออกไปยังตะวันตก
บริเวณที่พบแร่ทองคําหรือการทําเหมืองแร่ทองคํา จะถูกขุด โค่นต้นไม้ ปรับพื้นที่ แผ้วถางป่าจนทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซานฟรานซิสโก เมืองเก่าของชุมชนสเปนในอดีต ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ได้กลายมาเป็นแหล่งชุมชนที่มั่งคั่ง เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าของยุคตื่นทอง และยั่งยืนต่อมา แม้ทองจะหมดไปก็ตามที นอกจากนั้นแล้ว ซานฟรานซิสโก ยังได้กลายเป็นแหล่งรับคนงานเหมืองชาวจีนที่ถูกระดมมาจากเมืองจีน ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรรมกรอพยพรุ่นล่าสุดของอเมริกายุคหลังสงครามกลางเมือง
แรงงานชาวจีน ที่ถูกนำเข้ามาเป็นคนงานในเหมืองแร่ทองคำ จนกลายมาเป็นชุมชนชาวจีน หรือ"ไชน่าทาวน์"ในปัจจุบัน
คนงานชาวจีนเหล่านี้ไม่ได้มาเพราะสมัครใจ หากมีหลักฐานจำนวนมากที่ยืนยันว่า คนงานชาวจีนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกแอบอุ้มมาจากโรงยาฝิ่นในหัวเมืองชายทะเลของจีน แล้วส่งลงเรือกลไฟเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาที่ซานฟรานซิสโก ก่อนจะถูกแจกจ่ายให้กับนายจ้างยังเหมืองทองคำที่ต่างๆ
จำนวนชาวจีนที่หลั่งไหลเข้ามายังอเมริกาในช่วงตื่นทองนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้นายจ้างอเมริกันได้เรียนรู้พลังของแรงงานผิวเหลืองจากเอเชียตะวันออกเท่านั้น หากยังได้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากได้เรียนรู้ที่จะอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกในเวลาต่อมาด้วย จนทำให้ชุมชนการค้าของชาวจีนในซานฟรานซิสโกได้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ตั้งแต่ยุคตื่นทองที่มีเอกลักษณ์มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเรารู้จักกันในนามของ "ไชน่าทาวน์"
เมือง โคโลมา ใน ซาคราเมนโต ที่ค้นพบสายแร่ทองคำ
เมืองซาคราเมนโต ในอดีต
ซานฟานซิสโก ชุมชนนักขุดทองในอดีต
Dan Fogelberg ผู้ถ่ายทอดการค้นพบความร่ำรวย และความหวังในชีวิตของผู้คนในยุค 40 ออกมาเป็นท่วงทำนองและเสียงเพลง
กิเลสความโลภไม่เคยหมดไปจากโลกมนุษย์ ทุกยุคทุกสมัยยังมีคนบูชาเงินทองและความร่ำรวย แต่การสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับสังคม การบูชาความร่ำรวย นับถือผู้มีเงินทองมากโดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่เขาได้มา การคิดค้นหาวิธีให้ได้มากขึ้น ให้ได้ง่ายขึ้น ให้คนอื่นทำงานให้ ฉุดดึงเป็นสายโยงใยเป็นลูกโซ่ไปสู่ชาวบ้านที่ไม่ประสีประสาให้เข้ามาสู่วงการ ด้วยความฝันอันบรรเจิด รวมทั้งการล้างสมองยัดเยียดให้ใช้สิ่งของที่เกินความจำเป็นของชีวิต การโฆษณาเกินจริง ถึงผลของสินค้า โดยหวังให้ขายได้มากขึ้น กลับเป็นสิ่งที่ถูกมองและยกย่องว่าคือความฉลาด ความได้เปรียบ และเป็นความปกติของสังคมที่เราต้องยอมรับ พวกเราน่าจะได้ทบทวนและช่วยกันปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องให้กับเยาวชน ให้ดำเนินชีวิตแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ "คนดี คนมีความสุข ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย"
เดี๋ยวต้องไปรื้อมาอ่านซะหน่อย
ปล.ตอนนี้ทองบาทละ19000กว่าแล้ว