ค้นภาพวัดหินหมากเป้ง ไปเที่ยวชมและเก็บภาพไว้ตั้งแต่ครั้งไปงานละสังขารองค์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน เมื่อต้นปี เป็นวัดที่น่าสนใจเนื่องจาก พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หนึ่งในศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)ได้ริเริ่มจัดตั้งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

ภาพถ่ายจากวัดบริเวณริมแม่น้ำโขง มีแผ่นหินแบนราบก้อนใหญ่หลายก้อนเรียงราย บรรยากาศดีเหมาะกับการภาวนา มีกุฏิ ซ่อนตามพุ่มไม้ริมแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามคือประเทศลาว

ขับรถจากอุดรธานี ไปตามเส้นทางอุดร-หนองคาย สองข้างทางมีมะพร้าวเผาให้รับประทาน ถนนระหว่างจังหวัดกว้างขวางมากๆ ปริมาณรถไม่มาก ขับง่ายถนนดี มีป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยว ตลอดทาง รวมทั้งป้ายบอกทางไปวัดหินหมากเป้ง แยกจากถนนใหญ่ไปทางซ้ายมือ เข้าทางแยกแล้วเป็นถนนแคบสองเลนไปตลอดทาง จนถึงวัดหินหมากเป้งไกลพอสมควร ก่อนถึงวัดหินหมากเป้ง ถนนคดโค้งไปมา รู้สึกไกลอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อสังเกตคือ ก่อนถึงวัดหินหมากเป้งจะสังเกตเห็นวัดอรัญบรรพต ของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ป้ายชื่อวัดขนาดใหญ่อลังการอยู่ทางซ้ายมือ เลยไปไม่ไกลจะพบวัดหินหมากเป้ง อยู่ทางขวามือติดแม่น้ำโขง มีถนนทางเข้าเล็กๆ ซุ้มประตูวัดคล้ายวัดต่างจังหวัดทั่วไป ไม่สะดุดตา

สิ่งที่น่าประทับใจ คือ ความสะอาดเรียบร้อย และต้นไม้ดอกสวยงาม ในบริเวณวัด ตัววัดตั้งอยู่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ติดริมแม่น้ำโขง บรรยากาศร่มรื่นสวยงาม

คำว่า "หินหมากเป้ง" เป็นชื่อหินสามก้อน ซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่ริมฝั่งโขงที่หน้าวัด อันมีรูปลักษณะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำสมัยเก่า คนพื้นที่เขาเรียกว่า เต็งหรือเป้งยอย คำว่าหมากเป้งเป็นภาษาภาคนี้ผลไม้หรืออะไรก็ตาม ถ้าเป็นลูกแล้วเขาเรียก หมากขึ้นหน้าทั้งสิ้นเช่น หมากม่วง หมากพร้าว เป็นต้น ตามตำนานบอกว่ามีคนเฒ่าคนแก่เล่าปรัมปราสืบกันมาว่า หินหมากเป้งก้อนบน (เหนือน้ำ) เป็นของหลวงพระบางก้อนกลางเป็นของบางกอก ก้อนใต้เป็นของเวียงจันทน์ ต่อไปในอนาคตข้างหน้า กษัตริย์ทั้งสามนครจะมาสร้างให้เจริญ

หลวงปู่เทสก์กำเนิดเมื่อวันที่๒๖ เมษายน๒๔๔๕ ปีขาล เป็นบุตรของนายอุตส่าห์ นางครั่ง ครอบครัวชาวนา บ้านนาสีดา ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เมื่ออายุ ๑๘ ปีมีโอกาสติดตาม พระอาจารย์สิงห์ขันตยาคโม ออกธุดงค์และบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านเค็งใหญ่ โดยมี พระอาจารย์ลุยเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาไปศึกษาธรรมที่วัดสุทัศนารามเมืองอุบลราชธานี และเรียนหนังสือที่วัดศรีทอง เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม๒๔๖๖ อุปสมบทณ พัทสีมาวัดสุทัศนาราม โดยมี พระมหารัฐเป็นพระอุปัชฌาย์พระมหาปิ่นปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลังจากนั้นได้ออกธุดงค์ไปกับพระอาจารย์สิงห์ขันตยาคโม ได้กราบนมัสการพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาสจ.สกลนคร ที่บ้านค้ออ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ทำให้มีกำลังจิตกำลังใจในการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียรเป็นอย่างยิ่ง

ครั้งสมัยที่พระอาจารย์มั่นภูริทัตโต ไปพำนักทางภาคเหนือ พระอาจารย์เทสก์ ได้จาริกธุดงค์กับ พระอาจารย์อ่อนสีไปกราบท่านอาจารย์ใหญ่ที่ป่าเมี่ยงดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ได้ปฏิบัติธรรมในภาคเหนือ ถิ่นมูเซอ และมาโปรดสาธุชนแถบลำพูน จนกลับมาภาคอีสาน พำนักที่วัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ปี๒๔๙๒ ไปเยี่ยมพระอาจารย์มั่นซึ่งอาพาธที่วัดบ้านหนองผือ นาใน อ.พรรณานิคมจ.สกลนครจนกระทั่งพระอาจารย์ใหญ่ละสังขาร

กาลต่อมาปี๒๔๙๓ พระอาจารย์เทสก์ได้ไปจำพรรษาที่ จ.ภูเก็ต และเผยแผ่ศาสนธรรมในภาคใต้ ร่วมกับหมู่คณะ โดยท่านได้พำนักที่ภูเก็ต-พังงา-กระบี่นานถึง ๑๕ ปี หลังจากนั้นได้เดินทางกลับมาที่ วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร พักจำพรรษา ปีรุ่งขึ้นได้จาริกมาที่วัดหินหมากเป้งซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดี เหมาะแก่การเจริญธรรมสัมมาปฏิบัติ

หลวงปู่เทสก์เป็นสมณะผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรอันงดงามยิ่ง เป็นผู้นำศรัทธาในการอบรมสั่งสอนธรรมและนำสร้างศาสนสถานเพื่อการจรรโลงพระบวรพุทธศาสนาหลายแห่ง ในถิ่นแถบอีสาน เป็นปูชนียาจารย์ของชนทุกระดับชั้น

ในปัจฉิมวัยท่านได้ไปพำนักที่วัดถ้ำขาม และละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม๒๕๓๗ เวลาประมาณ๒๒.๐๐ น.สิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี๗๑ พรรษา
ref;//board.palungjit.com

ประตูทางเข้าหน้าวัด สองข้างทาง มีต้นแคฝรั่งสีขาว กำลังออกดอกสวยงาม

ด้านหน้ามณฑปอนุสรณ์หลวงปู่เทสก์ มีต้นอโศก ออกดอกสีเหลืองส้มสวยงาม ไม่เคยเห็นมาก่อน ดอกเป็นช่อดูเผินๆคล้ายดอกเข็ม แต่ไม่เหมือน มีสีส้มเหลืองอ่อนแก่สลับกันสวยงาม สีของกลีบดอก เข้ากับสีกระเบื้องมุงหลังคามณฑป และ "อโศก" ก็ยังมีความหมายที่ดี ..ไม่เศร้าโศกอีกต่อไป เมื่อเห็นต้นไม้ในวัดจึงรู้สึกถึงความประณีตบรรจงคัดสรรต้นไม้ เพื่อมาปลูกในวัดนี้อย่างเหมาะเจาะ ตั้งแต่หน้าประตูวัด เป็นถนนทางเข้า ดอกแคฝรั่งหลายสี ถูกคัดเลือกแต่เพียงต้นดอกสีขาว นำทางไปสู่ความบริสุทธิ์ ถ้าเราให้ความหมายว่า สีขาว เป็นตัวแทนของความ สะอาด บริสุทธิ์ และ ต้นอโศก ที่ถูกคัดเลือกให้โดดเด่นอยู่ใกล้กุฏิและมณฑปของหลวงปู่ ถึงแม้จะมาไม่ทันยุคสมัย ไม่เคยเห็นองค์จริงของท่าน แต่สัมผัสจากบรรยากาศในวัด ยังสือสารได้ว่าองค์ท่านน่าจะเป็นผู้ประณีต อ่อนโยน และละเอียดลึกซึ้ง อย่างมากทีเดียวค่ะ

Create Date : 13 สิงหาคม 2554
Last Update : 13 สิงหาคม 2554 14:51:27 น.		8 comments
Counter : 3784 Pageviews.
Share Tweet