จากหลวงพระบาง ปากเบ็ง เชียงของ ถึงไทย ตอนจบ
7 เมษายน วันนี้เราสองคนมีโปรแกรมไปที่หมู่บ้านพนม เป็นหมู่บ้านที่ทอผ้าไหม ผ้าฝ้ายขาย หลายปีก่อนเคยไปแล้วคิดว่าจะกลับไปอีก มาคราวนี้แม่บุญเตรียมปากกา ดินสอมาหลายร้อยแท่ง กะจะเอาไปแจกเด็กนักเรียนเสียหน่อย บ้านแรกที่ไปถึง คนขายผ้าเป็นหญิงสูงอายุพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดี เลยได้คุยกันกับมิเชล จากนั้นมิเชลก็หลวมตัวซื้อผ้าผืนงามไปสองผืน..ตกหลุมจนได้ ส่วนแม่บุญเห็นกระสวยทอผ้าถูกทิ้งไว้หลายอัน เขาไม่ใช้แล้วเลยขอซื้อมาสองสามอัน เอามาไว้ดูเพื่อรำลึกความทรงจำว่างั้นเถอะ พอมาถึงเบลเยียมได้ไอเดียเอามาแขวนผ้าที่ซื้อมาประดับผนังสวยไปอีกแบบ .. เราถีบจักรยานเข้าไปกลางหมู่บ้านที่มีห้องโถงใหญ่จัดเป็นตลาดส่วนกลางของ ชาวบ้านที่จะนำผ้าที่ทอไว้มาขายให้ลูกค้า วันนั้นเป็นวันที่มีคนมาขายของมากมาย มิเชลกับแม่บุญถูกรุมทึ้งให้ไปดูร้านนี้ ร้านนั้น พอไม่เข้าไปเขาก็ต่อว่าแบบยิ้ม ๆ ว่าไม่เข้ามาดูหน่อยหรือ ให้ราคาพิเศษนะ ตอนนั้นเราสองคนกะซื้อมาไว้ใช้เอง และเอามาเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษให้คนรู้จัก มิเชลเลยซื้อเสียมากมาย ขอนินทานิดว่า..ตอนนี้แกไม่ยักบ่นว่าบ้านเล็กนิดเดียวแล้วจะเอาไปยัดไว้ที่ไหน ?? เราแวะเวียนเข้าไปดู พร้อมกับแจกปากกาให้ชาวบ้าน เขาไม่ได้เอาไปใช้เองหรอก แต่เอาไปให้ลูก ๆ หลาน ๆ ไว้ไปเขียนที่โรงเรียน ตกลงปากกาหลายร้อยด้ามก็หมดลงภาพในพริบตา ชาวบ้านบอกว่าคราวหน้าหาอย่างอื่นมาแจกด้วยนะ เออ..อะไรดีหล่ะคุณยาย ?? ถ้ามีกระตังค์เยอะ ๆ ก้ดีหรอกค่ะ แต่หาเช้ากินเย็นเหมือนแม่บุญ แจกบ่อย ๆ ตัวเองคงแย่.. 8 เมษายน วันนี้เราสองคนจะลงเรือล่องจากหลวงพระบาง ไปจนถึงเชียงราย ใช้เวลาสองวันหนึ่งคืน โดยการโดยสารเรือล่องแม่น้ำโขงไปเรื่อย ๆ จะได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนริมฝั่งน้ำโขงไปด้วย มีเวลามากนี่นะ เลยทำอะไรที่มันไม่เคยได้ทำเสียเลย มิเชล..ท่าทางดีอกดีใจ จะได้ผจญภัยในรูปแบบที่แตกต่าง แม่บุญเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์นั่งเรือล่องแม่น้ำโขงเช่นกัน เอาน่าท่าทางจะสนุกไม่น้อยทีเดียว 8 โมงกว่า ๆ ที่เราสองคนไปถึงท่าเรือ มีชาวต่างชาติหลายคนที่ยืนเรียงต่อแถวซื้อตั๋ว ซึ่งมีสองราคาจ้า ต่างชาติ 95,000 กีบ ส่วนคนลาว 65,000 กีบ แม่บุญพูดภาษาลาวกับคนขายเผื่อเขาจะลดราคาให้ แต่เขาไม่เล่นด้วย ยิ้มแล้วสั่นหน้า แหม่..พูดภาษาเดียวกัน ไหนว่าเมืองพี่เมืองน้องไง ทีตอนเก็บตังค์ ไม่เหลือพี่เหลือน้องเลยนะตัวเอง ชาวต่างชาติรวมทั้งแม่บุญ ไม่มีประสบการณ์การเดินทางแบบนี้ เราเลยเอ้อระเหยลอยชายรอขึ้นเรือตอนไหนก้ได้ ที่ไหนได้มารู้ตอนหลังว่า ที่นั่งเบาะนิ่ม ๆ คล้าย ๆ เบาะรถยนต์ มันอยู่ด้านหน้าและถูกจับจองโดยชาวบ้านที่เดินทางกันบ่อย ๆ จนรู้ที่ทางดี ตกลงเราเลยได้นั่งเบาะพิเศษ เป็นไม้กระดานกว้างกว่าผ่ามือผู้ชายตัวโต ๆ นิดหน่อย แล้วก็เบาะรองนั่งที่ถูกใช้งานจนไม่เหลือความนุ่มใด ๆ อยู่อีกเลย คิดดูว่าเราต้องนั่งอยู่เฉย ๆ บนไม้กระดานนี้ตั้งแปดถึงเก้าชั่วโมง มันทรมานขนาดไหน ที่นั่งข้างหน้าก็ติดเสียจนขาสั้น ๆ ของแม่บุญขยับไม่ได้ ที่คิดว่าจะได้เดินทางแบบสบาย ๆ เสียที มันทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกที ไม่รู้จะทำอะไรเลยมองสำรวจไปรอบ ๆ ตัว ด้านหน้าหลังคนขับ เป็นที่ว่างโล่งแต่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยสินค้าตาง ๆ ที่จะถูกนำไปส่งยังจุดหมายปลายทางคือหมู่บ้านต่าง ๆ ระหว่างทาง ที่เห็นมีเครื่องสำหรับแช่แข็ง เหมือนตู้เย็นอันใหญ่ จะเอาไปแช่อะไรนี่ ถัดมาเป็นกองสัมภาระ กล่องกระดาษใส่ของจนล้น มัดแล้วมัดอีกด้วยเชือกฟาง ไก่หลายตัวในตะแกรงไม้ไผ่ มีหมูด้วยหรือเปล่า ?? แล้วก็อะไรต่ออะไรสารพัดดูไม่ออก ถัดมาเป็นที่นั่งวีไอพี ประมาณห้าแถว ๆ ละสองคน นั่งกันสบายเชียวนะ ถัดมาอีกเป็นที่นั่งธรรมดา สำหรับต่างชาติผู้จ่ายราคาแพงกว่าชาวบ้านแต่บริการระดับล่างสุด แล้วแหม่..เวลาต่างชาติไปเที่ยวเมืองไทย เราบริการเขายังกับพระราชาก็ไม่ปาน ต้องส่งมาดูงานบ้านเราบ้างแล้ว บ่นนะเนี่ย..ด้วยความเจ็บก้น.. ด้านหลังของแม่บุญ เป็นเครื่องจักรที่ทำงานส่งเสียงหนวกหู แทบแตก มันเกิน 180 เดซิเบลแน่นอน มิเชล..ถือโอกาส ใส่หูฟัง ๆ เพลงแก้หนวกหู ส่วนแม่บุญ..ทำใจ ถัดไปอีก..ท้ายเรือ เป็นห้องน้ำ ค่อยยังชั่วไม่เลวร้ายมากนัก แต่แม่บุญก็ไม่อยากเข้าบ่อยเลยดื่มน้ำน้อยหน่อย สองข้างทาง
บ้านเรือนที่มีอยู่บาง ๆ ตา เป็นชาวบ้านที่ยากจน ไม่มีที่อยู่ ปลูกบ้านโดยเอาเศษไม้ตามที่จะพอหาได้มาปัก ๆ เสียบ ๆ หลังคาจากทำผ้าพลาสติกบ้าง ไม้ไผ่บ้าง แล้วก็ปูทับด้วยฟาง เรือจอดส่งผู้โดยสารเป็นระยะ ๆ ส่วนมากจะลงแต่ไม่มากนัก เห็นใจหรอกเพราะค่าโดยสารชาวบ้านแม้จะไม่แพง แต่เมื่อไม่มีรายได้จะเอากะตังค์ที่ไหนมาจ่าย..ชีวิตหนอชีวิต และดูุเหมือนจุดหมายปลายทางส่วนมากจะเป็นที่แห่งเดียวกับที่เราจะไปพักคืนนี้
ปากเบ็ง ในเรือลำนี้ เรายังได้เห็นลูกสาวตัวน้อยของเจ้าของเรือ ชื่อ น้ำผึ้ง ๆ อายุพึ่งจะขวบกว่า ๆ แม่จับมานอนใกล้ ๆ เครื่องยนต์ โดยปูผ้าขาวม้าบนเสื่อสีแดงผืนใหญ่ นึกในใจว่า น้ำผึ่้งตัวน้อยจะไม่มีปัญหาเรื่องหู เมื่อโตขึ้นเพราะเธอนอนฟังเสียงเครื่องยนต์ทุกวัน เล่นก็ตรงนี้ กินนอนอีกต่างหาก แล้วจะมีโอกาสเข้าโรงเรียนไหมเนี่ย .. นั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่รู้จะทำอะไร สักพักมิเชลก็เริ่มนอนหลับโดยการนั่งเอน ๆ แต่มันไม่สบายเลยตื่น..สมน้ำหน้า อิ อิ เรานั่งกันอย่างยาวนาน
จนในที่สุดก็มาถึงปากเบ็ง ผู้โดยสารหลาย ๆ คนเริ่มลุกเพราะถึงที่หมายแล้ว แม่บุญกับมิเชลเตรียมตัวลงเช่นกัน แล้วเราสองคนก็ตาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อเห็นผู้ชายหลาย ๆ คนมาช่วยกันยกตู้เย็นขึ้นจากเรือ ความสูงจากเรือไปที่ฝั่งสูงมากๆ ดินทรายที่ท่าเรือ มันไม่ได้แน่นพอที่จะทรงตัวได้ จึงทำให้ยิ่งยากลำบากในการยกตู้เย็นให้ขึ้นไปได้ แต่..ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยกำลังผู้ชายเกือบสิบคน..โล่งอกไป คราวนี้ก็มาถึงเรา กระเป๋าสองใบไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ด้วยความสูงของฝั่งทำให้ต้องทุลักทุเล จนหนูน้อยตัวช่วย ถามเสียงดังมาว่า จะให้ช่วยไหม ? เออ..ดีสิ แหม่.. กำลังต้องการทีเดียว หนูน้อยสองคนวิ่งมาแย่งหิ้วกระเป๋าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามว่า โรงแรมที่พักชื่ออะไร แม่บุญบอกจะรู้ได้ไงพึ่งมาถึง ตัวช่วยที่สองก็มายืนยิ้มแฉ่งชูรูปโรงแรมเปิดใหม่ให้ดู พร้อมเชิญชวนให้ไปพัก แม่บุญกับมิเชลดูแล้วก็อยากเห็นว่าจะดีจริงหรือเปล่า เลยโอเคซิกกาแล็ด เจ้าหนูสองคนพอรู้ชื่อโรงแรมก็วิ่งแล่นนำหน้าไปทันที โรงแรมที่เราไปพักเป็นโรงแรมใหม่เอี่ยม ห้องพักกว้างขวาง สะอาดสะอ้านราคาที่พักแค่ สองร้อยบาทต่อคืน เจ้าหนูน้อยสองคนมาสะกิดขอค่าขนกระเป๋า แม่บุญถามว่าเท่าไหร่
สี่ร้อย..หา..อะไรนะ แค่ขนกระเป๋าขนาดกลางมาโรงแรมไม่กี่ร้อยเมตรเนี่ยนะ ?? ให้ทิปเด็กยกกระเป๋าโรงแรมสี่ห้าดาวยังไม่ถึงเลย แม่บุญ..มองเด็กสองคนและเพื่อน ๆ ที่มายืนล้อมแม่บุญอยู่ เห็นแล้วว่าเด็กโกหกเรื่องราคาที่โก่งจนแพงหูฉี่ บ้านนอกแบบนี้ให้สิบบาท ยี่สิบบาทก็ดีใจตายแล้ว ตกลงแม่บุญให้ไปคนละห้าสิบบาทเพราะสงสาร กำลังจะเดินลงไปข้างล่างเด็กสองคนวิ่งมาสะกิดบอกว่าต้องจ่ายอีกสามร้อย งานนี้แม่บุญเริ่มยั้ว
อะไรวะ ให้แค่นี้ก็ดีแล้วยังจะตามมาเอาอีก พอดีเจ้าของโรงแรมเดินผ่านมาแม่บุญเลยถามว่าปกติเขาให้ค่าขนกระเป๋ากันเท่าไหร่ ? เจ้าของโรงแรมตอบว่า ห้าบาทก็ดีถมไปแล้ว ฮ้า..ไงหล่ะ ยังจะตามมาอีก แม่บุญเลยหันกลับไปบอกว่า ถ้ายังตามตื้ออยู่จะเรียกตำรวจ คราวนี้ได้ผล เผ่นแน้บ..ไปคนละทางมองไม่เห็นฝุ่นเลย เด็กหนอเด็ก
ถูกสอนให้โกงจากใครนะ ? ยังดีที่ยังกลัวตำรวจ.. เย็นวันนั้นเราเดินสำรวจรอบ ๆ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ แล้วก็เดินหาข้าวกิน ร้านอาหารมากมาย แต่ไม่มีคน เราเลือกร้านอาหารพื้นบ้านไม่ไกลจากที่พัก ไม่มีแขกสักคน หรือจะเพราะพึ่งหกโมงเย็น ตกลงเลือกที่นั่งทำเลดี ก็สั่งอาหาร..ต้มข่าไก่ ผัดผักรวม ข้าวสองจาน เบียร์ลาวหนึ่งขวด แก้วสอง เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที โดยที่ไม่มีวี่แววของคนในร้านสักคน หรือเขาไปจับไก่ ?? มิเชลถามขึ้นมาลอย ๆ แล้วก็ผักคงจะต้องไปเอาที่สวนไกลออกไป แม่บุญอดหัวเราะไม่ได้ รออีกสักพัก คราวนี้มีลูกค้าต่างถิ่นเหมือนเราเดินเข้าร้านอีกห้า หกคน มิเชลบอกว่า พวกเขาคงจะได้กินตอนเที่ยงคืน เพราะเราสั่งไม่กี่อย่างยังนานขนาดนี้ ฝรั่ง..หรือไทย ที่มาเที่ยวคงเห็นเราสองคนนั่งในร้านและตีเหมาเอาว่าอาหารคงจะพอใช้ได้ แหม่..ทำตัวราวหมึกแดงเลยนะ ที่ให้ใบประกาศติดหน้าร้าน เพื่อเรียกลูกค้า อีกสิบนาทีต่อมา เด็กในร้านเดินมาบอกว่า ไม่มีไก่ ..อ้าวเหรอ ..เกือบครึ่งชั่วโมงนี่พึ่งนึกได้หรือไง ? แล้วมีอะไร มีปลา.ปลานิล เอาปลาทอดก็แล้วกัน ตกลงวันนั้นเราได้กินข้าวเกือบสองทุ่ม เพราะกว่าเขาจะรับคำสั่ง กว่าจะเดินหาอะไรต่ออะไร คนอื่น ๆ ที่สั่งอาหารล้วนแสดงท่าทางเบื่อหน่ายกับการรอ อย่างไม่รู้ว่าจะได้กินเมื่อไหร่ ตกลงงานนี้ สอนไว้ว่า..อย่าเชื่อว่า หน้าตาแม่บุญจะการันตี ร้านอาหารได้จ้า เราเดินกลับโรงแรมเพราะไม่รู้จะทนนั่งต่อไปทำไม สามทุ่ม ..หัวค่ำอยู่เลย แต่ไม่มีอะไรทำ เลยต้องนอน 9 เมษายน ตื่นเช้าเพราะต้องลงเรือเดินทางต่อไปเชียงของ ใกล้ ๆ ชายแดนไทย เดินทางแบบเดิม วิวแบบเดิม ที่นั่งเดิม ๆ คิดถูกหรือผิด คือคำถามสุดท้ายอีกตามเคย เอาเป็นว่า เรามาถึงเชียงของหลังห้าโมงเย็น ..ชายแดนไทยปิดแล้วจ้า อ้าว..แล้วจะทำไง ก็ต้องนอนที่นี่อีกคืนนะสิ พระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำทำให้ต้องรีบเดินหาที่พัก เมืองเล็ก ๆ นี้มีที่พักไม่มาก เราไปถามโรงแรมใกล้ ๆ สองสามแห่ง เต็มหมด คิดดูว่าผู้โดยสารทั้งลำมาลงที่เดียวกัน ใครไวกว่าก็ได้ไป แม่บุญกับมิเชลเริ่มเร่งฝีเท้าเปลี่ยนทิศทางหาโรงแรมใหม่ พระท่านคงเห็นใจเลยดลบันดาลให้เจอบ้านพักใหม่เอี่ยม มีห้องเหลือสองห้อง พระเจ้าช่วยลูก แม่บุญกับมิเชลรีบตกลงจ่ายในราคาห้าร้อยบาท ดีกว่าไม่มีที่นอนนะ รอดตัวไปได้อีกหนึ่งคืน
เช้า
จ่ายตังค์ค่าที่พักเสร็จก็ลากกระเป๋า ไปที่ท่าเรือ ๆ ยังไม่ออก มีเวลากินข้าวเช้า พอดีเจอกับกลุ่มคนเวียดนามสี่ห้าคน ที่นั่งเรือมาด้วยกันเมื่อวาน พักโรงแรมเดียวกันเลยได้นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน พวกเขาอพยพไปอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่สงครามเวียดนาม ตอนนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด แล้วก็แวะเที่ยวไปเรื่อย ๆ เหมือนเรา คุยกันถูกคอทีเดียว แถมยังขอเลี้ยงอาหารเช้ามื้อนั้นเสียด้วย แลกที่อยู่กันเผื่อวันหน้าจะเจอกันอีกใครจะรู้ จากนั้นก็ลงเรือข้ามฟาก เดินเรียงหน้ากระดานให้เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพาสปอร์ต เขาถามว่า..มายังไงล่ะนี่ เลยเล่าให้ฟังว่านั่งเรือมา สองคืน สองวันนี่แหละ เขาบอกว่าเจ๋ง.. นั่นสินะ..ในที่สุดการเดินทางอันยาวนาน ตั้งแต่มุกดาหาร สะวัณนะเขต ดานัง เว้ ฮอยอัน ฮานอย เวียงจันทน์ หลวงพระบาง ปากเบ็ง เชียงของ และไทย
กลับมาถึงบ้านเกิดเมืองนอนเสียที ประสบการณ์มากมายที่ได้รับระหว่างการเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าจดจำ จนนำมาเขียนเป็นเรื่องราวให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนี่แหละ
จบจ้า.. ทริปหน้า ไปบาหลีกันไหม ??
Free TextEditor
Create Date : 09 เมษายน 2554 |
|
25 comments |
Last Update : 9 เมษายน 2554 2:09:32 น. |
Counter : 4353 Pageviews. |
|
|
|
นั่งบนไม้กระดานหลายชั่วโมง เมื่อยจริงๆ นะคะ
แต่ในที่สุดก็ถึงเมืองไทยจนได้
เป็นการผจญภัยที่สนุกมากๆ ค่ะ