Group Blog
พฤษภาคม 2560

 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
ผมถูกสอนให้เรียนรู้อย่างไร เผื่อว่าจะนำมาปรับใช้กับลูกได้บ้าง โดย ดร. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร


ผมถูกสอนให้เรียนรู้อย่างไร เผื่อว่าจะนำมาปรับใช้กับลูกได้บ้าง
โดย ดร. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
......................................................................................................................งง

ผมได้มีโอกาสสนทนาสั้นๆ กับคุณพ่อที่เป็นกัลยาณมิตรท่านหนึ่งครับ และท่านได้กรุณาชื่นชมว่าผมเป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ระดับหนึ่ง (ผมต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี่ครับผม) และท่านยังแนะนำให้ผมลองเล่าย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ (0 - 10 ขวบ) ว่ามีวิถีชีวิตอย่างไร ถูกสอนให้เรียนรู้อย่างไร เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการเป็นตัวอย่างได้บางส่วนในการเลี้ยงดูลูกน่ะครับ
.
ก่อนอื่น ผมต้องขออนุญาตบอกก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง หรืออัจฉริยะครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ "พยายามไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และอยากรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ อยากทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ" เท่านั้นเองครับ
.
ผมเป็นลูกชายคนโตที่เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกรรมาชีพ (ผมมีน้องชายอีก 2 คน) ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีการศึกษาสูงครับ คุณแม่เป็นแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ส่วนคุณพ่อเป็นลูกจ้างร้านขายผ้าที่สำเพ็ง ฐานะทางบ้านพออยู่พอกินครับ ไม่ถึงกับลำบาก แต่ไม่ประหยัดไม่ได้ครับ
.
ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ตอน ป.1 - ป.2 ผม และน้องๆ ไม่เคยจะมีของเล่นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เขาครับ ส่วนมากก็มักจะขี่จักรยานไปเล่นตามสวน สนามทราย เหมือนกับภาพยนตร์แฟนฉันนี่ล่ะครับ ส่วนมากก็จะปั้นดินปั้นทราย ของเล่นที่ผมคุ้นเคยที่สุดก็คือ "ลูกเทนนิส" กับ "ลูกปิงปอง" ลูกเทนนิสนี่เหมือนจะเป็นลูกเทนนิสเก่าที่ได้มาจากใครนี่ล่ะครับ ส่วนลูกปิงปองก็ซื้อมได้ครับไม่แพง สำหรับลูกเทนนิสผมกับน้องๆ จะเล่นด้วยการโยนใส่กำแพง แล้วผลัดกันรับครับ ส่วนลูกปิงปองก็จะเอามาเล่นโบราณเรียกชื่อกัน
.
--> ผมว่าด้วยการรับเล่นด้วยการรับลูกเทนนิส หรือลูกปิงปองนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ผม และน้องๆ มี Multisensory Skill ที่ดี เพราะการรับลูกเทนนิส และลูกปิงปองที่กระเด้งกระดอน ด้วยความเร็ว นี่มันต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งตา มือ และการเคลื่อนไหวนะครับ
.
ด้วยความว่าที่บ้านต้องประหยัด คือ แม่ของผมเป็นคนสอนเรื่องความประหยัดได้ดีมากนะครับ คือ คุณแม่ไม่ได้สอนให้ตระหนี่ หรืองกนะครับ แต่คุณแม่จะสอนให้เราคิด และรู้จักจัดสรรครับ
- เวลากับข้าวมีน้อย คุณแม่จะสอนว่าให้นึกก่อนว่าคนข้างหลังเราที่ยังไม่กินมีใครบ้าง เราจะได้ตักกับข้าวแบบที่คิดถึงคนข้างหลังเสมอ เชื่อไหมครับ ผมนี่ติดเป็นนิสัยเป็นคนที่กินกับข้าวน้อยมาก (กินแต่ข้าวจนอ้วน 5555)
- เวลาที่มีเงิน คุณแม่ก็มักจะสอนให้ผมค่อยๆ แบ่งใช้ แม่ผมพูดเสมอครับว่าของแพงเราไม่กลัว ถ้าของชิ้นนั้นเราจำเป็นต้องใช้ มั่นใจว่ามันคุ้มค่าเงิน และเรามีเงิน แต่เราจะไม่ซื้อของเพราะราคามันถูก โดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ และถ้าเราไม่รู้จักออมเงิน ต่อให้เราเจอของถูก และดี ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่มีเงิน ผม และน้องๆ เป็นคนที่รู้หน้าที่นะครับ ว่าได้ค่าขนมมา ต้องเก็บเท่าไหร่ ใช้เท่าไหร่ ไม่ต้องให้คุณแม่สั่งนะครับ
- คุณแม่จะคุยเรื่องการเงินที่บ้านให้ผม และน้องๆ ฟังเสมอ เพื่อให้พวกเราไม่อยู่ในความประมาท และช่วยกันประหยัด เวลานึกอะไรที่ประหยัดได้ก็จะประหยัดครับ ไม่ต้องรอให้แม่สั่ง เพราะพวกเราพี่น้องเห็นใจพ่อ และแม่มากครับ เพราะเงินหายาก แต่ผม และพี่น้อง ไม่เคยนึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรนะครับ ไม่เคยรู้สึกว่าขาดเลย ไม่เคยเรียกร้องว่าอยากได้นั่นได้ดี เวลาตรุษจีน คุณพ่อพาไปซื้อของเล่น ก็มักจะเลือกแต่ของที่ราคาไม่แพง เพราะต้องคิดว่า พ่อต้องซื้อให้ตั้ง 3 คนแน่ะ (คือผมคิดแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะครับ)
- ถึงพ่อแม่ผมจะประหยัดยังไงก็ตาม แต่พ่อผม แม่ผมไม่เคยประหยัดเรื่องหนังสือเลยนะครับ เวลาที่ผมจะขอซื้อหนังสือ หรือซื้อแบบฝึกหัดมาฝึกทำ คุณพ่อคุณแม่จะไม่เคยอิดออดครับ เชื่อไหมครับว่า ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากครับ โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวข้องกับความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ว่าชอบอ่านมากหรอกนะครับ เพียงแต่ว่าหนังสือเล่มหนึ่งสมัยนั้นมัน 20 บาท มันราคาไม่แพงครับ อ่านแล้วมันก็สนุกดี และอ่านได้นานด้วยครับ จะซื้อของเล่นมันแพง เล่นแว่บเดียวก็เบื่อ (ผมเคยอยากได้รถบังคับมาก แต่ไม่เคยได้ จนถึงทุกวันนี้ เออ! แปลกดีนะครับ) แต่การอ่านหนังสือมันช่วยผมได้มากนะครับ มันทำให้ผมติดนิสัยชอบค้นคว้าครับ ถ้าสมัยนั้นมี Google ผมคงดีใจมาก เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งค้นหนังสือในห้องสมุดครับ
.
--> ผมว่าการสอนแบบนี้ มันทำให้ผมถูกฝึกให้คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา และต้องคิดคำนวณดีๆ ก่อนที่จะใช้เงินทุกครั้งครับ
.
ผม และน้องๆ ถูกแบ่งหน้าที่ให้ทำงานบ้านตั้งแต่เด็กนะครับ เรียกได้ว่าเป็นหน้าที่ ที่ต้องรู้โดยอัตโนมัตินะครับ ว่าทุกๆ วันเสาร์ผมต้องถูกบ้าน ทำนั่นโน่นนี่ พอทำเสร็จแล้วแม่ก็จะให้เงินค่าขนมคนละ 5 บาท และถึงจะได้ออกไปเล่นข้างนอกบ้าน ถ้าไม่ทำ และออกไปเล่นข้างนอกบ้าน จะโดนแม่บ่นทันทีครับ ผมทำงานบ้านแบบมืออาชีพมาก จนบ้านของคุณน้าข้างๆ ยังจ้างให้พวกผมไปช่วยถูบ้านด้วยนะครับ โดยได้ค่าขนมเพิ่มอีกคนละ 5 บาท
.
--> ผมว่างานบ้านที่ถูกจัดสรรให้เป็นหน้าที่ นี่ช่วยให้ผมเป็นคนที่เคารพในหน้าที่ของตัวเองมากๆ นะครับ ไม่มีใครอยากทำงานบ้านหรอกนะครับ เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ไม่รู้เป็นไง มันก็ต้องทำ ไม่ชอบก็ต้องทำ พอเราไม่ทำ แล้วเห็นแม่ทำแทน มันรู้สึกผิดไงก็ไม่รู้ สุดท้ายเราก็ต้องแย่งถังน้ำแม่มาทำทุกที ผมว่างานบ้านนี่ช่วยฝึก Working Memory ได้มากนะครับ เพราะเราต้องวางแผนนะครับว่า เราจะต้องทำอะไรก่อนหลัง
.
ทุกปิดเทอมตอน ป.4 - ป.6 ผม คุณพ่อจะฝากให้ผมไปทำงานที่ร้านผ้าแถวๆ สำเพ็งด้วยนะครับ ไปช่วยขายผ้า ไปช่วยแบกผ้า ได้ค่าแรงวันละ 100 บาท โดยที่ผมต้องบริหารเองนะครับ ตั้งแต่ขึ้นรถเมล์ไป-กลับ กินข้าว กินน้ำ การไปช่วยขายผ้านี่ฝึกสมองมากนะครับ เพราะเราต้องคอยจำหลงจู๊ที่ขายว่าเขาพูดยังไง แล้วเราก็พูดตาม ต้องคอยเชิญชวนให้ลูกค้าเข้าร้าน แถมต้องทำหน้าที่ภายในร้านตามที่ได้รับมอบหมายอีกด้วย
.
--> ผมเชื่อนะครับว่า การที่ผมถูกมอบหมายให้มีหน้าที่ และต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อย่างเป็นกิจวัตร มันช่วยทำให้ผมฝึกความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเด็ก แถมรู้จักค่าของเงินด้วยนะครับ
.
คุณพ่อคุณแม่ผม ไม่เคยเคร่งครัดเรื่องการเรียนกับผม และน้องๆ เลยนะครับ เพียงแต่ในทุกๆ ครั้งที่ต้องจ่ายค่าเทอม แม่จะบอกกับผม และน้องๆ เสมอว่า "แม่ก็ไม่มีอะไรจะให้ ก็มีแต่วิชาความรู้ที่จะให้ได้ ขอให้ตั้งใจเรียนนะ" แต่อย่าคิดว่าผมเป็นคนเรียนหนังสือเก่งนะครับ ตอน ป.1 - ป.2 ผมเป็นคนที่เรียนหนังสือได้แย่มากเลยนะครับ (เด็กคนอื่นๆ เรียนอนุบาลมา ผมไม่ได้เรียนครับ จำได้ว่าเรียนเตรียมประถม ถ้าสมัยนี้น่าจะเทียบเท่ากับอนุบาล 3 ครับ แล้วก็ขึ้นไปเรียน ป.1 เลย) ผมจำได้ว่าทั้งห้องมี 44 คน ผมสอบได้ที่ 38 ตอน ป.3 เทอมที่ 1 ทุกคนอาจจะสงสัยใช่ไหมครับว่า ทำไมผมถึงจำแม่น ที่ผมจำแม่นก็เพราะว่าชั้น ป.3 เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตการเรียนของผมเลยครับ
.
ด้วยความที่บ้านผมถูกใช้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ตอนเย็นแม่ก็ต้องเก็บล้าง ไม่ค่อยมีที่ให้พวกผมได้นั่งทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือหรอกนะครับ คุณแม่ก็เลยไปฝากคุณอาท่านหนึ่ง โดยจ่ายเงินให้กับคุณอาท่านั้นเป็นรายเดือนเล็กๆ น้อยๆ โดยขอให้ผม และน้องๆ ได้ไปนั่งการบ้านที่บ้านคุณอาท่านนั้นครับ และขอให้คุณอาท่านั้นช่วยตรวจการบ้าน คอยสอนเวลาที่ผมไม่เข้าใจเสียหน่อย จะเรียกว่าเรียนพิเศษก็ไม่ใช่นะครับ เพราะคุณอาท่านนั้นไม่ได้สอนอะไรเลยครับ เพียงแต่สิ่งที่เขาทำ คือ
1) สร้างกติกาในการเรียนกับผมครับว่า ถ้ากลับมาถึงบ้านแล้ว ต้องมาที่บ้านคุณอาท่านั้นกี่โมง ต้องทำการบ้านให้เสร็จกี่โมง วันจันทร์ - ศุกร์ ห้ามเล่นเกมใดๆ (ตอนนี้บ้านผมมีวีดีโอเกมอยู่เครื่องหนึ่งครับ) วันเสาร์ - อาทิตย์ให้เล่นได้แค่ไหน ช่วงก่อนสอบ 1 เดือน ห้ามเล่น คือ ผม ก็เป็นคนเคารพกติกาครับ ไม่มีปัญหาเลยครับ สุดท้ายผมกลายเป็นคนที่ทำตามตารางเวลาครับ
2) คุณอาท่านนั้น จะคอยทำหน้าที่ตรวจการบ้านของผมครับ และพอพบว่าผมทำผิด (ซึ่งผิดเยอะมากๆ ครับในตอนแรก) เชื่อผมไหมครับว่า ผมถูกถามว่า "ที่ทำไปไม่รู้เลยหรือว่า มันผิด" ผมก็ตอบไปว่า "ก็มั่วทำไปให้มันเสร็จ ก็เรียนไม่เข้าใจ" เชื่อไหมครับว่าผมถูกด่าอย่างรุนแรงเลยนะครับว่า "ถ้าไม่เข้าใจทำไมไม่ถาม และทำไมตัวเราถึงต้องยอมเขียนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องด้วย" ผมจึงกลายเป็นคนที่กล้าถามเวลาที่ไม่เข้าใจอะไรเสมอครับ และเวลาที่ไม่เข้าใจ จะให้เขียนลอกๆ ไป ก็ไม่ยอมครับ ต้องให้เข้าใจก่อน ถึงจะยอมทำครับ จริงๆ ผมเป็นคนที่กลัวครูมากนะครับ ไม่กล้าถามครู จนคุณอาท้าผมว่า "ถ้าถามครู แล้วโดนตี โดนด่า ให้มาเอาเงินไปเลย" เชื่อผมไหมครับ ว่าผมลองยกมือถามครูคณิตศาสตร์ในห้องจริงๆ ครับ และครูไม่ได้ดุอะไรเลยครับ แถมอธิบายให้ผมจนเข้าใจอีกด้วย ตั้งแต่วันนั้นผมไม่เคยกลัวที่จะถามคุณครูเลยนะครับ จนบางทีเพื่อนไม่เข้าใจ ยังมากระซิบให้ผมถามครูให้เแทนครับ
3) นอกจากตารางเวลา และกติกาแล้ว พอทำการบ้านเสร็จแล้ว สิ่งที่พวกผมต้องทำเพิ่มเติม ก็คือ
- ทำแบบฝึกหัดคณิตคิดเร็ว 30 ข้อ ภายในเวลา 1 นาที ถูกจับเวลาทุกวัน
- ทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ที่คุณอาหามา 1 ชุด ทุกครั้ง ตอนนี้รู้สึกว่าจะเป็นของสำนักพิมพ์แม็กมั้งครับ สลับกับ
- แปล Passage ภาษาอังกฤษในหนังสือเรียนนี่ล่ะครับ เป็นภาษาไทย
โดยมีกฎเกณฑ์ที่ว่า ถ้าไม่เข้าใจให้ถาม และเวลาถามทุกครั้ง คุณอาแกจะไม่เคยบอกเลยนะครับ แกจะใบ้นิดๆ แล้วให้ไปคิดต่อเอง และแก้ย้ำเสมอว่า "อย่าทำอะไรมั่วๆ โดยไม่เข้าใจ"
- ทุกๆ วันศุกร์ จะมีการบ้านนะครับ เป็นแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ และแกจะเลือก Passage ในหนังสือที่เราเรียน ให้ไปแปล ศัพท์คำไหนไม่รู้ให้เปิด Dictionary เอา เชื่อไหมครับการทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้คำศัพท์เยอะมากเลยครับ จนได้รับฉายาว่าดิคเคลื่อนที่ (แต่ตอนนั้นเรียนผิดนะครับ คือ สนใจแต่ความหมายอย่างเดียว ไม่ได้สนใจว่ามันออกเสียงยังไง) เชื่อไหมครับผมเปิดดิคจน จับข้อสังเกต Phonics พื้นฐาน เช่น "K" คือ "ค" "D" คือ "ด" เองเลยนะครับ โดยไม่ต้องมีใครมาสอนครับ สุดท้ายวันดีคืนดีไปอ่านภาคผนวกของดิค ยิ่ง Confirm ในสิ่งที่ตัวเองรู้เลยครับ
- ทุกวันศุกร์ ก่อนกลับบ้าน คุณอาจะให้ผมเขียนคำศัพท์พร้อมคำแปล โดยมีเป้าหมาย 100 คำ แล้วขยับเป็น 200 คำ จนตอน ป.6 ผมสามารถ Retrieve คำศัพท์ได้ถึง 500 คำเชียวนะครับ (พอเราได้ Retrieve คำศัพท์บ่อยๆ เราก็จะจำคำศัพท์เหล่านั้นได้อย่างขึ้นใจโดยอัตโนมัติครับ)
- คุณอา เขาชวนผมตั้งเป้าหมายนะครับ โดย Focus ที่วิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ว่าต้องได้เกรด 4 ส่วนวิชาอื่นๆ ห้ามต่ำกว่าเกรด 2 เรื่องวิชาอื่นๆ นี่ผมไม่ห่วงหรอกนะครับ เพราะได้เกรด 2 ประจำ ไม่งั้นจะได้ที่ 38 จาก 44 หรือครับ แต่เลขกับอังกฤษเนี่ยนะ ต้องได้เกรด 4 (ภายหลังวิชาอื่นๆ ถูกปรับเป้าหมายเป็นไม่ต่ำกว่าเกรด 3 นะครับ)
- ช่วง 1 เดือนก่อนสอบ คุณอาสอนพวกผมว่า ในวันเสาร์ ให้มานั่งบ้านแกได้ และให้เอาหนังสือมาอ่าน โดยที่ให้เขียนเป็นลายมือของตัวเองแบบเป็น Bullet ตอนนั้นไม่มี Mind Map อะไรหรอกนะครับ ผมก็อ่านไป เขียน Short Note เป็นวลีสั้นๆ ทีละบรรทัดไป แต่เชื่อไหมครับว่า พอเรามาอ่านทานในสิ่งที่ตัวเราเขียนแล้วไปสอบ นี่มันทำให้เราเข้าใจอะไรได้ง่ายทันทีเลยนะครับ ผมก็อ่านไป ทำ Short Note ของตัวเองไป คุณอาแกไม่เคยมาใส่ใจอะไรผมหรอกครับ แค่ต้องไปนั่งที่บ้านแก ช่วงก่อนสอบในทุกวันเสาร์ ก็เท่านั้นเอง
.
ในตอนเรียนชั้น ป.3 เทอม 2 ผมก็เรียนไปเรื่อยๆ ครับ เวลาสอบ ก็รู้สึกทำได้ ไม่รู้สึกว่าต้องกากบาทมั่ว ตั้งแต่บอกกับตัวเองว่า "จะไม่ยอมให้ตัวเองทำอะไร โดยที่ไม่เข้าใจอย่างเด็ดขาดครับ" เชื่อไหมครับ ตอนสมัย ป.3 เพิ่งเรียนเรื่องสูตรคูณ ผมเคยทำตารางสูตรคูณถึงแม่ 100 ด้วยนะครับ เพราะหลงคิดไปเองว่า ตัวเองรู้แค่คนเดียวว่า การคูณมันก็คือการบวกทบไปเรื่อยๆ ด้วยจำนวนเดิม ตอนผมทำแม่สูตรคูณถึงแม่ 100 ผมคิดว่าผมเป็นคนแรกที่ทำมันได้เลยนะครับ จนมารู้ตัวว่าไม่ใช่ซะแล้ว ก็ตอนมาเรียนคูณสองหลักนี่ล่ะครับ (ซึ่งผมก็ถามครูนะครับว่า ทำไมการคูณหลักที่สองต้องขยับมาข้างหน้าหนึ่งหลัก เพราะผมติดครับ คือ ไม่อยากจะทำอะไรที่ไม่เข้าใจ และจำไปแบบนกแก้วนกขุนทอง)
.
พอวันรับสมุดพก ผมก็ไปนั่งมึนๆ ในห้องนี่ล่ะครับ ก็เทอมที่ผ่านมาที่ 38 จาก 44 อ่ะครับ ผมจำชื่อคุณครูประจำชั้นได้ครับ คือ คุณครูกำไร คุณครูพูดว่า "ที่หนึ่งเป็น ด.ช. ..... เป็นชื่อเพื่อนผมที่ผูกขาดที่หนึ่งประจำครับ" แต่คุณครูบอกว่า "แต่ที่สอง เป็นอะไรที่น่าแปลกใจมาก เป็น ด.ช. วิโรจน์" คือ ผมงงเลยครับว่าเป็นเราหรือเนี่ยที่ได้ที่สอง จากที่ 38 ในเทอมก่อน แถมคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ผมได้คะแนนสูงมากไม่ใช่แค่ในระดับห้องเรียนนะครับ แต่เป็นระดับชั้น เข้าใจว่าติดหนึ่งในสามครับ แถมได้รางวัลจากคุณอาด้วยนะครับ ได้แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์มาฝึกทำเอง
.
ผมเชื่อเสมอครับว่า "ถ้าเด็กได้ประสบความสำเร็จจากความพยายามของตัวเองแล้ว" เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองลงมาล้มเหลวเหมือนเดิมแน่นอนครับ เพราะมาตรฐานของเขาถูกยกระดับไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจนถึง ป.6 ผมไม่เคยสอบได้คะแนนไม่ดีอีกเลย แต่ก็ไม่เคยได้ที่ 1 นะครับ เพราะผมมักจะได้เกรด 2 ในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ที่ต้องเย็บปักถักร้อย และทำกระทง (ตอนนั้นผมนึกน้อยใจนะครับว่า คือ เราต้องทำของเราเอง ส่วนคนอื่นมีแม่ช่วยทำให้ เราไม่มีทางได้คะแนนดีอยู่แล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ คุณอาบอกให้เรา Focus แค่เลขกับอังกฤษก็พอ)
.
ผมสอบเข้า ม.1 ได้ห้อง ม.1/12 เชื่อไหมครับว่า ตอนไปมอบตัว ผมนั่งกับคุณแม่ แม่มาบอกกับผมว่า ห้อง 12 นี่เป็นห้องสุดท้ายเลยนะ แต่ไม่เป็นไรเราสอบเข้าได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องเสียใจ คือ ในใจผมคิดว่า "ขนาดเราทำข้อสอบเลขได้ทุกข้อเลยนะ ยังได้ห้องสุดท้ายเลย แสดงว่าคนเก่งต้องเยอะแน่ๆ" แต่สุดท้ายครับ ผ.อ. ประกาศว่า ปีนี้เป็นปีที่แกคิดแปลกๆ ครับ คือ เอาเด็กที่สอบได้คะแนนสูงๆ แทนที่จะอยู่ห้อง 1 ให้มาอยู่ห้อง 12 แทน อ้าว! ปรากฎว่าผมสอบได้ที่ต้นๆ ของโรงเรียนแฮะ
.
คือ จริงๆ ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรมากของโรงเรียนหรอกนะครับในชั้นต่อๆ มา ถูกเวียนไปอยู่ห้องอื่นบ้าง กลับมาที่ห้องคัดบ้าง แต่เชื่อผมไหมครับ ผมไม่เคยโทษใคร นอกจากตัวเอง เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เรียนกวดวิชา เคยไปแล้วไม่ชอบครับ เพราะต้องเดินทาง และไปนั่งอัดๆ กัน และรู้สึกเสียดายเงินด้วยครับ สุดท้าย สู้เอาเงินไปซื้อแบบฝึกหัดมาฝึกทำเองดีกว่า ได้ประโยชน์กว่า เทอมไหนผมขยัน ตั้งใจ จัดตารางเวลาในการฝึกฝนทำแบบฝึกหัด และเคร่งครัดกับตารางเวลานั้น ก็จะได้ผลการเรียนที่ดีครับ เทอมไหนไม่ตั้งใจ ก็จะได้คะแนนไม่ดี
.
ผมติดนิสัยการเรียนแบบนี้มาเรื่อยๆ ครับ ตอนจะสอบ Entrance เข้ามหาวิทยาลัย ผมก็เตรียมตัวอ่านตั้งแต่ ม.4 เทอม 2 นะครับ ค่อยๆ ทยอยอ่าน มีตารางเวลาชัดเจนครับ ว่าวันไหนจะอ่านวิชาอะไร และจะอ่านถึงกี่โมงถึงเข้านอน ทำเป็นกิจวัตรครับ พอเวลาใกล้สอบ ก็ไม่อ่านแล้วครับ เอาแต่ข้อสอบเก่ามานั่งทำ พอถึงวันสอบก็ไปสอบ
.
จนตอนเรียนมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่ไม่ตั้งใจเรียนเลยครับ คิดว่าการสอบเข้าได้แล้วเป็นจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว กว่าจะมารู้สึกตัวตอนปี 3 เทอม 2 ก็สายเสียแล้ว ไม่สามารถดึงเกรดเฉลี่ยให้ดีขึ้นได้เท่าไหร่ครับ แต่นิสัยของผมก็คือ ผมเป็นคนชอบจัดตารางเวลา และเวลาอ่านอะไรมักจะชอบจดเป็น Short Note ของตัวเองครับ พอตอนโตขึ้นมาเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา มารู้จักกับ Mind Map ทำให้นึกถึงอดีตเลยครับว่า ถ้าผมรู้จัก Mind Map ตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษา ผมคงเรียนวิชาชีววิทยาได้ดีกว่านี้ครับ
.
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมติดนิสัยก็คือ พอผมเป็นคนที่ชอบจดอะไรด้วยลายมือตัวเอง เพื่อนๆ ก็มักจะขอถ่ายเอกสาร พอถ่ายเอกสารบ่อยเข้า ก็มักจะขอให้ผมช่วยสอน เชื่อไหมครับว่าผมชอบสอนเพื่อนมาก ชอบเขียนปากกา Whiteboard แล้วอธิบายเพื่อนครับ เพราะผมรู้สึกเสมอว่า ยิ่งเราอธิบายเพื่อน เราจะเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าเดิมเสมอ ยิ่งตอบคำถามเพื่อนจนทำให้เพื่อนเข้าใจได้ ยิ่งรู้สึกมั่นใจในสิ่งที่เรียน
.
ผมก็เก็บหอมรอมริบเรียนมาเรื่อยๆ นี่ล่ะครับ จากวิศวกรรมศาสตร์ ก็ไปเรียนบริหารธุรกิจต่อ พอรู้สึกว่าตัวเองชอบในเรื่องเศรษฐกิจ และรักคณิตศาสตร์มากๆ ก็ตัดสินเรียนต่อทางด้านเศรษฐศาสตร์ต่ออีก
.
และนี่ก็คือ ทั้งหมดของการเรียนรู้ของผมครับ อาจจะยาวสักหน่อย ถ้าเป็นการรบกวนผมขออภัยด้วยนะครับ แต่ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ผมขออุทิศสิ่งที่ผมทำในครั้งนี้ให้กับคุณพ่อผม คุณพ่อที่ยอมเหนื่อยมาทั้งชีวิต จนวันสุดท้ายที่อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อให้ลูกเป็นคนที่รักการเรียนรู้ รักการอ่าน รักการแสวงหาความรู้ ครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
#EducationFacet #สอนลูก #การศึกษา #เรื่องเรียนของลูก
.
ต้องการนำเอาหลักสูตรคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ของ SE-ED Learning Center ไปเปิดโรงเรียนสอนเสริม โดยไม่มี Royalty Fee
.
สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.se-edlearning.com/franchise หรือ Tel. 08-1832-2299
.
ต้องการซื้อหนังสือคณิตศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ จาก SE-ED Learning Center ไปใช้สอนลูกเอง หรือ ต้องการสอบถามเพิ่มเติม ส่ง Message มาได้ที่facebook.com/se.ed.learning.center หรือ Tel. 08-1832-2299, 08-6325-7000


ที่มา ; https://www.facebook.com/education.facet/posts/1320467304691868:0





Create Date : 06 พฤษภาคม 2560
Last Update : 17 เมษายน 2561 19:43:13 น.
Counter : 1018 Pageviews.

0 comments

jewelmoda
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]



ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากทำงานด้านเด็ก อยากเป็นครู แต่กลับต้องไปทำงานแบงค์ เมื่อขอเออรี่ออกมา ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็กไทย

Myspace angels graphics
New Comments
Friends Blog
[Add jewelmoda's blog to your weblog]