Group Blog
All Blog
|
4 เรื่องที่ผมคิดว่า เราควรปลูกฝังให้กับเด็กในช่วงที่เขาเป็นนักเรียน โดย ดร. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้มีโอกาสหารือกับคุณครูท่านหนึ่งครับ ซึ่งคุณครูตั้งประเด็นในการหารือกับผมว่า - - หากจะปลูกฝังเจตคติ และมุมมองที่ดีให้กับนักเรียน ในมุมมองของผม คิดว่าอะไรที่ครอบคลุม และสำคัญที่สุด - - . ผมนั่งนึกอยู่สักพักหนึ่งครับ พยายามคิดว่า "เจตคติอะไรบ้างนะ ที่เป็นหัวใจสำคัญที่ครอบคลุมอุปนิสัยที่ดีด้านอื่นๆ และเป็นแรงขับสำคัญในการดำเนินชีวิตในอนาคต" ซึ่งผมสรุปได้ว่า น่าจะมีอยู่ 4 เรื่องครับ นั่นก็คือ . 1. การเห็นคุณค่าของความพยายาม . ผมคิดว่าถ้าเราสามารถทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของความพยายามได้ ในอนาคตเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีแรงขับ และสามารถสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ บุกเบิก และลงมือทำให้สิ่งที่เขาตั้งใจเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ครับ . ถ้าพยายามแล้วยังไม่สำเร็จ ก็ต้องฉุกคิดว่า เรากำลังพยายามผิดทางอยู่หรือเปล่า ก็ต้องทบทวน และหาแนวทางใหม่ และก็พยายามทำในแนวทางใหม่ คนที่จะประสบความสำเร็จเขามักจะคิดอย่างนี้ล่ะครับ . สิ่งที่ผมย้ำเสมอในเรื่องนี้ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามอย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าความพยายามของเขาสูญเปล่า โดยการปล่อยให้เขาพยายามทำอะไรที่มันผิดวิธีเป็นระยะเวลายาวนาน แล้วก็ไปตำหนิเขาที่ผลลัพธ์ โดยที่ไม่พยายามแนะนำ หรือแนะแนวทางอะไรใหม่ๆ ให้กับเขาเลย . สิ่งที่ห้ามทำอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การซื้อ หรือการใช้อุบายในการทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ โดยที่เขาไม่ต้องพยายามอะไรเลย เช่น การส่งไปติวกับครูผู้สอนที่เอาแนวข้อสอบมาสอน เพื่อหวังให้ลูกได้คะแนนสอบที่ดี แบบนี้ผมไม่เคยเห็นด้วยเลยครับ หรือแม่แต่การทำการบ้านให้ลูก แบบนี้ก็ไม่ไหวเช่นกัน . สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ ควรทำก็คือ การอยู่เป็นเพื่อนลูก การชื่นชมในความพยายามของเขา แทนที่จะชื่นชมแต่ผลลัพธ์ที่ดีที่มันเกิดขึ้น . 2. การมีความรับผิดชอบ . ผมคิดว่าในประเด็นนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังลูกอย่างสม่ำเสมอ ในเรื่องของความรับผิดชอบ - คนเราถ้าเป็นหน้าที่ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด - คนเราถ้ารับปากใครแล้ว ก็ต้องทำให้เต็มที่ ทำตามที่ได้รับปาก ส่งงานให้ตรงเวลา และมีคุณภาพ ไม่ให้ใครมาว่าเราได้ว่าเราทำงานชุ่ย หรือทำงานส่งเดช . ผมคิดว่าคุณธรรมหลายๆ อย่าง มันมีที่มาจาก "ความรับผิดชอบ" นี่ล่ะครับ อย่างเช่น . - ความกตัญญู ก็คือ การรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ที่เราต้องประพฤติต่อผู้ที่มีพระคุณ - ความตรงต่อเวลา ก็คือ การรู้จักรับผิดชอบต่อเวลา - ความซื่อสัตย์ ก็คือ การรู้จักรับผิดชอบต่อความไว้วางใจซึ่งกันและกัน . ผมจึงเชื่อมันว่า หากเราสามารถปลูกฝังความรับผิดชอบให้กับเด็กได้ คุณธรรม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในด้านอื่นๆ เราจะสามารถบ่มเพาะให้กับเด็กได้ไม่ยากนักครับ . 3. การคิดถึงใจเขาใจเรา รู้จักมองในมุมของคนอื่น และไม่เอาเปรียบใคร . ผมมักจะแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ ใช้โอกาสเวลาที่ลูกมีปัญหากับเพื่อนๆ ในการสอนให้ลูกรู้จักคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอนะครับ เวลาที่ลูกเรามีปัญหากับเพื่อน สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำเลย ก็คือ - การผสมโรง ให้ลูกเราเกลียดชังเพื่อน หรือตอบโต้เพื่อน หรือ.. - การบอกให้ลูกเรายอม หรือทน . ผมว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำก็คือ การชวนให้ลูกคิด และเข้าใจว่า ที่เรามีปัญหาก็เพราะว่า "คนเราคิดไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน มีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน มีปูมหลังไม่เหมือนกัน" . แทนที่เราจะคิดเกลียดเพื่อน หรือคิดที่จะตอบโต้เพื่อน เราควรมาคิดว่า "เป้าหมายของทีม และเป้าหมายของตัวเราเอง คืออะไร และเราจะทำให้ทั้งทีมที่เราอยู่ และตัวของเราเอง บรรลุเป้าหมายไปได้อย่างไร" ภายใต้ข้อจำกัด และปัญหาที่มันเกิดขึ้นตรงหน้า . การตัดสินใจจะทำอะไร มันไม่ควรจะเกิดจากการคิดที่จะตอบโต้ หรือแก้เผ็ด หรือต้องทน ต้องยอม แต่ต้องทำให้ลูกเข้าใจว่า การที่เราต้องตัดสินใจอย่างนั้น ก็เพราะว่า เราเอาเป้าหมายของทีม และของตัวเราเอง เป็นที่ตั้งครับ ผมว่า การเอาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาโลก มาฝึกให้ลูกมีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (Critical Thinking) ที่อยู่เหนืออารมณ์ นี่เป็นกลไกที่ดีมากๆ เลยนะครับ . และสิ่งที่ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ ย้ำกับลูกทุกครั้งเสมอก็คือ - จงอย่าเป็นคนที่เอาเปรียบใคร แม้ว่าเราจะถูกเอาเปรียบก็ตาม - เพราะการที่เราเคยถูกคนๆ หนึ่งเอาเปรียบมาก่อน มันไม่ใช่เหตุผลที่ดี ที่เราจะเปลี่ยนตัวเราเองให้กลายเป็นคนที่ต้องเอาเปรียบ หรือกินแรงคนอื่น ผมเชื่อมั่นเสมอว่า "คนที่ไม่เอาเปรียบใคร จะเป็นที่ต้องการของทีมงานทุกๆ ทีม และใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วย" และนี่ล่ะครับ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเหนี่ยวนำให้ลูกได้มีโอกาสได้่ร่วมงานกับคนเก่งๆ ได้รับโอกาสจากทีมเก่งๆ ในอนาคต . 4. ความสามารถในการสลายความคิด และอารมณ์ในเชิงลบ . ผมคิดอย่างนี้นะครับว่า การที่คนเราจะคิดลบบ้าง มองอะไรในแง่ร้ายบ้าง หรือมีอารมณ์บูดๆ บ้าง เป็นเรื่องปกติของคน ที่มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกนะครับ . ผมคิดว่า การที่เราจะสอนให้เด็กไม่เป็นคนที่คิดในแง่ลบเลย ไม่มีมุมมอง หรืออารมณ์ในแง่ร้ายเลย ผมว่าเป็นอะไรที่ยากมากๆ ผมคิดว่ามันต้องมีบ้างล่ะครับ ที่สิ่งลบๆ มันแล่นเข้ามาในหัว ผมว่าสิ่งที่สำคัญกว่า "การบังคับให้เด็กไม่คิดอะไรลบๆ" มันคือ - - การรู้จักวิธีในการสลายความคิดลบๆ อย่างนั้น - - นะครับ . ผมว่าคนที่จะประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็มีความคิดในแง่ลบบ้างทั้งนั้นล่ะครับ แต่ผมเชื่อว่าเขาเหล่านั้นมีวิธีในการเรียกสติ และรู้จักตั้งคำถามกับตัวเอง เพื่อให้ตรรกะ และเป้าหมายในการดำเนินชีวิต อยู่เหนืออารมณ์ หรือความคิดลบๆ อย่างนั้นครับ . ผมว่าวิธีการสลายความคิดในเชิงลบ ก็มีขั้นตอนอยู่ไม่กี่ขั้นครับ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยสอนลูกได้เลยครับ . 1. ระบายความรู้สึกเชิงลบ และอารมณ์บูดๆ ออกมาก่อนครับ แต่ขอให้ระบายกับคนใกล้ชิดที่เราไว้ใจได้ หรือจะระบายกับตัวเองก็ได้ครับ ผมว่าการระบายอารมณ์เชิงลบที่อัดอั้น โดยที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร และไม่ได้กระทำในที่สาธารณะ ที่จะทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองเสียหายในอนาคต ไม่ใช่ปัญหานะครับ ดังนั้นคุณพ่คุณแม่ต้องเปิดกว้างครับ พร้อมที่จะรับฟังอะไรลบๆ จากลูกบ้าง . 2. จากนั้น พอลูกเริ่มรู้สึกดีขึ้น ให้คุณพ่อคุณแม่ตั้งคำถามกับลูกครับว่า ถ้าลูกตามอารมณ์เชิงลบอย่างนั้น แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น แล้วต่อไปล่ะ อะไรมันจะเกิดขึ้นตามมาอีก . 3. ใครจะได้รับผลกระทบในเชิงลบ ของการกระทำตามอารมณ์ของลูกบ้าง . 4. สิ่งที่ลูกกำลังจะทำตามอารมณ์อย่างนั้น มันดีจริงๆ แล้วหรือ ลูกกล้าหาญที่จะรับกับผลที่มันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้าพร้อมก็ทำได้เลย . 5. ชวนลูกคิดครับว่า เป้าหมายของลูกจริงๆ คืออะไร แล้วสิ่งที่ลูกกำลังจะตัดสินใจทำ มันจะทำให้ลูกไปถึงเป้าหมายได้หรือเปล่า หรือมันจะเป็นตัวขัดขวางทำให้ลูกไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้กันแน่ . 6. แล้วเราควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์อย่างนี้ดีล่ะ อะไรที่เป็นทางออกที่ดีที่สุด บางทีมันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ แต่มันเป็นทางออกที่แย่น้อยที่สุดที่เราสามารถเลือกได้ อะไรที่ลูกต้องยอม เขาก็จะเข้าใจทันทีว่า ที่เขาต้องยอม ไม่ใช่เพราะเขาต้องจำยอม อะไรที่เขาต้องอดทน ก็ไม่ใช่เพราะเขาต้องจำทน เขาจะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องตัดสินใจทำไปอย่างนั้น ก็เพราะว่า มันเป็นหนทางที่จะทำให้เขาสามารถบรรลุเป้าหมาย หรือความฝันของเขานั่นเอง . ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้จักที่จะชวนลูกฉุกคิด และตั้งคำถามแบบนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายลูกจะค่อยๆ บ่มเพาะทักษะการคิด ที่ทำให้ตัวเขาสามารถสลายความคิดในเชิงลบ และอารมณ์ในแง่ร้ายได้ด้วยตัวเขาเอง และเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีเหตุผล อยู่เหนืออารมณ์ และจะตัดสินใจทำอะไร โดยมองที่เป้าหมาย โดยพิจารณาจากข้อมูล และข้อเท็จจริงที่อยู่รอบตัว ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติของคนที่จะประสบความสำเร็จในทุกสาขาวิชาชีพครับ . เท่าที่ผมนึกได้ ก็มีอยู่แค่ 4 ประเด็นนี้ล่ะครับ ที่มา : https://www.facebook.com/education.facet/videos/1358208107584454/ |
jewelmoda
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?] ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากทำงานด้านเด็ก อยากเป็นครู แต่กลับต้องไปทำงานแบงค์ เมื่อขอเออรี่ออกมา ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็กไทย Myspace angels graphics
Friends Blog
|