ถ้าไปแล้วอยู่ไม่ได้จะทำไง
ถ้าหิวขึ้นมาตอนดึกล่ะจะกินอะไร
ถ้าทำไม่เป็นแล้วเค้าจะว่าอะไรไหม
แล้วถ้า....ฯลฯ
........ ........
คำถามเป็นชุดยิงรัวออกมาราวเอ็มสิบหกจากเพื่อนคนหนึ่ง
ทันทีที่เขารู้ว่าเราจะไปอบรมวิปัสสนาซึ่งบริษัทเป็นเจ้าภาพ
ถ้าไปแล้วจะได้อะไรกลับมาไม๊ฮึ?
เป็นคำถามปิดท้ายที่ต้องการคำตอบหรือไม่ ก็มิอาจรู้ได้
แต่เราก็ตอบไปอย่างวอนตายว่า...
ถ้ารู้แล้วจะไปเร้อะฮึ?
เพราะเราเองก็เป็นมนุษย์ ถ้า มาก
ที่เกิดในครอบครัวใหญ่
เติบโตในเมืองใหญ่
ไปไหนมาไหนก็ยกโขยงกันเป็นกลุ่มใหญ่
แม้กระทั่งไปปฏิบัติธรรมที่แล้วๆ มาก็ยังอยู่รวมเป็นกลุ่มใหญ่
เพราะเรื่องผีนั้นเรื่องใหญ่
จึงอดคิดไม่ได้ว่า...
ถ้าต้องปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรมคนเดียว เราจะอยู่ได้ไหมนะ
พระอาจารย์พรหมวังโสเคยกล่าวไว้ว่า
คิดน่ะ มันยากกว่าทำเยอะนะ
บางทีเราอาจจะปล่อยให้ถ้า มีอิทธิพลกับชีวิตเรามากเกินไปแล้วก็ได้
แล้วจะเลือกสิ่งที่ยากกว่าทำไม?
ลองทำซะเลยก็หมดเรื่อง...เนาะ
รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกบริษัทส่งมาปฏิบัติธรรมที่จ.ฉะเชิงเทราซะแล้ว
กับโครงการ "การพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข" ของคุณแม่สิริ กรินชัย
เมื่อย่างก้าวเข้ามาที่นี่...ก็หมายความว่าการอยู่ตัวคนเดียว 7 คืน 8 วันของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
(หากจะถอยตอนนี้คงไม่ได้แล้วสินะ...)
แต่พอเห็นที่พักแล้วใจป๊อดๆ ก็กลับชื้นขึ้นมาบ้าง
เพราะที่นี่เป็นกุฏิสร้างด้วยปูนดูมิดชิด ปลอดภัย แต่ละหลังก็ไม่ห่างกันมากนัก
ตกกลางคืนคงไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเป็นแน่แท้
เราได้พักหลังนี้ :D
ขอบคุณผู้ใจบุญที่บริจาคเงินสร้างมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ด้วยความที่พอมีประสบการณ์จากปีที่แล้วมาบ้าง
ปีนี้เลยเตรียมตัวพร้อมเป็นพิเศษ อะไรที่จะทำให้การปฏิบัติสะดวกขึ้นก็สรรหามาพร้อมสรรพ
....แต่.....
สี่เท้ายังลื่นปื๊ด.....คนหน้าจืดอย่างปุ๊กหรือจะไม่พลาด
เพราะดันประมาทความมืดต่างจังหวัดมากไป
ไฟฉายอันเล็กที่เตรียมมาเลยกลายเป็นไม้จิ้มฟันแทนซะงั้นนิ
ถึงแม้จะยืมมาจากวิทยากรแต่ก็เหลืออันเล็กสุด มองทางแทบไม่เห็นอยู่ดีง้ะ!
ช่วงเวลาเดินไปเดินกลับที่พัก-ศาลาปฏิบัติจึงเป็นเวลาที่เราต้องใช้สติสุดๆ
เพราะไม่เพียงสิ่งกีดขวางในความมืด แต่ยังมีสัตว์ต่างๆ อยู่ตามรายทางคอยต้อนรับอีกด้วย
จนเพื่อนร่วมปฏิบัติหลายคนบอก (ทีหลัง) ว่าเราดูขลังมาก
ไปไหนก็มองพื้นตลอด ชะรอยจะเป็นชีที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นแน่แท้ ^_^"
.....แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว.....
ภาพลักษณ์มันก็ไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ นะ
ยิ่งพอกลางคืนเยี่ยมกรายเข้ามา...
เราจึงได้รู้ว่าที่เรากระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อเช้านั้นเราเข้าใจผิดทั้งเพ
การที่กุฏิใกล้กันนั้นไม่มีผลอะไรเลย......
ไม่เลยจริงๆ....
เตียงไม้ที่ใช้นอนช่างสั่นและลั่นได้หลอนจิตยิ่งนัก
ไม่รวมแสง (คาดว่าไฟฉาย) ที่ส่องเข้าหน้าเราตอนดึกๆ หลายหนแบบไม่รู้ที่มาและไร้เสียงฝีเท้าคน
เดี๋ยวเสียงก๊อกแก๊ก....เสียงจิ้งจกดังก้องในความมืด
ในขณะที่บรรยากาศข้างนอกกลับเงียบสนิทจนน่าใจหาย......เงียบเหลือเกิน......
"โบร๋ววววววววววว"
เสียงระฆังปลุกตอนตี 4 ยังไม่สู้เสียงหมาหอนที่ดังกว่า
เผลอแป๊บเดียวก็ได้เวลาที่ลูกโยคีต้องตื่นมาปฏิบัติในเช้าวันใหม่
แต่เราลุกมาล้างหน้าแปรงฟันนานแล้ว...เพราะเตียงลั่นแอ๊ดอ๊าดจนนอนไม่หลับ
(จะหักก่อนครบ 7 คืนไหมนิ...หวั่นใจเลื้อเกิน )
วันที่สองนี้ถือเป็นวันปราบเซียน
เพราะที่นี่มีเวลาพักก็เพียงชั่วเวลาสั้นๆ (มาก)
นอกนั้นล้วนเป็นเวลาปฏิบัติซึ่งเน้นการเจริญสติและเดินจงกรมมากกว่านั่งสมาธิ
ทำเอาคนที่ชอบนั่งสมาธิไม่ชอบจงกรมอย่างเราปวดระบมไปทั้งตัว
เลยต้องทาน้ำมันมวยของวิทยากรไป ปฏิบัติไป....
ได้อารมณ์ปาเกียว featuring บัวขาวยิ่งนัก
และส่วนหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันให้เราปฏิบัติต่อไปไม่ท้อก็ต้องยกให้พวกเขาเหล่านี้
คนที่มีปัญหากลับไม่คิดว่าเป็นปัญหา
แล้วถ้าเราที่ไม่มีปัญหา จะทำตัวมีปัญหาล่ะก็นะ...แค่คิดก็อายแล้ว
โดยเฉพาะคุณยายเหวียน
คุณยายเดินเข้ามาทักเราเกี่ยวกับเรื่องการทานอาหาร
เพราะเราและคุณยายถือศีลแปดเหมือนกัน
วันที่สองนี้เลยมีโอกาสได้ช่วยเหลือคุณยายเล็กน้อย
เช่นตักข้าวตักน้ำให้ พาไปส่งที่โต๊ะอาหารบ้าง
เพราะคุณยายแก่มากแล้ว ไม่ค่อยมีแรง แถมยังมีโรครุมเร้าอีกต่างหาก
ความชื่นชมที่เรามีต่อคุณยายเลยทำให้เราพอจะมีกำลังใจผ่านสองวันแรกไปได้
แม้จะกระท่อนกระแท่นเพราะเจ็บขาน่าดูก็ตามที -_-"
แต่พอเริ่มต้นวันทีี่สามเท่านั้นล่ะพี่น้อง....
ความเจ็บก็พุ่งถึงขีดสุด จวนจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ ขาเดี้ยงแหล่มิเดี้ยงแหล่
จังหวะที่ใกล้จะได้พักเราจึงตั้งใจว่าจะขอไปนั่งพักนวดน้ำมันปาเกียวสักหน่อย
และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณยายเหวียนเรียกเราไว้...
หนู...เดี๋ยวไปห้องยายหน่อยนะ
คุณยายย้ำหลายครั้งหลายคราเหมือนมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนมาก
เราจึงตกลงอย่างว่าง่ายแบบลืมเจ็บขาไปชั่วขณะ
เพราะคิดว่าคุณยายอาจจะไม่สบายต้องการคนไปส่งหรือเปล่า
แต่แล้วเมื่อเดินไปได้ครึ่งทางคุณยายก็กลับเฉลยให้เราผิดคาด....
ยายจะเอาใบให้...เค้าฝากมาให้ทำบุญ จะเอาบุญให้หนูด้วย"
นอกจากตอนนั้นจะบ่จี๊แล้ว
เรายังอดมองโลกแง่ร้ายตามประสาคนกรุงในดงพุทธพาณิชย์ไม่ได้ว่า
การคะยั้นคะยอมาก = ดูไม่น่าไว้ใจมาก
ยิ่งคุณยายมาเกาะแขนเราไว้ ย้ำให้เราไปที่ห้องมากครั้งแค่ไหน ใจเราก็ยิ่งสวนทางมากเท่านั้น
นี่ถ้ายิ่งเป็นวัดที่เราไม่ศรัทธา เราจะทำไงดีนะ
...และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่เราคิดผิด...
เพราะใบที่ว่าคือ ใบอนุโมทนาบัตร ที่คุณยายไปทำบุญมา
ท่านเอามาเพื่ออยากให้เราได้ร่วมอนุโมทนา ท่านต้องการแบ่งบุญให้เราต่างหาก
ไม่มีคำพูดเพื่อเรี่ยไรให้ทำบุญเลยแม้แต่คำเดียว...
ยิ่งไปกว่านั้น...ท่านยังสอนการปฏิบัติให้เราอย่างตั้งใจ
สอนให้มีสติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เพราะนั่นคือหัวใจของการปฏิบัติ
ตัวอย่างเช่นคำสอนช่วงหนึ่งของคุณยายที่ว่า...
การทำความดีจะทำให้เราอยู่ในโลกนี้และโลกหน้าอย่างคนที่ทุกข์น้อย
แต่การทำให้เราไม่ทุกข์อีกมีแค่การปฏิบัติเท่านั้นแหละหนู
การปฏิบัติไม่ใช่หนีทุกข์ แต่เมื่อเกิดทุกข์ให้เรามีสติ
ธรรมดาโลกมีเรื่องมากระทบตลอด
แต่หากหนูมีสติหนูจะไม่หวั่นไหวมากจนเกินไป...นี่ล่ะประโยชน์ของสติ
ยิ่งคุณยายเมตตาแนะนำเรามากเท่าไหร่ ให้ศีลให้พรเรามากเท่าไหร่
เราก็ละอายแก่ใจตัวเองที่มองคุณยายในแง่ร้าย และสำนึกมากขึ้นเท่านั้นว่า
เราปล่อยให้ "ถ้า" มันมีอิทธิพลกับชีวิตมากไปแล้วจริงๆ ด้วยนะ....
แต่เพราะการได้คุยกับคุณยายแท้ๆ...
เราถึงได้หันมาตั้งใจปฏิบัติอย่างหมดถ้า
และได้พบคำตอบอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยได้พบเจอมาก่อน
แถมยังทำให้เวลาผ่านไปไวจนคิดไม่ถึง
จากวันที่ 3...4...5...6...
จนเผลอแป๊บเดียวก็ได้เวลาที่จะต้องปิดการอบรมในครั้งนี้แล้ว
เนื่องจากตอนที่ไปเป็นช่วงวันเกิดของอ.นิศารัตน์ วิทยากรหลักของการอบรมครั้งนี้
ลูกโยคีเลยมีเซอร์ไพรส์วันเกิดให้อ.นิศารัตน์ด้วยการมอบดอกไม้ให้ในวันปิดด้วยค่ะ
น่ารักดี
ภาพประทับใจระหว่างอ.นิศารัตน์กับพี่หมอท่านหนึ่ง
พี่หมอแอบมากระซิบตอนวันกลับว่าอยากคุยด้วยมาตลอดแต่ไม่กล้า
เพราะนึกว่าเราบวชชีอยู่ที่นี่ กลัวทักแล้วจะบาป
หารู้ไม่ว่าเราก็อยากคุยกับพี่หมอมาตั้งแต่วันแรกๆ แต่ไม่กล้าเหมือนกัน
ถ้ามาอ่านเจอก็อยากบอกว่าพี่หมอน่ารักมากเลยค่ะ
เห็นหน้าแล้วถูกชะตาแบบไร้คำอธิบาย
-------------------------------
ได้มาอยู่กับตัวเองครั้งนี้ นอกจากจะได้คำตอบว่า "เราอยู่ได้" แล้ว
เรายังได้อีกหนึ่งคำตอบติดตัวกลับบ้านไปด้วย
*"ยิ่งเราอยู่ในวงล้อมของคนอื่นมากเท่าไร เราจะยิ่งค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น
เพราะเรามักจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นตลอดเวลา
คอยแต่จะดูว่าคนนั้นดี..คนนี้ชั่ว..คนนั้นถูก..คนนี้ผิด...
นั่นเรามองเห็นแต่คนอื่น เรามองออกไปข้างนอก มองรอบตัว
แต่เราไม่เคยมองเห็นตัวของเราเองเลย..."
*ที่มา : หนังสือทางพ้นกรรม ผู้เขียน : คุณพัชราภา
.........................................
หนหน้าถ้าเพื่อนถามอีกว่าไปแล้วได้อะไร
เราอาจจะตอบได้อย่างเต็มปากแล้วว่า
"ก็ได้กระจกกลับมาหนึ่งบานไงฮึ"
ถ้ามากก็มากเรื่อง
การทำเรื่องง่ายๆ อย่างหยิบกระจกมาส่องใจตัวเอง
มันอาจจะทำให้เราพบคำตอบได้เร็วกว่าที่คิดก็ได้เนอะ
....แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว.....
เราก็ยังต้องเรียนรู้เรื่องสติอีกมากทีเดียวนะ....
(ขากลับจากกุฏิคุณยายก็หลงทางอีกตามระเบียบ...ไม่เสียยี่ห้อจริงๆ เรา)