|
วิธีอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ (ว.วชิรเมธี)
รู้ไหมว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่า อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า 'น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด' คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมา เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้ เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้
เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม หรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้น
ขอบคุณที่มา : วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี
Create Date : 11 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 11 เมษายน 2551 15:51:47 น. |
Counter : 800 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ธรรมะใกล้ตัว
ธรรมะ เป็นเรื่องใกล้ตัว ใกล้ มากจนถึงขนาดว่าเป็นเรื่อง ในตัวก็ได้
ฝึกคิดแบบพุทธ กับการใช้ชีวิตประจำวัน
สังขารนี้ไม่เที่ยง
เนื้อตัว ผิวหนัง ผมฟัน นี้เป็นของสกปรกไม่ควรยึดติด สมมติว่าเราไม่ได้แปรงฟัน1เดือนไม่อาบน้ำสระผม ร่างกายเรายังจะสะอาดน่าดู น่าชื่นชมอยู่มั้ย
ร่างกายนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้ดังถุงขยะ เต็มไปด้วยซากอาหาร ซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย ย่อยสลายอยู่ในร่างกายเรา
เวลาไปโรงพยาบาลต่างๆ ไปโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้นเคยเห็นมั้ยซากโครงกระดูก กลัวมั้ย หลายๆคนกลัว แต่ถามว่ากลัวแล้วเรานี้ไม่มีโครงกระดูกเหรอ นอนด้วยกันอยู่ทุกคืน
นั่งนานก็ปวดหลัง ยืนนานไปก็ปวดขา กินมากไปก็ปวดท้อง ร่างกายนี้มันไม่ค่อยน่าหวงแหนเอาเสียเลย นั่นก็ปวด นี่ก็ปวดก็ต้องคอยแก้กันไป
พวกผู้หญิงอย่างเราๆ ก็อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับหน้าให้มากเกินไป หันมาทำใจสงบ คิดแต่สิ่งดี พยายามปรับปรุงปรับเปลี่ยนวิธีการมองโลก ฝึกเป็นคนคิดดี ให้สวยกันจากภายในอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
เวลาเราเครียดเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องวุ่นวายต่างๆ หน้าตาเราก็ดูเศร้าหมองลงด้วย สารบางตัวในร่างกาย ก็ลองรู้ทันความเครียดกับมาอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันยังไงก็ในขณะที่กำลังทำสิ่งต่างอยู่นั่นแหล่ะ ไม่ต้องคิดไปหน้า ไม่เหลียวมาหลัง อยู่กับปัจจุบัน เรื่องเครียดก็ค่อยๆคลายลง
ทำลำบากหน่อยสำหรับคนที่ยังไม่ชิน แต่ก็พยายามทุกครั้งที่คิดได้
โนเองก็ทำแบบนี้เช่นกันไม่ได้รู้ทันความคิดตลอดหรอก ค่ะนึกขึ้นมาได้เมื่อไหร่ว่าถูกเจ้าความคิดมันกำลังปรุงแต่ง ก็รีบๆกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
Create Date : 17 มิถุนายน 2550 | | |
Last Update : 17 มิถุนายน 2550 2:12:18 น. |
Counter : 492 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปรัชญาแห่งเต๋า
เต๋าเต็กเก็งบทที่ 2 สิ่งต่างอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี
ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
ดังนั้นปราชญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง
ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง
แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจยิ่งใหญ่
แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ
เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย
บทที่ 22 การไม่แย่งแข่งขัน
ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้
ยอมงอจึงกลับตรงได้
ยอมว่างเปล่าจึงเต็มได้
ยอมเก่าจึงกลับใหม่
ผู้มีน้อยก็จะได้รับ
ผู้มีมากจะถูกลดทอน
ดังนั้นปราชญ์ย่อมรักษาความเป็นหนึ่งเดียวไว้
ท่านจึงกลายเป็นแบบอย่างของโลก
ท่ามิได้แสดงตนให้ปรากฏ
ความรุ่งโรจน์ของท่านกลับปรากฏขึ้น
ท่านมิได้ผยองลำพอง
ชื่อเสียงของท่านกลับลือเลื่อง
ท่านมิได้โอ้อวดตน
ประชาชนกลับไว้วางใจ
ท่านมิได้ภาคภูมิใจ
แต่กลับได้เป็นผู้นำของประชาชน เต๋าเต็กเก็งบทที่ 36 ชนะแข็งด้วยอ่อน
ผู้ที่ถูกลดทอน
จะต้องมีมากมาก่อน
ผู้ที่อ่อนแอ
จะต้องเข็มแข็งมาก่อน
ผู้ที่ได้รับ
จะต้องให้มาก่อน
เหล่านี้คือนัยที่แสดงออกให้ปรากฏ
ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว
ควรปล่อยให้มัจฉาอยู่ในสระลึกจะดีกว่า
เหมือนดังเก็บงำศัตราวุธทั้งมวล
ของบ้านเมืองไว้มิให้ใครเห็น
อ้างอิง หนังสือ วิถีแห่งเต๋า พจนา จัทรสันติแปลเรียบเรียง
Create Date : 01 มิถุนายน 2550 | | |
Last Update : 25 มิถุนายน 2550 21:13:38 น. |
Counter : 969 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ในตัวเรามีคนอยู่ "สามคน"
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตร
เห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า
ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไป
ปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใคร
เชื่อผมเลย ฮือ ฮือ
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคน
อยู่ "สามคน"....
คนแรกคือ... คนที่เรา..อยากจะเป็น
คนที่สองคือ... คนที่คนอื่นคิดว่า..เราเป็น
คนที่สามคือ... ตัวเราที่เป็น..เราจริง ๆ"
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา
คนเราล้วนมีความฝัน ความ
ทะยานอยาก
ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าว
เดิน
เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา
ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม
ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อ
เลี้ยงหัวใจ
มาถึงไอ้ตัวที่สอง.....จะเป็นเรา
แบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น
บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย
เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ
แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์
จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
....เพราะมันเป็นโลกใน...มือคนอื่น
....มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้
อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ
เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี
ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขา
เป็นฆาตกร..
สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีสามีแล้ว
เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว
ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาน ใจแคบ
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง
...คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ
ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี..
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา
เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ..
อย่าเลียนแบบ.. นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์
ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของ..คนพาล
.แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคน
เหล่านั้นเรื่อย ๆ.. ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้
ตอบหลวงตา
เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์
เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้
เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ
...เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง
ใจเราควรสงบนิ่ง..ยังไม่ต้องชำระใจ
คนอื่นต่างหาก..ที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่
เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร
มีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง..
...จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม...
เข้าใจครับหลวงตา เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง
จาก tumdee.net ค่ะ
Create Date : 21 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2550 20:00:12 น. |
Counter : 492 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สุขเท่าไรจึงพอ
ไอ้ความสุขนี่... มันยุให้คนเบียดเบียนกัน... เอารัดเอาเปรียบกัน... ทะเลาะกัน ยุกระทั่งเด็กๆ ให้หนีพ่อแม่... ตามโจรไปเที่ยว ... ไปหาอบายมุข...
เด็กวัยนี้... เป็นเด็กวัยเรียน... ดันแต่งตัวนักเรียน... แล้วตามเพื่อนไปเที่ยวห้าง... มันบอกว่า...ห้างให้ความสนุก สุขใจ... มากกว่าโรงเรียน...
เวรกรรม... โรงเรียน... เป็นสถานที่ให้ความรู้... มันกลับมองเห็นครูบาอาจารย์ ... เป็น ... กงจักร มองเห็น.. ผับ ... เทค ... บาร์ ... ห้างสรรพสินค้า ... เป็น ... ดอกบัว...
ถ้าลูกเราเป็นอย่างนี้... พ่อแม่... เงินเดือนมากเท่าไหร่... ก็ไม่มีความสุข...
ไอ้ความสุขนี่... มันเป็นตัวร้าย... มันร้ายลึกๆ... ลึกเข้าไปในชีวิตเรา... สัจธรรมความสุขคืออะไร? ...
สัจธรรมความสุขคือ ... อารมณ์สุข... มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา...
สุขทุกตัว ... ไม่ว่าจะเป็น ... ตา ... เห็นรูป ... หู ... ได้ยินเสียง ... จมูก ... ได้กลิ่น ... ลิ้น ... ลิ้มรส ... กาย ... ได้สัมผัส ...
ความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ... มันอยู่กับเราเดี๋ยวเดียว ... เดี๋ยว.. เราก็เบื่อ.. เดี๋ยว... มันก็เปลี่ยนแปลง...
เพลงที่เราคิดว่า ... เพราะที่สุด ... เราชอบมากที่สุด ... เปิดฟังสัก 100 เที่ยว ... ก็เริ่มเบื่อแล้ว ... อยากฟังเพลงอื่นบ้าง ... ทำนองอื่นบ้าง ...
อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ... เราชอบมากที่สุด ... กินทุกวัน .. วันละ 3 เวลา ... 10 วัน ก็กินไม่ลงแล้ว เบื่อ ... อยากกินอย่างอื่นบ้าง...
กลิ่นอะไรที่ว่าหอม ... ถูกใจ ... ดมทุกวัน...ก็เบื่อ...
ผู้หญิง...ผู้ชาย.. ที่ว่าสวยที่สุด ...หล่อที่สุด..รักชอบมากที่สุด... อยู่กับเราทั้งวัน ทั้งคืน... ไปไหนติดสอยห้อยตามเราไปตลอด..ไม่ยอมห่าง แม้นาทีเดียว... เดือนเดียว... เราก็เบื่อ... อยากเป็นอิสระ... อยากเป็นตัวของตัวเอง... อยากเดิน ... อยากไปไหนมาไหน .. คนเดียวบ้าง ...
ในโลกนี้ ... ไม่มีสิ่งใด ... ที่จะทำให้เรามีความสุขมั่นคง ... ยืนยาวตลอดชีวิต... มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา...
คนที่วิ่งหาความสุข ... จึงต้อง .. เดือดร้อน ... ทุกข์ทรมานตลอดชีวิต...ต้องแสวงหาตลอดเวลา... จนจบชีวิต... ลองคิดดู ... มันจะเหนื่อยแสนสาหัสขนาดไหน ...
หยุดวิ่งตามไล่งับความสุขเสียทีเถอะ...
หยุดไล่งับความสุขเมื่อไร... แล้วจะได้พบกับความสุข... เรื่องจาก : เทศนา..ฮาสุดขีด ของพระพยอม กัลยาโณ
Create Date : 21 พฤษภาคม 2550 | | |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2550 2:19:35 น. |
Counter : 425 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|