กุ่ฉินและผมกับสถานบันแห่งหนึ่ง
คืนวันหนึ่ง เพื่อนนักดนตรีกู่ฉินชาวจีนโทรมาว่า
ต้องการให้ผมไปสอนแทนเค้าที่สถาบันแห่งหนึ่ง
เนื่องจากเค้าต้องไปต่อโทที่ฮ่องกง
อีกทั้งยัง นร.ที่จ่ายเงินไปแล้ว
แต่เรียนไม่ครบอยู่สามคลาสด้วยกัน
วันต่อมาผมจึงได้ไปพบกับเจ้าของสถาบันด้วยตนเอง
เจ้าของสถาบันเป็นครูสอนกู่เจิง มีความรู้กู่ฉินไม่มาก
เจ้าของสถาบันพูดคร่าวๆว่า
ได้รับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมมาพอสมควร
อยากจะให้มาช่วยสอนหน่อย เพราะตอนนี้ยังหาครูยังไม่ได้
ถ้าได้สอนจะได้ เดี่ยวชม.ละ 550บาท คู่ ชม.ละ 750บาท
เงินดีเหมือนกันนะเนี่ย
แต่เจ้าของสถาบันบอกว่า
ถ้ามีใครถามว่าเป็นคนที่ไหน
"ห้ามบอกว่าเป็นคนไทย"
อึ้ง
ให้บอกว่าเป็นลูกครึ่งอะไรก็ว่าไป
ไม่งั้น นร. อาจจะมาพูดว่าคนจีนหาไม่ได้หรอ
หาต่างชาติมาสอน มันจะดีสู้คนจีนได้ยังไง
อีกทั้งห้ามบอกว่า
"กำลังศึกษาอยู่ที่ ม.ภาษาปักกิ่ง"
อึ้งอีก
ให้บอกว่าจบจากวิทยาลัยดนตรี
เฮ้ย มันมากไปแล้ว
อันนี้จะขอแจ้งแก่พ่อแม่พี่น้องว่า
นักเรียนดนตรีเอกกู่ฉิน ปีนึงไม่เกินสี่คนครับ
(อ. สำนักละคนสองคน)
ออกแนวโกหกไปก็ไม่เนียน
เจ้าของสำนักอ้างว่าที่ต้องทำแบบนี้
เพื่อปกป้องตัว ไม่ได้โกหกหลอกลวงชาวบ้าน
แน่รึ
อีกทั้งใน ม. ผม ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่รู้จักผม
แล้วเมื่อปีก่อนสถาบันสอนกู่ฉินแห่งหนึ่งยังติดต่อผม
แล้วเอาบทสัมภาษณ์ไปลงเว็บของเค้าเอกอีก
ครูกู่ฉินจากเจ้อเจียงได้อ่านก็ถึงกับส่งซีดีมาให้ผมสองแผ่น
นั่นแสดงว่าคนรู้จักผมก็ไม่น้อยเลยในประเทศจีน
และถ้าวันนึงผมสอนไปเป็นระยะเวลาพอสมควร
คนเริ่มรู้ว่าผมสอนในสถาบันนั้นมากขึ้น
ก้อาจจะรู้ว่า ผมคือคนไทยที่เรียน ม. ภาษา
ไม่ได้เป็นคนจีนที่จบเอกดนตรีอย่างที่เคยบอกไว้
มันคงจะเป็นที่เสียหายทั้งตัวเองและ อ. ผู้สอน
ผมได้นำเรื่องราวดังกล่าวไปปรึกษาคุณพ่อและ อ. หวังเผิง
คุณพ่อและคุณแม่ไม่เห็นด้วย
แต่ อ.หวังเผิงถึงกับโกรธมาก
และกำชับผมห้ามไปติดต่อกับคนพวกนี้อีก
ที่จริงก็แอบเสียดายเงิน ฮ่าๆๆ
แต่ทำไงได้ ชื่อเสียงเสียหายแล้วกู้กลับยาก