YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~

::::: เรื่องราวในอินเดีย 2 ... ตอน วันแรก :::::

จากหน้าจอ screen ที่ติดอยู่กับที่นั่งด้านหน้าของเครื่องบิน Jet Airways
ทำให้รู้ว่าตอนนี้ เรากำลังบินอยู่เหนืออ่าวเบงกอลแล้ว
อีกราวๆ ชั่วโมงครึ่ง เครื่องจะแล่นลงที่สนามบินเมืองมุมไบ
เพิ่งกินอาหาร Indian vegetarian food มื้อแรกบนเครื่องบินไปเมื่อสักครู่
และจะต้องกินอาหารอย่างนี้ไปอีกหนึ่งเดือน ตื่นเต้นนะเนี่ย



เครื่องบินของสายการบินนี้ดูดีทีเดียว ราคาถูกกว่าการบินไทย
แต่แพงกว่าอินเดียนแอร์ไลนส์ แต่ก็ดีตรงที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการดีเลย์
พนักงานบนเครื่องก็บริการดี พูดจาสุภาพ หน้าตาดี ไม่มีกลิ่นแขก ฮ่าๆๆ
หน้าจอ screen ของใครของมัน มี remote ให้เลือกฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกมตามชอบ
ขอแนะนำเลยสายการบินนี้ ชอบจริงๆ ไม่ได้แอบโฆษณา



ไม่นาน เครื่องก็เทียบท่าอย่างปลอดภัยที่สนามบินมุมไบ (หรือบอมเบย์ชื่อดั้งเดิม)
กัปตันประกาศอะไรสักอย่างเป็นภาษาอังกฤษรัวแบบแขกๆ ฟังแล้วมึนตึ้บ
แล้วหนึ่งเดือนเรียนอยู่อินเดียเนี่ย จะไหวไหมหนอเรา
ผ่านด่านตม.ออกมาก็เจอนายบารัตคนขับรถของเอเจนซี่มารอรับอยู่แล้ว
“ชื่อผมน่ะ หมายถึงประเทศผมเชียวนะนายจ๋า” นายบารัตพูดพร้อมกับส่ายหัวทำตาพริ้ม
“บา-ระ-ตะ จากภควัทคีตาไง” นายบารัตบอกอย่างภาคภูมิใจขณะเลี้ยวรถออกจากสนามบิน
ปกติแล้วประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่สนามบินมักจะอยู่แยกออกมาจากตัวเมืองมาไกลๆ
แต่สนามบินมุมไบนี่แปลกดี เพราะตั้งอยู่กลางเมืองเลย เลี้ยวรถออกมารถก็ติดทันตาเห็น
นายบารัตชี้ให้ดูงานก่อสร้างกลางถนน แล้วพูดอย่างมีความหวัง
“เนี่ย เรากำลังจะมีรถไฟฟ้าใช้แล้วนะ” เราหันไปดูงานก่อสร้างที่กินพื้นที่เกือบ 50% ของถนน
คนงานก่อสร้างทำงานกันกลางฝนตกพรำๆ ที่ไม่มีท่าทีว่ามันจะหยุด
“ถ้ามีรถไฟฟ้า การจราจรคงดีขึ้น อินเดียคนเยอะนะนายจ๋า”
นายบารัตบีบแตรเบรกรถเอี๊ยดใหญ่ ทำเอาผู้โดยสารพ่อแม่ลูกเกือบหน้าทิ่ม
“อินเดียคนเยอะ รถก็เยอะ ถนนไม่พอใช้หรอก” นายบารัตพล่ามต่อก่อนจะบีบแตรเบรกรถอีกหนึ่งเอี๊ยด
นี่ถ้าบีบแตรลั่นอย่างนี้ในเมืองไทย คงออกมาต่อยกันแล้ว
แต่ที่นี่เป็นปกติมากๆ ถ้าเอาแตรรถออก พี่แขกคงขับรถไม่เป็นกันทีเดียว
รถบรรทุกที่นี่จะเขียนเอาไว้ท้ายรถเลยว่า “Horn Please”
ประมาณว่า ถ้าคุณอยู่ข้างหลังผม ก็กรุณาช่วยบีบแตรไล่ผมด้วยนะครับ
เขาจะบีบแตรเวลาจะแซง แล้วบังเอิญว่าพี่แขกเขาแซงกันตลอดเวลา เสียงแตรเลยไม่เคยเงียบ
(ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาต่อคิวทำอะไรไม่เป็น ก็กะอีแค่ขับรถตามคันหน้ายังทำไม่ได้)



ไอ้เสียงแตรนี่ยังพอทน นั่งๆ ไปสักพักเดี๋ยวก็ชินไปเอง
แต่ว่านิสัยใจร้อนหลังพวงมาลัยของพี่แขกนี่ทำเอาแทบป่วย
เขาจะจี้ติดคันหน้า มีที่ว่างข้างหน้าไม่ได้ ต้องเหยียบคันเร่ง
ถึงจะแค่เมตรสองเมตรก็เหอะ ขอเร่งหน่อย แล้วเบรกเอาแรงๆ
ทำเอาหน้าคะมำกันทุกๆ 20 วินาที (โดยประมาณ)
ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่คันเรา ที่ไหนได้ มันเป็นกันหมด
กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ แล้วพยายามนอนให้หลับ
นึกสงสารแกมขอบคุณพ่อกับแม่ ดูซิ ต้องมาลำบากด้วยกันเลย

ผ่านมาได้สักพักรถก็ติดหนึบ แต่อีกฝั่งสิ โล่งผิดปกติ พอเรากระดึ๊บไปได้สักหน่อยถึงเห็นสาเหตุ
อ๊ากกกก...ฝั่งตรงข้ามมีแอ่งน้ำใหญ่อยู่กลางถนนจนแทบจะเป็นเขื่อน (เว่อร์)
นี่ขนาดทาง “มอเตอร์เวย์” ของเขานะ มันลึกและใหญ่จนรถเก๋งผ่านไม่ได้ ก็คากันอยู่ตรงนั้น
ไอ้พวกคันข้างหลังก็ใช้ “ทางเบี่ยงเฉพาะกิจ” เพื่อเอาตัวรอด
พวกท่านก็พากันปีนขึ้นเกาะกลางถนน แล้ววิ่งผ่าสวนทางทางถนนฝั่งเรา
รถเลยพากันติดไปหมดทั้งสองฝั่ง เหลียวหาตำรวจจราจรก็ไม่มีสักคน
“จริงๆ ถนนมันดีนะ แต่ว่าฝนมันตกมากไปหน่อย เราจะไปทำอะไรได้ล่ะ ก็ฝนมันตกนี่”
พี่บารัตแกพูดยิ้ม แต่เราฟังแล้วก็ ...เออ ดีเว้ย!
พี่แขกเขาไม่คิดแก้ไขอะไร เพราะ ถนนพังเพราะฝนตก แล้วเราก็ห้ามฝนตกไม่ได้
เราก้มมองดูพื้นถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ แล้วสมองก็เริ่มทำงาน
เข้าใจแล้วทำไมระยะทาง 170 กิโลเมตร ถึงต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง
(อันนี้ท่าทางจะยังโอเค เพราะพี่ก๋ากระซิบมาว่าเคยไป 200 กว่าโล 14 ชั่วโมง)

เราใช้เวลาอยู่ตรงนั้นราวๆ ชั่วโมงหนึ่งก็หลุดออกมาจากตังเมตรงนั้นได้
รถวิ่งขึ้นภูเขาเพื่อมุ่งสู่เมืองนาสิก “ต้องข้ามภูเขาลูกนี้ไปนะนายจ๋า”
บารัตเลี้ยวรถขึ้นภูเขาอย่างชำนาญ ความรู้สึกแรกที่รถเข้าสู่เขตภูเขาคือ
“อินเดียเขียวมากกกกกกก” เขียวไปทุกตารางนิ้ว มันช่างแตกต่างกับเมื่อกี้อย่างแรง
ตลอดทางจะเห็นสายน้ำไหลจากภูเขาลงมาในร่องที่ขุดไว้ริมถนน
ฤดูมันซูนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขียวไปหมด ชุ่มฉ่ำไปหมด สวยจริงๆ
ฝนยังคงตกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฟ้ายังปิดสนิทไปด้วยเมฆครึ้ม
ว่ากันว่า มันเป็นฝนเดียวของที่นี่ตลอดทั้งปี ที่จะตกติดต่อกันเป็นเดือนๆ โดยไม่หยุดพัก
คนอินเดียเห็นฝนแล้วมีความสุข แต่เราเห็นแล้วหดหู่บอกไม่ถูก
คงเพราะกังวลต่อชีวิตในเดือนข้างหน้า คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเสมอ

ในที่สุด หกชั่วโมงอันทรมานบนระยะทางที่แสนสั้นแค่ 170 กิโลเมตรก็ผ่านพ้นไป
เรามาถึงเมืองนาสิกแล้วจนได้ ติดต่อกับทางอาศรมได้ความว่า
คืนนี้เราต้องไปพักที่ Yoga Therapy Centre ซึ่งอยู่ตรงไหนก็สุดจะรู้
เพราะนายบารัตคุยกับคนที่อาศรมเป็นภาษามาลาตี ก่อนจะกระชากรถออกวนหา
ในที่สุดก็มาถึงจนได้ ปรากฏว่ามีเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาถึงก่อนแล้วประมาณ 5-6 คน
เอาเป็นว่าคืนนี้นอนพักที่นี่ เพราะว่าถนนขึ้นภูเขาไปยังอาศรมนั้นขึ้นไม่ได้ในเวลานี้

หลังจากป๊ากับม้าแยกกลับไปนอนโรงแรมสุดหรู เราเองก็ทำความรู้จักเพื่อนๆ
ซึ่งเราก็ไม่เก่งเสียเลยในเรื่องพวกนี้ ทั้งภาษา ทั้งนิสัยส่วนตัว
แล้วก็ได้เวลากินข้าวเย็น ... อาหารที่นี่เขาจะใช้ถาดสีเงินใหญ่ๆ เป็นจาน
เหมือนข้าวราดแกงบ้านเรา แต่ว่าเขามีถ้วยเล็กๆ แยกใส่กับข้าวของใครของมัน
รสชาติไม่จัดจ้านเหมือนอาหารอินเดียทั่วไป แค่มีกลิ่นเครื่องเทศพอหอมๆ
อิ่มท้องแล้ว เหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง พักการพูดคุยกับเพื่อนๆ แค่นี้ก่อน
หลบเข้าห้องพัก ลองเปิดคอมดู เผื่อฟลุคมี wifi แต่ผิดหวัง
...เลยหยิบไดอารี่มานั่งเขียนแทน...




ถ่ายที่ด้านหน้า Yoga Therapy Centre




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2553
8 comments
Last Update : 5 ตุลาคม 2553 0:06:37 น.
Counter : 1803 Pageviews.

 

อรุณสวัสดิ์ครับน้องเสี้ยว

ที่ว่านานก็เพราะ
200 โล
คนขับๆแค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขับไปมีจอดคุยกับเพื่อนรถบัสอีกคันด้วย
แต่เป็นกลางถนนนะครับ 555

เรื่องบีบแตรก็คงเหมือนกัน
คือทุกๆ 10 วินาทีพี่ท่านเป็นต้องกดแตรปริ๊นๆๆๆๆ 555

ไหนจะจอดรอวัวข้ามถนนอีก 555

โหยยย --- วันนั้นพี่ก๋าจำได้ดีเลยว่าทานข้าวเย็นตอน 4 ทุ่มครับ







 

โดย: กะว่าก๋า 4 ตุลาคม 2553 7:03:59 น.  

 

ก่อนไปอินเดีย
มีคนบอกพี่ก๋าว่า
ห้ามบ่นเรื่องความไม่สบายต่างๆ
ให้มองอินเดียอย่างที่อินเ้ดียเป็น

อืม...ใช้ได้ครับ
เป็นคำแนะนำที่ดีจริงๆ 555

พี่ก๋าไม่รู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรคเลย
แค่ไม่สะดวกนิดๆหน่อยๆ

คนอินเดียสอนอะไรพี่ก๋าเยอะเลย
โดยเฉพาะพวกขอทานทั้งหลายน่ะครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 4 ตุลาคม 2553 12:26:03 น.  

 

จะว่าไปการกดแตรอาจเป็นมารยาทการขับรถอย่างหนึ่งของคนที่นั่นนะ

ประมาณว่า 'ถ้าฉันขับรถห่วย ช่วยบีบแตรเตือนหน่อย'

 

โดย: gvujp IP: 203.146.136.113 4 ตุลาคม 2553 16:19:23 น.  

 

ขอให้มีความสุขในการเดินทางนะคะ

 

โดย: หน่อย - ตั้ม (tumauto ) 4 ตุลาคม 2553 17:18:09 น.  

 

สวัสดี ยาม เย็นๆ นะคร้าฟผม


แวะมาทักทายย คร้าฟ



อิอิ

 

โดย: boyalonejang 4 ตุลาคม 2553 18:49:50 น.  

 

Can't wait for next chapter!

 

โดย: KS IP: 58.64.81.135 4 ตุลาคม 2553 21:17:15 น.  

 

น่าสนใจมาก วันหลังจะเข้ามาอ่านใหม่ค่ะ

 

โดย: settembre 5 ตุลาคม 2553 0:27:33 น.  

 




















อยู่อินเดียเหมือนกันค่ะตอนนี้จะกลับบ้านเดือนธันวานี้แล้ว เข้ามาอ่านแล้วชอบค่ะ ตอนมาใหม่ๆรู้สึกปวดโสตประสาทมากกะแตรรถ ตอนนี้ชินซะระคะ

 

โดย: หญิง IP: 115.118.32.102 26 ตุลาคม 2553 18:35:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
4 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.