|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เสียงแห่งฤดูศารท (秋声赋) : บทกวีร้อยแก้วของ โอวหยังซิว (欧阳修)
โอวหยังซิว (欧阳修)
รูปวาดบรรยายบทกวีร้อยแก้ว 秋声赋 บทนี้ ไม่ทราบนามจิตรกร
(ยินเสียงในคืนฟ้ากระจ่าง) คืนหนึ่ง กษณะที่ข้าฯโอวหยังจื่อฟางกำลังอ่านหนังสือ พลันได้ยินเสียงดังมาจากด้านหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ข้าฯตกใจอุทานว่า "แปลกจัง!" ทีแรกคิดว่าเป็นเสียงฝน ปะทะสายลมคราง บัดดลกลับเป็นเสียงวัตถุกระแทกกัน (清夜聞聲) 歐陽子方夜讀書,聞有聲自西南來者,悚然而聽之, 曰:「異哉!」初淅瀝以蕭颯,忽奔騰而砰湃;
(ลมศารทประโคมสนั่น) เป็นเสียงดุจดังคลื่นสาดกระจายยามราตรี หรือทั้งลม และฝนมาอย่างฉับพลัน กระแทกกับข้าวของดังคล้าง เคล้งเหมือนโลหะกระทบกัน เสียงนั้นฟังดูคล้ายพลทัพ เร่งรุดเข้าสู่สมรภูมิ ระคนด้วยเสียงกระหึ่มพึมพำไม่ได้ ศัพท์ กระทั่งคำบัญชาสั่งการยังถูกกลบ ยินแต่เสียงฝีเท้า กระทบพื้นของทหารหาญกับกีบม้า (秋風鼔氣) 如波濤夜驚,風雨驟至。其觸於物也, 鏦鏦錚錚,金鐵皆鳴;又如赴敵之兵, 銜枚疾走,不聞號令,但聞人馬之行聲。
(ถามหาสาเหตุ ทอดถอนใจลึก) ข้าฯถามเด็กรับใช้ "เจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม? ออกไปดู รอบๆหน่อยซิ" เด็กรับใช้กลับเข้ามาบอกว่า "ดวงดาว และจันทรายังกระจ่างสดใส และทางช้างเผือกยังพาด ทาบท้องฟ้าแจ่มชัด รอบๆนั้นก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากเสียง จากไม้ไร่ไพรพฤกษา" ข้าฯอุทานว่า "อนิจจา! นี่แหละ เสียงแห่งฤดูศารท มาถึงเรียบร้อยฉะนี้ได้อย่างไร?" (訊聲太息) 予謂童子:「此何聲也?汝出視之。」童子曰: 「星月皎潔,明河在天,四無人聲,聲在樹間。」 予曰:「噫嘻,悲哉!此秋聲也,胡為而來哉?」
(อธิบายเค้าปรากฏการณ์) เมื่อคราที่ฤดูศารทจะปรากฏ สีสันจะโล่งร้างเดียวดาย หมอกโรยลอยกระจาย เมฆบางเบา บรรยากาศจะกระ จ่างแจ้ง บนท้องนภาจะอาบด้วยแสงแดดระยิบระยับ อากาศเริ่มเย็นยะเยือกจนสะท้านถึงกระดูก ทำให้เกิด อาการหดหู่อ้างว้างอยู่ท่ามกลางขุนคีรีสายธาราสงัด สงบ ฉะนี้เล่าจึงบังเกิดเสียงจากไพรพฤกษ์ออกมาราว รันทดเหลือล้น เสียงที่สั่นเครือเชือดเฉือนยิ่งนัก (模寫秋容) 蓋夫秋之為狀也:其色慘淡,煙霏雲斂; 其容清抈,天高日晶;其氣慄冽, 砭人肌骨;其意蕭條,山川寂寥。 故其為聲也,淒淒切切,呼號憤發。
(หนึ่งพลังมโหฬาร) เมื่อติณชาติอุดมดาษเขียวขจีได้ยืนหยัดจะยืดเหยียดกอ พรรณพฤกษาที่งดงามปรกแผ่ไป พวกเราล้วนภิรมย์ชมชื่น ได้ง่ายดาย แต่คราวที่หย่อมหญ้าแห้งเหี่ยวเปลี่ยนสี พฤกษ์ไพรทิ้งใบร่วง ล้วนชักพาให้เห็นสภาวะเสื่อมสลายลง ช่างทำให้ทุกลมหายใจลำบากสุดทานทน (一氣無私) 豐草綠縟而爭茂,佳木蔥籠而可悅; 草拂之而色變,木遭之而葉脫; 其所以摧敗零落者,乃其一氣之餘烈。
(ควบคุมโดยอานุภาพแห่งธรรมชาติ) ฤดูศารทนั้นคือห้วงแห่งการทำลายล้างของธรรมชาติ เป็นดุจดังผู้ประหารสรรพสิ่งทั้งมวล เป็นสภาวะ "ยิน" ของกาลจักร มีสัญญลักษณ์คือธาตุทอง(โลหธาตุ) ฤดูศารทนั่นแหละได้รับบัญชาแห่งสรวงสวรรค์แลสากล จักรวาล เอาไว้ประหัตประหารสิ่งชั่วร้าย กวาดล้างสิ่งเลวๆ ให้มลายสูญ วสันตฤดูนั้นสรรพสิ่งแตกผลิ จนฤดูศารทจึง ออกผล เหตุฉะนี้ในทางดุริยศัพท์จึงพบว่า เสียง "ซาง 商" เป็นเสียงดนตรีจากประจิมทิศ เป็นเสียงแห่งเดือนเจ็ด(เริ่มฤดูศารท) เสียงแห่งเดือนแรกของฤดูศารทนั้นคือ "หยีเจ๋อ 夷則" เสียงพ้องกับ "ซาง 傷" ที่หมายถึงการทำร้ายให้บาดเจ็บ สรรพสิ่งที่แก่ชราล้วนครวญคร่ำเพราะความเจ็บปวด ในอักษร"ยี 夷" พ้องเสียงกับ "ยี 戮" หมายถึงการประหาร สิ่งใดที่เกิดขึ้นจนรุ่งโรจน์แล้วจักต้องมีวันดับสูญ (職奉天威) 夫秋,刑官也,於時為陰:又兵象也,於行為金, 是謂天地之義氣,常以肅殺而為心。天之於物, 春生秋實。故其在樂也,商聲主西方之音, 夷則為七月之律。商,傷也;物既老而悲傷。 夷,戮也;物過盛而當殺。
(เสียงฤดูศารท หนาวเหน็บและเงียบงัน) อนิจจา ติณชาติแลพรรณพฤกษาล้วนไร้ความรู้สึก แต่บางคราจะสำแดงอาการโดดเดี่ยวเดียวดายได้ มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา ถูกกระทบได้จาก ปัญหาร้อยแปดและความปริวิตก ยังผลให้แปรปรวน ทั้งใจและกาย จิตวิญญาณจึงถูกขับออกไป ยิ่งหาก เขาใคร่จะไขว่คว้ามากเท่าใด ยิ่งห่างไกลที่จะได้มา ไม่น่าแปลกที่ใบหน้าอันอมเลือดฝาดเปล่งปลั่ง สักวันก็จะกลับกลายเป็นซีดหม่นดังไม้แห้ง เส้นเกศาที่ดำขลับ จะกลับเปลี่ยนเป็นเทาขาว ราวแซมแต้มไว้ด้วยดอกดวงดารกา (秋聲寂寞) 嗟乎,草木無情,有時飄零。人為動物, 惟物之靈。百憂感其心,萬事勞其形。 有動于中,必搖其精。而況思其力之所不及, 憂其智之所不能;宜其渥然丹者為槁木, 黟然黑者為星星
(ลมเร้าให้ถอนใจระทม) ใครเล่าจักคาดคิดได้ว่า หากติณชาติและพรรณพฤกษา ปราศจากธาตุทอง(โลหะ)และธาตุศิลาสอดแทรกอยู่ จะสามารถยืนหยัดงอกงามอยู่ได้ ช่างดูสมบูรณ์พูนสุข เกินกว่าจะถามว่าใครที่ไหนจักมาทำลายได้? แล้วยัง จะมาโทษว่าเป็นเพราะเสียงแห่งฤดูศารทหรือ? เด็กรับใช้มิได้เอ่ยวาจาใด เอนศีรษะลงแล้วหลับไป มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไรชำแรกเข้ามาจากผนังทั้งสี่ด้าน ประหนึ่งว่ามาเร่งเร้าเสียงถอนใจอย่างระทมทุกข์ของข้าฯ (因風感慨) 奈何以非金石之質,欲與草木而爭榮? 念誰為之戕賊,亦何恨乎秋聲!」 童子莫對,垂頭而睡。但聞四壁蟲聲唧唧, 如助余之歎息。
ปอ.ลอ.
ข้อความในวงเล็บเป็นการตั้งชื่อให้แต่ละตอนของบทกวี เนื่องจากมีผู้นำใจความของบทกวีนี้ไปประพันธ์เพลงกู่ฉิน แบ่งเป็น 8 ท่อน จขบ.พยายามค้นหาเพลงกู่ฉินนี้ก็ไม่พบ จึงไม่อาจนำมาเสนอไว้ตรงนี้ได้ แต่ยังเห็นว่าชื่อที่ตั้งให้ แต่ละท่อนทำให้เข้าใจสาระของบทกวีได้ดีพอสมควร จึงยังคงไว้ ณ ที่นี้
-----------------------------------------------------------
ท่านโอวหยังซิว (欧阳修 พ.ศ.1550-1615)
ชื่อรองว่า หย่งซู (永叔) ฉายาว่า จุ่ยเอวิง (醉翁) อีกฉายาคือ ลิ่วอีจวีซื่อ (六一居士) มีพื้นเพอยู่ที่ หลูหลิง (庐陵) ปัจจุบันอยู่ที่ จี๋อัน (吉安) มณฑล เจียงซี (江西) มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ
เป็นเด็กยากจนกำพร้าพ่อ มารดาเลี้ยงดูมาแต่ผู้เดียว มารดาสอนให้เขียนหนังสือด้วยต้นอ้อ และให้ร่ำเรียน ตำราขงจื่อ เมื่ออายุได้ 15 ปี ก็มีชื่อเสียงในด้าน อักษรศาสตร์แล้ว
ในปี พ.ศ.1573 ไปสอบเป็นบัณฑิตชั้น "จิ้นสือ (进士)" ได้เป็นที่ 1 จักรพรรดิ์ซ่งเหรินจงจึงทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง ในเมืองหลวง ต่อมาได้รับตำแหน่งต่างๆมากมาย มีผลงาน ด้านอักษรศาตร์ ประวัติศาสตร์ และปรับปรุงการปกครอง โอวหยังซิวชื่นชมวรรณกรรมของหันหยวี่ (韩愈) ของสมัย ราชวงศ์ถังมาก
ระหว่างรับราชการได้ถูกโยกย้าย เนรเทศไปหลายแห่ง ซึ่งเป็นธรรมดาของการเป็นขุนนาง โอวหยังซิวถูกลด ตำแหน่งให้ไปอยู่ที่ฉูโจว (滁州) หยังโจว (扬州) หยิ่งโจว (颍州) กระทั่งในรัชศกหวงโยว่ (皇佑) ปีแรก (ตรงกับ พ.ศ. 1592) จึงได้กลับคืนเมืองหลวง และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชบัณฑิตของราช วิทยาลัยหันหลิน (翰林学士) มีหน้าที่ผู้ชำระประวัติศาสตร์ มีผลงานคือ ซินถังซู (新唐书:หนังสือราชวงศ์ถังใหม่) และ ซินอู่ไต้ซื่อ (新五代史:ประวัติศาสตร์ยุคห้าราชวงศ์ใหม่)
เมื่อท่านโอวหยังซิวสูงวัยขึ้น ได้ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ ของรัชทายาท และเมื่อถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลจักรพรรดิ์ เสินจง (神宗) รัชศก ซีหนิง (熙宁) ปีที่ 5 (ตรงกับ พ.ศ. 1615) ท่านได้รับทินนามให้เป็น ซื่อเหวินจง (谥文忠) สิริอายุได้ 65 ปี
ซูซื่อ (苏轼 ซูตุงพอ) ได้กล่าวถึงโอวหยังซิวว่า " เมื่อเขาวิพากษ์หลักเกณฑ์ใหญ่ๆ ดูเป็นดังท่าน หันหยวี่ (韩愈) เมื่อเขาตอบคำถามจากสาธารณชน ดูเป็นดังท่าน ลู่จื้อ (陸贄) เมื่อเขาจดบันทึกเหตุการณ์ ดูเป็นดังท่าน ซือหม่าเชียน (司马迁) และเมื่อเขาแต่งบทกวี ดูเป็นดังท่าน หลี่ไป๋ (李白) "
โอวหยังซิวได้รับการกล่าวขานยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน " 8 มหาประพันธกรแห่งยุคถังและซ่ง (唐宋八家) "
เป็นอย่างไรบ้างครับกับลีลาบทกวีร้อยแก้วของท่านโอหยังซิว บทนี้แต่งเมื่อ ปี พ.ศ.1602 ตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิ์ซ่งเหรินจง ปีที่ 4 ของรัชศก เจียโย่ว (嘉祐) โอวหยังซิวอายุได้ 53 ปี เรียกว่าความคิดอ่านและประสบการณ์สุกงอมเต็มที่ อ่านเผินๆแล้ว คล้ายๆกับท่านกวีกำลังจิตตก เรียกว่ามีภาวะซึมเศร้า (depression) ก็คงไม่ผิดนัก คาดเอาว่าคงเดือดร้อนทั้งทางราชการงานหลวง และเรื่องของสภาพจิตใจด้วย
ชีวิตของข้าราชสำนักในสมัยซ่งมีความสับสนวุ่นวายมากทีเดียว การแบ่งพรรคแบ่งพวก ผลัดกันเรืองอำนาจ ผลัดกันทำลายกีดกัน ข่มเหง ตลอดจนโยกย้าย ถอดถอน เนรเทศ . . . ดูแล้วก็ไม่แตก ต่างจากระบบการปกครองยุคไหนๆ ทั้งพระเอกและผู้ร้ายผลัดเวียน กันสวมบทบาทกินบ้านกินเมือง ดูประวัติท่านซุตุงพอจะชัดเจนมาก
ด้วยความคับแค้นใจ....ท่านโอวหยังซิวจึงเขียนพรั่งพรูออกมาเป็น ตัวอักษร . . . การเขียนเป็นบทกวีสามารถสื่อสารอ้อมๆกับผู้อ่านได้ นับเป็นการระบาย (ventilate) ความอัดอั้นตันใจได้ระดับหนึ่ง
นัยของปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แปลกราวกับเกิด "ภาวะจิตหลอน" (hallucination) แต่กวีเอามาโยงกับพลังแห่งฟ้าดินที่จะลงโทษ กวาดล้างความเลวร้าย...เสมือนสาปแช่งกลายๆ เสียงที่คล้าย เคลื่อนพลทัพอาจเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจทางฝ่ายบู๊ที่กร่างจนไม่ ฟังเสียงบัญชาจากองค์จักรพรรดิ์
ท่านโอวหยังซิวยังเอาความรู้ทางดนตรีมาใช้บรรยาย เสียง "ซาง" ที่บอกว่าเป็นเสียงจากตะวันตก คือเสียงดนตรีของพวกคนเถื่อน สำเนียงของบันไดเสียงนี้ออกเศร้าสร้อย น่าจะเป็นคีย์ไมเนอร์ที่ มีโน้ตครึ่งเสียงแทรกอยู่นั่นเอง.....ตีความตรงนี้อาจเชื่อมไปถึง ราชสำนักที่อ่อนแอ ยอมอ่อนข้อให้พวกชาวมงโกลหรือพวกกิม นอกกำแพงใหญ่ก็เป็นได้
ท่านโอวหยังซิวยังได้กล่าวถึงกาลจักรคือการหมุนเวียนของเวลา ที่ก่อปรากฏการณ์ต่างๆ ดึงมาสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจมนุษย์ จนท้ายสุดชวนให้ "ปลง" พูดให้เห็นอนิจจังอันเป็นสัจธรรม การ เกิดแก่เจ็บตายล้วนคือ "ของจริง" ไม่เห็นต้องไปโทษฟ้าโทษดิน ให้วุ่นวายไป
ดูแต่เด็กรับใช้สิ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จิตอันไร้วิตก ไม่ใส่ใจ หัวถึงหมอนก็หลับสบาย นี่ช่างแตกต่างกับจิตอันระทมทุกข์ของ ท่านโอวหยังซิวเอง ร า ว ฟ้ า กั บ ดิ น !
เพื่อนๆอ่านแล้วคิดอย่างไรบ้างล่ะขอรับ ?
...................................................................................
คลิปคราวนี้เป็นเพลงที่โศกเศร้าระทมเสียดลึกถึงหัวใจ ไม่มีเพลงใดเทียบเท่าเพลงเอ้อร์หูเพลงนี้ . . . เชิญครับ เจียงเหอสุ่ย (江河水) เดี่ยวโดย หมิ่นฮุ่ยเฟิง (閔惠芬)
ขอบคุณ You Tube ที่นำเพลงเพราะๆมาสู่เราเสมอมา
สวัสดี แล้วเจอกันใหม่ครับ
Create Date : 18 เมษายน 2555 |
Last Update : 22 เมษายน 2555 0:17:38 น. |
|
20 comments
|
Counter : 9331 Pageviews. |
|
|
|
โดย: panwat วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:0:32:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:6:10:57 น. |
|
|
|
โดย: go far far วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:8:19:04 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:19:59:43 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 18 เมษายน 2555 เวลา:21:21:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 เมษายน 2555 เวลา:5:58:28 น. |
|
|
|
โดย: panwat วันที่: 19 เมษายน 2555 เวลา:8:05:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 เมษายน 2555 เวลา:5:57:17 น. |
|
|
|
โดย: Polarbee วันที่: 20 เมษายน 2555 เวลา:20:50:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 เมษายน 2555 เวลา:21:39:07 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:19:43:39 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:23:42:22 น. |
|
|
|
โดย: ป้าโซ วันที่: 23 เมษายน 2555 เวลา:10:27:41 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 25 เมษายน 2555 เวลา:7:12:17 น. |
|
|
|
โดย: Bkkbear วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:10:10:19 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]
|
◉ ภุมราท้าโลกกว้าง . . เกินฝัน
หวังวาดสู่สวรรค์ . . . . . เวิกโพ้น
แท้คืนสู่สามัญ . . . . . . มละตื่น
ยังฉงนงวยโงกโง้น . . . .โง่ตื้นลืมตาย ฯ
Dingtech :
ผมเป็นคนธรรมดา ธรรมดา มาจากบ้านนอก รักศิลปะทุกชนิด ทุกรูปแบบ ทุกสัญชาติ
รักชาติไทย รักประเทศไทย รักคนไทยทุกคน จงรักภักดี และ เคารพสักการะพระมหากษัตริย์ไทย
ยินดีแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆทุกคนครับ
since 16 December 2009
|
|
|
|
|
|
|
|
แต่คำบรรยายไทยยาวกว่ามาก
แสดงว่า ภาษาจีนประหยัดคำกว่า
ใช่ปล่าวครับพี่ดิ่ง