เพลงหน้าที่เด็ก (เด็กเอ๋ยเด็กดี) - เพลงวันเด็กแห่งชาติ
เด็กเอ๋ยเด็กดี
ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
เด็กเอ๋ยเด็กดี
ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
หนึ่ง นับถือศาสนา
สอง รักษาธรรมเนียมมั่น
สาม เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
สี่ วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ห้า ยึดมั่นกตัญญู
หก เป็นผู้รู้รักการงาน
เจ็ด ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน
แปด รู้จักออมประหยัด
เก้า ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล
น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ
ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา
สิบ ทำตนให้เป็นประโยชน์
รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา
เด็กสมัยชาติพัฒนา
จะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ
วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติ ที่ทางราชการกำหนดให้เป็นเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมในทุกๆ ปี วันนี้จำได้ว่าตอนที่ จขบ.เป็นเด็กมีความสุขมาก ได้ร้องรำเต้นแสดงออกเต็มที่ พ่อแม่จะพาไปโน่นนี่นั่นที่เค้ามีการจัดงานให้เด็ก คนแน่นคนเยอะมีเด็กอื่นๆ เต็มไปหมดที่สำคัญมีการแจกของขวัญวันเด็กด้วย สมัยก่อนแค่ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ สมุดอย่างละหนึ่งอันก็ทำให้เด็กอย่างเราสมัยนั้นดีใจมากแล้วที่ได้มาอย่างฟรีๆ ไม่ต้องเสียเงินตัวเองและของพ่อแม่ซื้อ สำหรับ จขบ.วันเด็กเกือบทุกปีจะต้องมีกิจกรรมที่จะต้องทำมากมายลดหลั่นตามอายุ ได้ร่วมแสดงบนเวทีตลอดมาตามคุณครูกำหนด จขบ.เป็นคนกล้าแสดงออก ไม่กล้าบอกว่าสมัยนั้น จขบ. เป็นเด็กหน้าตาผิวพรรณดีคุณครูเลยมักจะให้เป็นตัวแทนนักเรียนในการแสดงไม่ว่า รำ เต้น ตัวแทนกล่าวนำซึ่งแล้วแต่คุณครูจะกำหนด (ขี้โม้เนอะ) ตอนเป็นเด็กมีหน้าที่เรียน แล้วก็เล่น กินแล้วก็นอน เหมือนชีวิตจะมีแค่นั้น ไม่รู้จักความทุกข์ว่ามีหน้าตารูปร่างเป็นยังไง หรืออาจจะมี เช่นอย่างเรื่อง ทำการบ้านไม่เสร็จ ส่งงานส่งการบ้านไม่ทัน ทำไม่ได้ กลัวคุณครูตีและทำโทษ คิดว่าเป็นแค่ความกลัว ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากมายเพราะพอ ช.ม นั้นผ่านไปก็ไม่กลัวแล้วจะมากลัวอีกครั้งก็เมื่อทำอีกอะไรแบบนี้ จขบ. เลยถือว่าไม่ได้ทุกข์อะไร คิดแล้วอยากเป็นเด็กตลอดไปแต่ธรรมชาติของมนุษย์เป็นไปไม่ได้เพราะคนเราต้องอยู่ในวัฏจักร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตอนนี้พอถึงวันเด็ก ก็เลยหันมาแอบอิจฉาเด็กดีกว่า...555555...วันนี้ว่าจะพาเจ้าตัวน้อยหลานเลิฟไปเปิดหูเปิดตาร่วมงานวันเด็กกะคนอื่นซะที ทุกๆ ปีที่ผ่านมาไม่เคยพาเค้าไปร่วมงานที่ไหนด้วยความรู้สึกที่คิดว่าเค้ายังเล็กไม่รู้อะไรพาไปก็ไม่รู้อะไรอยู่ดี..55555...(เหมือนดูถูกความคิดเด็กเนอะค่ะแต่ไม่ใช่อะไรขี้เกียจวิ่งไล่จับเค้าแล้วเราจะเป็นลมค่ะ เรียกง่ายๆ เห็นแก่ตัวนั่นล่ะเอาตัวเองสะดวก)นั่งฟังข่าวที่ผู้สื่อข่าวบอกว่า..ที่น่าสนใจของเด็กก็มีกองทัพอากาศ เด็กได้นั่งเครื่องบินดูเครื่องบินและยุทโธปกรณ์ทางทหารต่างๆ ด้วยเหมือนที่สนามเสือป่าเป็นเขตของกองทัพบกเช่นกัน ถามเจ้าตัวน้อยว่าอยากไปที่ไหน เค้าบอกว่าเค้าอยากเป็นนายก อยากนั่งเก้าอี้นายก..เค้าบอกว่าเป็นเก้าอี้ไฟฟ้า..ตายๆๆ หลานช้านไปเอามาจากไหนกันหนอนี่ เก้าอี้นายกเป็นเก้าอี้ไฟฟ้า ทำให้ จขบ. นึกถึงภาพนักโทษที่โดนประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าซะงั้น..55555...ตอบเค้ากลับไปว่า "อย่าเป็นนายกเลย..เป็นแล้วโดนคนโน้นคนนี้ด่า" ที่น่าสนใจอีกแห่งคือ ท้องฟ้าจำลอง ถ้าหากอยากให้เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถามเจ้าตัวน้อยอีกครั้งว่าอยากไปที่ไหน เค้าบอกอยากไปสวนสนุก...นึกภาพสวนสนุกคงมีเด็กเต็มไปหมดอีกอย่างคงไม่ได้มีแต่เด็กอย่างเดียวยังมีผู้ปกครองอีกมากมาย เด็กหนึ่งคนบางครอบครัวยังมีผู้ใหญ่ที่ร่วมไปกะเด็กด้วยอย่างน้อยสอง สาม สี่คน..คิดแล้วเหนื่อย..แล้วจะพาเค้าไปที่ไหนดีนะที่เบียดเสียดคนน้อยที่สุด คิดตลกๆ ว่าต้องสุ่มเดาเหมือนเสี่ยงโชคยังไงยังงั้นแบบว่าเบื่อที่ๆ คนเยอะนั่นล่ะค่ะ...555555...ได้คำตอบว่า "บ้าน" ไงมีแต่ตัวเองกะเจ้าตัวน้อย...สรุปจบ...55555...จะเป็นเช่นไรต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ ของแบบนี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเพราะ จขบ.เป็นคนโลเลเอาแน่นอนไม่ได้เป็นคนคิดเร็วปรู๊ดปร๊าด..แต่ในบางเรื่องไม่ได้เป็นคนโลเลเหลาะแหละนะคะ...55555...
2 วันที่ผ่านมาก็ไปทำงานตามปกติ ใน 2 วันนี้คิดจะหยุดงานเพราะเบื่อเหมือนกันแต่พอตื่นขึ้นมาเหมือนรู้ตัวเองว่ามีหน้าที่ต้องไปทำงาน วันพฤหัสที่ 12 ก็เลยไปทำงานด้วยความเบื่อสุดฤทธิ์ พอย่างเท้าเข้าที่ทำงานเพื่อนร่วมงานแซวเลยว่า คนอะไรได้โชคสามชั้น เอาสิ งง ถามเค้าว่า เราเหรอ เค้าบอกว่าใช่แล้ว..งงเป็นไก่ตาแตกล่ะทีนี้..เค้าเห็นงงก็เลยเฉลยบอกว่า เมื่อวานกอง จับฉลากรางวัลพิเศษ และมีชื่อเราด้วยให้ไปรับรางวัลได้..อีกสองอย่างก็คือ ที่เมื่อวานจับได้ตังค์ของ หน. ตัวเอง อย่างที่สอง คือ เมื่อวานได้บัตรซื้อของที่โลตัสฟรี 200 บาทจากแบงค์ ที่ จขบ.ใช้บัตรของแบงค์นี้ในการใช้งานทางราชการเป็นผลจากการไปปฏิบัติงานที่ผ่านมาและ จขบ.ก็มอบให้เพื่อนร่วมงานที่เค้าจะไปช่วยเหลือเด็กที่ จ.ตาก เค้าหาทุนเป็นอาหารกลางวันให้เด็กก็เลยมอบให้เค้าไปจำหน่ายรวมเงินกันไปช่วยเด็กที่วันก่อนก็ช่วยเงินเค้าไปส่วนหนึ่งแล้ว มีคนในห้องบางคนบอกให้ทุกคนที่ได้บัตรนี้นำมารวมกัน เพราะได้มานำมารวมกันจะได้เป็นยอดใหญ่จำหน่ายแล้วซื้อของมากินมาใช้ด้วยกัน จขบ.ไม่ว่าอะไรยังไงก็ได้ แต่อีกสองสามคนไม่เห็นด้วยและไม่ยอมเพราะนี่เป็นผลจากการทำงานของแต่ละคนไม่ใช่ว่าจะได้กันทุกคน ทำไมต้องมาทำแบบนี้มันไม่แฟร์ จขบ. เลยตัดสินใจส่งมอบของตัวเองไปทำบุญซะเลยหมดปัญหา รางวัลที่กองมอบให้คือ กระเป๋าเป้ ถึงไม่ชอบเพราะแบบและวัสดุค่อนข้างเชยและไม่ดีแต่ของฟรีก็ต้องดีใจ..อ่อ..โชคสามชั้นเป็นแบบนี้นี่เอง...55555...วันนี้ไปซอยหลังกรมบัญชีตอนพักกลางวันเพื่อไปเอาชุดที่ตัดไว้ ร้านนี้ตัดไวมาก เจ้าของร้านก็นิสัยดีเป็นกันเองทั้งที่เพิ่งตัดกันเป็นครั้งแรก ระหว่างลองชุดคนโน้นคนนี้ชมทั้งที่ไม่รู้จักกันเป็นลูกค้าด้วยกัน ชุดนี้ไม่ได้ตั้งใจออกแบบเพราะมีเวลาค่อนข้างน้อยเมื่อศุกร์ที่แล้ว พูดง่ายๆ ซี้ซั้วออกแบบแล้วกลับไปทุกข์หลายวันต่อมา ว่าหน้าตาชุดข้าพเจ้าจะเป็นฉันใด ถ้าไม่ดีเสียดายผ้ามากเพราะเป็นผ้าไหมสีและลายถูกใจถึงจะเป็นของที่ได้ฟรีมาก็ตาม ก็เสียดายอยู่ดี...55555...แต่ผลออกมาสวยงามเกินคาดจนใครต่อใครที่เข้าร้านมาชมอยากตัดแบบนี้บ้าง เจ้าของร้านเลยหน้าบานยิ้มน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มี จขบ.เป็นพรีเซนเตอร์ให้ร้าน และวันนี้ก็นำผ้าไหมไปตัดอีกสามชุด (ตัดอะไรนักหนาฟระค่ะ) อย่างที่บอกว่ากำลังหาชุดใส่ไปงานแต่งงานคนในบ้านก็เลยระดมตัดเผื่อเลือกอะไรแบบนี้แต่พอเห็นจำนวนเงินค่าตัดหน้าก็หุบโดยอัติโนมัติ...55555...ไม่คิดก็ไม่เครียดใช่ป่ะคะ..เป็นวิธีคิดแบบ positive thinking....ตอนเช้าเจอวัยรุ่นน่าจะเรียนระดับ ปวส. นักเรียนช่างแห่งหนึ่ง ตบทรัพย์รุ่นน้อง ปวช.แห่งหนึ่งเป็นแหวนรุ่น ตบ(อันนี้ตบจริง) ต่อหน้าต่อตา จขบ. ที่ยืนมองอยู่ไกลๆ พอดีหันไปเห็น ตบเสร็จเดินผ่าน จขบ.เอาแหวนมาดูกัน คนตบมีสองคน คนถูกตบมีจำนวน 4 คน น้อง 4 คนไม่กล้าหือรืออะไรเพราะยังอ่อนโลกน่าจะเป็นแค่ปี 1 เท่าที่ดูจากสายตาส่วน 2 คนดูจากหน้าตารูปร่างการแต่งตัวนักเรียนที่มอมแมมแล้วน่าจะแก่กว่าเยอะ หลังตบเสร็จเดินผ่านผู้คนที่เห็นมาแบบไม่สลดไม่ละอายไม่สนใจที่ใครต่อใครมอง จขบ.เองก็มองพร้อมพูดว่า "อ้ายเลว" มีคนยืนอยู่ข้างๆ จขบ. ไม่รู้จักกันเค้าจับมือ จขบ.ไว้ พร้อมกระซิบบอกว่าเค้ามีมีดดาบซุกที่ขากางเกงลองสังเกตดูสิ จขบ.ก็เลยมองตามก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย..5555..เกือบไปแล้วสิเราไม่งั้นมีพูดยาว ในมือเด็กสองคนยังมีไม้บรรทัดด้ามยาวที่รัดยางติดกันสองอัน เข้าใจว่าใช้แทนอาวุธ คิดตามนะคะไม้บรรทัดสองอันผูกติดกันแบบนี้เอาไปตีใครก็เลือดอาบหรือตายได้เหมือนกันค่ะ...อยากให้ตำรวจเป็นหูเป็นตาทันเด็กพวกนี้ด้วย เอาของปกติที่ใช้กันมาทำอาวุธโน่นนี่นั่นได้ตลอด อย่าคิดว่าเป็นแค่ไม้บรรทัดพลาสติก เมื่อก่อนห้ามไม้ฟุตเหล็ก..เอ..หรือว่าจะออกกฏให้มีล๊อกเกอร์ฝากเครื่องเขียนต่างๆ ไว้ที่ ร.ร ทุก ร.ร ช่างจะดีมั๊ยเอ่ยให้เด็กนำกลับบ้านได้แค่สมุดหนังสือ ปากกา ดินสอ ยางลบเท่านั้นส่วนอันไหนที่มีผลทำให้ทำร้ายร่างกายกันได้ให้เก็บไว้ในที่ปลอดภัยน่าจะดีกว่าเนอะค่ะ...เรื่องนี้คิดตาม เด็กที่โดนตบทรัพย์ครั้งนี้ก็จะได้ความทรงจำไม่ดี และอาจเป็นการเอาอย่างไปทำแบบนี้กะคนอื่นไม่ว่ากะน้องสถาบันตัวเองหรือสถาบันอื่น อาจเพราะเจ็บใจเอาคืน หรือเก็บกดก็ตาม ส่วนนักเรียนที่ตบทรัพย์คนอื่นอาจเป็นเพราะเค้าเคยโดนแบบนี้มาเลยทำให้กลายเป็นเด็กเลวที่เอาอย่างตามกันมาจากรุ่นพี่ของตัวเอง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไขได้ง่ายๆ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทุกฝ่าย ไม่ว่าบ้าน ร.ร และตัวเด็กเอง สำหรับจขบ. คิดแค่ว่าเมื่อไรเรื่องราวแบบนี้จะหมดไปจากสังคมไทยซะที ใครรับผิดชอบเรื่องแบบนี้ได้บ้างนะมารับผิดชอบทีค่ะ สังคมจะได้ดีกว่านี้ มันเริ่มที่เด็กไม่ใช่เหรอคะ..เอ..หรือว่าเริ่มที่ผู้ใหญ่อย่างพวกเราคะนั่น...เฮ้อ...
วันศุกร์ที่ 13 ตอนพักกลางวันเดินออกมาแบบก้มหน้าก้มตากดโทร. ไม่ได้มองใครทั้งนั้น แต่พอได้ยินเสียงคุ้นหูและเหมือนจะเดินเกือบไปชนใครเลยเงยหน้าขึ้นมองสะดุ้งสุดตัว..แหะๆๆ..เกือบชนอธิบดีและผู้ใหญ่ในหน่วยงานและต้นเสียงที่ได้ยินคุ้นหูเมื่อกี้เป็นเสียงของคุณบรรหาร อดีต หน. พรรคการเมืองหนึ่งนั่นเองหลบแทบไม่ทันเกือบคอขาดแล้วไง แหะๆๆ..ตอนแรกนัดกะเพื่อนอีกห้องออกไปทานข้าวด้วยกัน บอกเพื่อนว่าวันนี้หิวมากออกไปเร็วๆ นะรอเพื่อนเกินเที่ยงไป 5 นาทีก็ทนไม่ไหวแล้วงอนเดินออกไปอย่างที่บอก..จนเกือบชนผู้ใหญ่..ในที่สุดเพื่อนก็รีบตามออกมา เล่าให้เพื่อนฟังว่า เมื่อวานดูข่าวน้องผู้หญิงที่ถูกผู้ร้ายแทงหลายแผลแล้วไปสอบเข้า ม.เชียงใหม่ไม่ได้ แล้วทาง ม.เชียงใหม่ให้น้องคนนี้เข้าเรียนได้ที่คณะตัวเองต้องการ ดูข่าวแล้วทั้งเป็นห่วงและดีใจกะน้องคนนี้เป็นห่วงกลัวผู้ร้ายเมื่อหลุดจากคุกแล้วจะเอาคืนเพราะขนาดแค่ที่มันมาปล้นน้องคราวที่แล้วแล้วน้องสู้จนมันต้องหนีและสูญเสียนาฬิกาและมือถือไปและไม่ได้อะไร มันยังหวนกลับมาเอาคืนน้องคนนี้ มันกลับมาแก้แค้นน้องๆ เค้าคิดอย่างนั้นเพราะมันกระหน่ำแทงน้องไม่ยั้งพร้อมพูดว่า"มึงตายๆ" ฟังที่คุณสรยุทธถามน้องว่าทำไมตัดสินใจสู้อย่างนี้และไปเอาวิทยายุทธมาจากไหน เช่นการสับแขนคนร้าย การเตะ การต่อย การสู้ยิบตา คำตอบน้องคือ ไม่สู้ก็ตายเพราะเค้าจะเอาเราตาย..อืมม..ก็ถูกนะไม่สู้ก็ตายสู้ก็ยังมีโอกาสรอดกะตาย ใครๆ ก็ต้องเลือกอย่างหลัง น้องตอบว่า เอามาจากละคร..จากในทีวี..เรื่องนี้มีสิ่งที่ต้องพูดมากมายเพราะสื่อเหล่านี้มีผลต่อคนเราจริงๆ คือการเอาอย่าง ถ้าหากเป็นเรื่องดี เอาอย่างดีก็ดีไป อย่างที่ จขบ. เคยบอกเสมอว่า ถ้าเป็นเนื้อข่าวส่วนมากจะเป็นข่าวร้ายๆ อย่างข่าวการฆ่ากัน ทำร้ายกัน สื่อออกมากเท่าไรการเอาอย่างก็มากเท่านั้นเป็นอันตรายมากๆ ว่าป่ะคะ..พูดถึงทางเลือกเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ จขบ. บอกคนในบ้านเสมอว่า ทางเลือกคนเรามีหลายทาง อย่างวันก่อนที่เค้ามาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีในบางเรื่อง จขบ.ให้คำตอบว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรมันก็เหมือนปกติ คือถ้ามีเรื่องร้ายๆ มันก็ยังร้ายอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราคิดทำขึ้นมาเรื่องร้ายอาจจะกลายเป็นดีก็ได้หรืออาจจะร้ายเหมือนเดิมมันมีทางเลือกสองทาง คือ ทำ กะไม่ทำ จขบ. ไม่ชอบการอยู่เฉยรอรับชะตากรรม เป็นคนคิดแบบนี้ตลอดในทุกเรื่องที่ให้เราตัดสินใจจะไม่ยอมอยู่เฉยเพื่อรอรับ ก็มันร้ายอยู่แล้วเราก็ต้องเลือกทางด้วยการลอง เผื่อสิ่งที่ทำแล้วดีกว่าที่ร้ายอยู่ สอนแบบนี้มาตลอด..แหะๆๆ อธิบายแบบย่อๆ แบบนี้ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะเข้าใจกันหรือไม่...
วันนี้ งง ที่รู้สึกว่า รักษาการหัวหน้าตัวเองมีอะไรในใจกะ จขบ. มองแบบแปลกๆ เหมือนจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง รู้สึกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว สำหรับ จขบ.ไม่ค่อยคิดอะไรมาก จะคิดต่อเมื่อเห็นพอเห็นแล้วคิด ถ้าคิดไม่ออกเพราะไม่รู้จะคิดไปทำไมเมื่อยังไม่รู้อะไรก็ไม่คิดดีกว่า คิดไปก็ปวดสมองแล้วก็ปล่อยวาง พอวันนี้เห็นสายตาแบบนี้อีกแล้ว มีอะไรบางอย่างบอกในสายตาเค้า ก็เลยมองตอบเป็นการมองพร้อมคำถามเค้าว่า "มีอะไรไม่พอใจเหรอ ช่วยบอกให้ข้าพเจ้ารู้ด้วยเพื่อการอยู่ร่วมกันในที่ทำงานอย่างมีความสุข" การมองครั้งนี้ดูเหมือนเค้าจะเข้าใจความหมายที่เรามองเค้าเลยหลบสายตา จขบ.ปฏิบัติตัวตามปกติกะทุกคนแม้แต่คนที่มอง สิ่งที่ จขบ. ยึดมาตลอด คือ ใครไม่เข้าใจเราไม่เป็นไรแต่เราเข้าใจคนอื่น คิดดีทำดีกะคนอื่น ไม่คิดร้ายใครก็น่าจะพอ ส่วนใครคิดอย่างไรเราไปห้ามความคิดเค้าไม่ได้ วันนี้เค้าอาจเข้าใจอะไรเราผิดได้ แต่สักวันหนึ่งเค้าต้องเข้าใจเราเพราะเราคงเป็นเราอย่างนี้ คนไม่เคยคิดร้ายกะใครจะมีสิ่งใดดูร้ายอีกเหรอ..หรือว่า จขบ.หัวเราะเริงร่าดูมีความสุขในทุกวันจนเค้าไม่ชอบ เพราะทุกคนต่างห่วงหาอาทร จขบ.พูดคุยหยอกเย้าหัวเราะร่าเริงในทุกวันหรือสนิทกันเกินเหตุจนเค้าหดหู่ ไม่อยากเดาว่าเกิดจากความอิจฉาคนมีความสุข...อ่าว..ก็ จขบ.ไม่อยากเป็นคนมีความทุกข์นี่นา...ในที่สุดจากที่เมื่อวานเค้าเงียบๆ ไม่ค่อยพูดกะ จขบ. วันนี้หลังจากมองพร้อมคำถาม เค้าก็หันมาพูดคุยมาถามเรื่องโน้นเรื่องนี้เหมือนอย่างเคย..เข้าใจยากจริงแฮะคนเรา..
ตัวอย่างวิธีคิดแบบ positive thinking
คนเราส่วนใหญ่ชอบมองโลกในแง่ร้าย คิดทางลบอยู่เรื่อย การคิดทางลบทำให้เสียสุขภาพจิต พอสุขภาพจิตเสียก็ส่งผลถึงสุขภาพกาย หมอประเวศ วะสี บอกว่า การคิดทางลบทำให้คนเราหมดกำลังใจง่าย ๆ เพราะไม่มีอะไรให้ชื่นใจ
จริง ๆ แล้ว ทุกครั้งที่เราลงมือทำอะไรเราชอบมีคำตอบให้กับการลงแรงเพียงสองทางคือ สำเร็จและล้มเหลว ขาวและดำ ได้ตามเป้าหมายคือ สำเร็จ ไม่ได้ตามเป้าหมายที่คิดไว้ก็คือ ล้มเหลว ลืมคิดไปว่าเราเริ่มต้นจาก 0 แม้ก้าวไปไม่ถึง 10 ที่เป็นเป้าหมาย แต่ที่เดินมาก็ประมาณ 5 แล้ว ไม่ถึง 10 แต่ก็ไม่ใช่ 0 ทำไมไม่เอา 5 มาเป็นกำลังใจ หมอประเวศบอกว่า ความสำเร็จนิดเดียวก็เป็นกำลังใจให้เราก้าวเดินต่อไปได้
เชื่อไหมคว่าในสิ่งเดียวกันเราสามารถมองได้ 2 แบบทั้งทางลบและทางบวก ภาพเดียวกัน แต่มองแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น เรานำกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง จุดสีดำลงที่กลางกระดาษ ลองถามเพื่อนสิว่าเห็นอะไรในกระดาษบ้างส่วนใหญ่จะบอกว่าเห็นจุดสีดำทั้งที่ "จุดดำ" นั้นเป็นจุดเล็ก ๆ นิดเดียวบนกระดาษขาวมีน้อยคนที่จะตอบว่าเห็นกระดาษสีขาว ทั้งที่สีขาวมีเนื้อที่มากกว่าจุดสีดำหลายร้อยเท่า สิ่งเดียวกัน แต่มองเห็นต่างกัน
หรือแก้วน้ำใบหนึ่งมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว คนหนึ่งเห็นอาจบอกว่ามีน้ำ "แค่" ครึ่งแก้วอีกคนอาจบอกว่ามีน้ำ "ตั้ง" ครึ่งแก้ว แค่พยางค์เดียวที่แตกต่างกัน ระหว่างคำว่า "ตั้ง" กับ "แค่" ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แค่ครึ่งแก้ว กับตั้งครึ่งแก้ว สะท้อนให้เห็นมุมมองของคนที่พูดได้อย่างชัดเจน หรือถ้าเติมน้ำไปอีกนิด แล้วถามว่ารู้สึกอย่างไรกับปริมาณน้ำในแก้วนี้ คนหนึ่งอาจบอกว่ามีน้ำเต็มแก้ว อีกคนอาจมองอีกมุมว่า แค่เติมน้ำนิดเดียวก็เต็มแก้วแล้ว เพราะมุมมองและทัศนคติแตกต่างกัน เราจึงมองเห็นภาพภาพหนึ่งแตกต่างกัน
ตัวอย่างที่ดีอีกเรื่อง เป็นกรณีคลาสสิกทางการตลาด บริษัทรองเท้าในอิตาลี 2 แห่งส่งเซลส์แมนไปเกาะแห่งหนึ่ง คนบนเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย เซลส์คนแรกวิ่งไปโทรศัพท์บอกเจ้านาย
"นายครับ ไม่ต้องมาอีกแล้วครับ คนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย"
คนที่สองวิ่งไปโทรศัพท์กลับไปยังบริษัทเหมือนกันเขาบอกเจ้านายด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น
"นายครับ โอกาสขายมีมากเลยครับ เพราะคนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย"
เกาะเดียวกัน คนไม่ใส่รองเท้าเหมือนกัน แต่เซลส์ 2 คนคิดไม่เหมือนกัน คนหนึ่งเห็น "ปัญหา" คนหนึ่งเห็น "โอกาส"
ทัศนคติทางบวกเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ว่ามองเห็นอะไรก็บวกไปหมด บางครั้งก็ต้องลบบ้าง ในชีวิตจริงไม่มีใครในโลกหรอกนะที่คิดอะไรทางบวกด้านเดียว ใครคิดบวกอย่างเดียวถือว่าค้ากำไรเกินควร ถ้าเจอต้องแจ้ง สคบ. หรือกระทรวงพาณิชย์ให้จัดการ ทุกคนล้วนต้องคิดทั้งบวกและลบผสมปนเปกันไป เพียงแต่ใครมากใครน้อยเท่านั้น
ถ้าสาว 2 คน คนหนึ่งมีทัศนคติทางบวก อีกคนคิดอะไรก็ลบอยู่เป็นประจำ ระดับตอนสอบวิชาคณิตศาสตร์ อาจารย์บอกให้บวกเลข เธอก็ยังเปลี่ยนเป็นลบเลย ทั้ง 2 สาวหากเดินในซอยเปลี่ยวคนเดียว และมีชายหนุ่มกำยำล่ำสัน 3 คนเดินตามมาและเร่งฝีเท้าใกล้มาเรื่อย ๆรับรองว่าสาวน้อย 2 คนแม้จะมีวิธีคิดแตกต่างกันโดยพื้นฐาน แต่ครั้งนี้เธอจะวิเคราะห์สถานการณ์เหมือนกัน มองโลกในแง่ร้ายเหมือนกันแน่นอน ต่อให้คิดทัศนคติทางบวกอย่างไร สาวน้อยคงไม่คิดว่าหนุ่มทั้ง 3 คนคนเดินมาคอยระวังภัยให้ หรือคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ร่างกายอาจกำยำ แต่ใจอาจเป็นเกย์ก็ได้
มีผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ชอบพูดอยู่เรื่อยว่า "โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก"เห็นใครทุกข์ก็จะใช้ประโยคนี้ปลอบใจเสมอ แต่พอถึงเวลาทำงาน วิธีการบริหารธุรกิจของเขาจะมองโลกในแง่ร้ายเขาจะประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในแง่ลบเสมอ ถ้าแย่ตามที่คิด ธุรกิจก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าดีกว่าที่ประเมินก็ "กำไร" ด้วยวิธีคิดเช่นนี้เขาจึงประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ไม่ว่ามรสุมเศรษฐกิจจะเกรี้ยวกราดเพียงใดก็ตาม
ที่มา : มองโลกง่ายง่าย สบายดี (ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 3) โดย หนุ่มเมืองจันท์ แค่เปลี่ยนมุมมองชีวิต โลกใบนี้ก็มีแต่ "รอยยิ้ม"
มีชายชราคนหนึ่ง เขาทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิตแต่เขานั้นก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่เพรียบพร้อม เขามีลูกชายที่ดีและแข็งแรง และมีม้าที่ดีอยู่ 1 ตัวม้าตัวนี้สามารถทำงานได้ทุกอย่าง ทั้งเดินทาง ขนของ แม้กระทั่งทำนา เพื่อนบ้านของเขาต่างก็ชื่นชมชายชราที่มีพร้อมสรรพ อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆม้าที่แสนจะรู้ใจ และทำงานได้สารพัดอย่างได้เตลิดหนีไปจากคอกของชายชรา แน่นอนว่า เมื่อม้าหายไป ชายชราก็ไม่มีม้าเหลือเลยสักตัว เมื่อเพื่อนบ้านของเขาทราบข่าว ก็มาหาชายชรา และกล่าวว่า ท่านนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ อยู่ดีๆม้าก็มาหายไปเช่นนี้ ชายชราได้ยินก็บอกว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นโชคร้าย หลังจากม้าหายไป 1 สัปดาห์ ม้าของชายชราก็กลับมา มันหิวโหย ไม่ถนัดอยู่ในป่า และได้พาเพื่อนม้ามาอีกถึง 12 ตัว ชายชราจึงมีม้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นจากตัวเดียวเป็น 13 ตัวเลยทีเดียว แน่นอนว่า พอเพื่อนบ้านทราบข่าวก็มายินดีกับชายชรา ท่านนี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านกลับว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าโชคดี 2 เดือนต่อมา บุตรชายคนเดียวของชายชรากำลังจะขี่ม้า ไปซื้อของยังเมืองข้างๆ เมื่อออกจากป่า ม้าก็สะบัดบุตรชายของเขาตกจากหลังม้า ขาหักและชายหนุ่มต้องขาพิการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าว ต่างก็มาแสดงความเสียใจกับชายชรา เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวและเป็นที่พึ่งของชายชรา ท่านนี่ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ชายชราก็ถามเพื่อนบ้านด้วยประโยคเดิมว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือโชคร้าย เวลาผ่านไป 1 ปี ประกาศเกณฑ์กำลังพลคนหนุ่มไปเป็นทหาร ไปรบกับข้าศึก ชายหนุ่มในหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปจนหมดเหลือเพียงเด็ก คนแก่ และผู้หญิง คนหนุ่มคนเดียวที่ไม่ถูกเกณฑ์ไปรบ ก็คือ บุตรชายขาพิการของชายชรา นั่นเอง ครั้งนั้นทัพจีนพ่ายแพ้ ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปรบ ต้องเสียชีวิตทั้งหมด สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับคนในหมู่บ้านเป็นยิ่งนัก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราหามีทางรู้ไม่ว่า เหตุการณ์ไหนเป็นโชคดี หรือเป็นโชคร้ายที่แท้จริง
ที่มา : นิทานจีนก่อนนอนสอนสร้างตัว
สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วค่ะมี่กลับมาประจำอีกแล้วค่ะขอแสดงความยินดีกับพี่,ป้า,น้า,อาทุกท่านที่ได้รางวัลด้วยนะคะ