ธันวาคม 2549

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
ห้องหนังสือ มาอ่านโอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝานกันเถอะ

โอวาทสี่


ของ


ท่านเหลี่ยวฝาน


ตอนที่ 1

ข้อที่หนึ่ง การสร้างอนาคต

พ่อนั้น กำพร้าท่านบิดามาแต่อายุยังไม่ถึง 20 ท่านย่าของลูกในเวลานั้นก็มีอายุมากแล้ว ท่านได้บอกให้พ่อเลิกคิดที่จะเป็นขุนนางเสีย หันมาเรียนแพทย์ดีกว่า ท่านบอกพ่อว่า การเป็นแพทย์นั้น นอกจากจะยึดเป็นอาชีพได้ดีแล้ว ยังจะช่วยคนยากจนได้อีกด้วย ถ้ามีความสามารถดีก็จะเป็แพทย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นความปรารถนาของท่านบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
ต่อมา พ่อพบผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ทีวัดฉืออวิ๋นจื้อ ท่านมีเครายาว มีราศีผ่องใสยิ่งนัก รูปร่างสูงใหญ่ สง่างามราวกับเทพยดา พ่อจึงคารวะท่านด้วยความเคารพ

ท่านพูดกับพ่อว่า เธอจะได้เป็นขุนนางนะ ปีหน้าจะสอบผ่านได้ทั้งสามขั้น ไฉนจึงไม่เรียนหนังสือเล่า
พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟัง แล้วถามชื่อแซ่และที่อยู่ของท่าน
ท่านตอบว่า ท่านแซ่ข่ง เป็นชาวอวิ๋นหนาน ได้เล่าเรียนวิชาโหราศาสตร์อันเป็นตำราดั้งเดิม ถ่ายทอดกันมาโดยมิได้แก้ไขเพิ่มเติมอันใดให้ไขว้เขวเลย ซึ่งเป็นตำราของท่านบรมโหราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ซ้อง พ.ศ. 1503-1670 ท่านผู้เฒ่าข่งต้องการจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่พ่อ พ่อจึงพาท่านมาบ้านเพื่อมาพบท่านย่าของลูก ท่านกำชับให้พ่อต้อนรับท่านผู้เฒ่าให้ดี แล้วทดลองให้ท่านพยากรณ์ดู ปรากฏว่าแม่นยำไปเสียทุกสิ่ง แม้แต่เรื่อง เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ผิดพลาดเลย


พ่อจึงเริ่มเรียนหนังสือใหม่ ก็ท่านลุงของลูก ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อนี่แหละ ท่านได้แนะนำให้พ่อไปเป็นนักเรียนกินนอนที่สำนักเรียนแห่งหนึ่ง
ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยาการณ์พ่อไว้ว่า จะสอบผ่านทั้งสามขั้น ขั้นแรกได้คะแนนมาเป็นที่ 14 ขั้นกลางจะได้ ที่ 71 และขั้นที่สามจะได้ที่ 9 ปรากฏว่าผลออกมาเช่นนั้นจริงๆ
ต่อมาท่านก็พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้ว่า ปีใดจะสอบได้เป็นนักเรียนหลวง ได้ข้าวพระราชทานเป็นจำนวนเท่านั้นถัง ปีใดจะได้สอบขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้ เป็นนายอำเภอ เมื่อเป็นนายอำเภอแล้วสามปีครึ่ง ก็ควรลาออกจากราชการ เพราะอายุ 53 ปี ก็จะสิ้นอายุขัยจะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 เวลาระหว่างตี 1-3 น่าเสียดายจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุล พ่อได้บันทึกไว้ทุกคำ เพื่อกันลืม


ในกาลต่อ ๆ มา คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งก็ยังคงแม่นยำเสมอมา มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านพยากรณ์ไว้ว่าจะได้รับพระราชทานข้าหลวงครบจำนวนหนึ่งแล้วจึงจะได้สอบขั้นสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงนั้นยังไม่ทันที่พอจะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบตามจำนวนที่ท่านพยากรณ์ไว้ พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ไปสอบคราวนี้สอบตก พ่อเริ่มสงสัยในคำพยากรณ์อยู่ในใจ แต่แล้วในปีต่อมา มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เคยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบให้พ่อ ท่านเคยชมพ่อว่า คำตอบทั้ง 5 ข้อของพ่อนั้นเขียนได้ดีเหมือนขุนนางผู้ใหญ่เขียนทูลเกล้าฯถวายความเห็นต่อฮ่องเต้นั่นเทียว ท่านว่า ถ้าคนไม่มีความรู้จริงย่อมเขียนไม่ได้เช่นนี้ ความสามารถของพ่อย่อมจักเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ไฉนจึงจะถูกทำลายอนาคตเสียเล่า ท่านจึงสั่งให้พ่อไปทำงานกับท่าน และให้รับพระราชทานข้าวหลวงย้อนหลัง จนครบจำนวน ที่ขาดไป ปรากฎว่าจำนวนที่ท่านผู้เฒ่าข่งคำนวณไว้พอดี


เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พ่อเพิ่มความเชื่อถือในคำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งยิงขึ้น เพราะอุปสรรคที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ชะตาชีวิตนั้นได้ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็ว จะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างไรก็หนีไม่พ้น พ่อจึงปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยานขวนขวาย ไม่ดิ้นรนที่จะเอาดีไปกว่านี้อีกต่อไป ทำให้จิตใจสงบดียิ่งนัก เมื่อพ่อสอบได้แล้วเช่นนี้ ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง(ปักกิ่งในปัจจุบัน) อยู่ในมหาวิทยาลัยของหลวงหนึ่งปี พ่อแม่ไม่ได้ดูหนังสือหรือตำราเรียนใดๆ อีกเลย เอาแต่นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่จา ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปี พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวงทางใต้(นานกิงในปัจจุบัน)อันเป็นสถาบันสุดท้าย ซึ่งนักศึกษาที่สอบไล่ได้ตามขั้นตอนต่างๆ ในภูมิลำเนาเดิมของตนมาแล้ว จะต้องเข้ามาฝึกฝนเตรียมตัวสอบเพื่อออกรับราชการต่อไป แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไปยังสถาบันนี้ ได้แวะไปที่วัดชีเสียซาน เพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระเสียก่อนพ่อได้นั่งสมาธิกับท่านสองต่อสอง เป็นเวลานานถึงสามวันสามคืนโดยมิได้หลับนอนเลย


พระเถระกล่าวกับพ่อด้วยความแปลกใจว่า อันธรรมดาปุถุชนนั้น จิตใจว้าวุ่นสับสน จึงไม่สามารถบรรลุฌานได้ ส่วนพ่อนั้น ไฉนนั่งสามวันแล้วยังไม่เห็นจิตใจวอกแวกเลย พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังว่า ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้แน่อนแล้ว คิดวุ่ยวายไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำให้สบายไร้กังวลดีกว่า
ท่านอวิ๋นกุเถระหัวเราะแล้วก็ร้องว่า โธ่เอ๋ย นึกว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง


พ่อจึงกราบถามท่านว่า ทำไมจึงว่าพ่อเป็นปุถุชนท่านตอบว่า อันที่จริง คนเรานั้นถ้าจิตใจไม่ว้าวุ่น ทำใจให้สงบได้แล้ว ก็เกือบจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นปุถุชนได้แล้ว แต่คนธรรมดานั้นจิตใจยากที่จะสงบระงับได้ การฟุ้งซ่านนี่เอง ที่ทำให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอำนาจพลังบวกและพลังลบของธรรมชาติ ทำให้ไม่มีอิสระเสรี ต้องขึ้นกับดวงชะตาราศี และการโครจรของดวงดาวบนท้องฟ้าที่โหราจารย์ทั้งหลายได้คิดค้นทำสถิติกันไว้ โหราศาสตร์จึงมีขึ้นด้วยเหตุนี้ ก็มีแต่สามัญชนคนธรรมดาเทานั้นที่จะถูกกำหนดได้ตามวิชาโหราศาสตร์ แต่คนที่ทำความดีมากๆ แล้ว ชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ โหราศาสตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของคนเราหรอก วิชาโหราศาสตร์จึงยึดถือเป็นบรรทัดฐานไปหมดมิได้ เพราะคนดีนั้น ถึงแม้ชะตาชีวิตจะบ่งไว้ว่าไม่ดีอย่างไร แต่พลังแห่งกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนักสามารถพลิกความคาดหมายของโหราศาสตร์ได้ คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ คนอายุสั้นก็กลายเป็นคนอายุยืนได้ในทำนองเดียวกัน คนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ชะตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตมาว่าจะได้ดีมีสุขอย่างไร แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นหนักนัก ย่อมสามารถเปลี่ยนความสุขเป็นความทุกข์ความมีลาภยศ กลายเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้น ได้เช่นกัน ท่านว่าพ่อนั้น ปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรมมายี่สิบปี ไฉนจะไม่ใช่ปุถุชนเล่า


พ่อกราบถามท่านอีกว่า ถ้าเช่นนั้น ขาตาชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือ
ท่านตอบว่า ชะตาชีวิตนั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทำดีชะตาก็ดี คนทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทำดี ถ้าทำแต่ความไม่ดี แม้ชะตาจะดีก็กลายเป้นร้ายไปได้ ในพุทธธรรมก็ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดต้องการลาภยศ ย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดาย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืนย่อมได้อายุยืน หากประกอบแต่กรรมดี ย่อมสมปรารถนาแล พระผู้มีพระภาคทรงกล่าวไว้เช่นนี้


พ่อซักท่านต่อไปว่า ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า หากปรารถนาสิ่งไร ต้องได้สิ่งนั้น ท่านคงหมายถึงสิ่งที่กระทำได้ทางนามธรรมละกระมัง คุณธรรมความดีงามนั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างได้เองโดยไม่ต้องลงทุนไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน แต่ทางรูปธรรรมนั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงและความมั่งคั่งจะแสวงหาได้อย่างไรถ้าไม่มีผู้หยิบยื่นให้


ท่านอวิ๋นกุเถระตอบพ่อว่า ท่านเมิ่งจื่อกล่าวไว้ไม่ผิดหรอก พ่อเองที่เข้าใจคำสอนของท่านผิดไป ท่านลั่กโจ๊วเคยกล่าวไว้ว่า ความสุขความเจริญทั้งมวล เกิดขึ้นที่ใจ ก่อนทั้งสิ้น การแสวงหาใดๆ ก็ตาม ต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน ไม่เพียงแต่จะได้คุณธรรมความดีงามทางธรรมเท่านั้นความสุขความเจริญลาภยศชื่อเสียงเงินทองอันเป็นความดีงามทางโลก ก็จะติดตามมาเอง เพราะฉะนั้น การแสวงหาแต่สิ่งที่ดีงามนั้นย่อมได้สิ่งที่ดีงามตามปรารถนา ในทำนองเดียวกัน หากไม่สำรวจตนเอง ไม่เริ่มต้นทำความดีจากตัวเราเอง กลับดิ้นรนคิดแสวงหาจากภายนอก แม้จะแสวงหามาได้ ก็เป็นเพียงได้ตามชะตากำหนดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้น อาจจะต้องใช้ความพยายามในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา แสวงหาด้วยแรงขับกิเลสตัณหา จึงไม่ทันได้คำนึงถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งสองทางทางธรรมก็เสียหายแล้ว ทางโลกก็เสียหายอีก การแสวงหาจากภายนอกนั้น จึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร


ท่านถามพ่อว่า ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง พ่อก็เล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด ท่านจึงถามพ่อว่าเธอลองทายดูเองสิว่า จะสอบได้เป็นขุนนางหรือเปล่าจะมีบุตรได้ไหม
พ่อคิดหาเหตุผลอยู่นาน โดยสำรวจตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วจึงตอบท่านว่า เห็นทีจะสอบไม่ได้ และก็คงจะไม่มีบุตรอีกด้วย พ่อให้เหตุผลท่านว่า คนที่จะได้เป็นขุนนางจะต้องมีบุญวาสนา ส่วนพ่อนั้น บุญวาสนาน้อย ตนเองก็มิได้สั่งสมกุศลกรรมอันใดไว้ ให้เป็นพื้นฐาน เพื่อเสริมสร้างบุญญาบารมีใดๆ นิสัยของพ่อก็ไม่ดี ไม่มีความอดทน งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ใครทำให้ไม่ถูกใจก็โกรธ ไม่ยอมให้อภัย ใจคอคับแคบ บางครั้งยังอวดดี ว่ามีความรู้มากมาย ยกตนขมท่าน ใจคิดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น คนเช่นพ่อนี้ไม่สมควรมาสอบเพื่อเป็นขุนนางกับเขาเลย


แล้วพ่อก็สาธยายให้ท่านฟังถึงเหตุผลที่คิดว่า ตนเองไม่สมควรมีบุตรจริงดั่งคำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งให้ท่านอวิ๋นกุเถระฟังต่อไปว่า อันธรรมดานิสัยของพ่อนั้น ชอบความสะอาดมากเกินไป ไม่เป็นไปตามทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา โบราณท่านว่าไว้ อันพื้นดินนั้น ยิ่งไม่สะอาดเพียงใด ก็ย่อมเจริญด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด น้ำที่ใสสะอาด มักจะไม่มีปลามาแหวกว่าย ฉันใด พ่อนั้นชอบความสะอาดมากเกินไป จึงย่อมไม่มีบุตร ฉันนั้นนี่เป็นเหตุผลประการที่หนึ่ง
ธรรมชาติสรรค์สร้างสรรพสิ่งให้มีความสมดุล เมื่อให้ชีวิตเจริญเติบโตด้วยดี แต่พ่อมักโกรธ ทำให้ร่างกายและจิตใจเสียดุลอยู่เป็นนิตย์ ย่อมไม่สามารถมีบุตรได้นี่เป็นเหตุผลประการที่สอง


ความเมตตาเท่านั้นที่ค้ำจุนโลกไว้ แต่พ่อนั้น จิตใจขาดความกรุณาปรานี ไม่ยอมลดตนลงช่วยผู้อื่น เต็มไปด้วยอัสมิมานะ(การถือเขาถือเรา ถือดีไม่ยอมลงใคร) ไฉนจักมีบุตรได้เล่า นี่คือเหตุผลประการที่สาม
การพูดมาก ทำให้สูญเสียพลัง พ่ออดพูดมากไม่ได้ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง นี่คือเหตุผลประการที่สี่


ชีวิตต้องอาศัยพลัง ลมปราณ และความมีชีวิตชีวาอันเกิดจากชีวิตินทรีย์ที่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมอิงอาศัยกันอยู่สามสิ่งนี้เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน คอยผดุงชีวิตไว้ให้ดำรงคงอยู่ พ่อดื่มเหล้ามาก เผาผลาญร่างกายตนเองอยู่เสมอ ทำให้ปัจจัยทั้งสามนี้ลดน้อยถอยลง จักมีบุตรได้อย่างไร แม้จะมีได้ บุตรก็จะไม่แข็งแรง และอายุก็คงไม่ยืน นี่คือเหตุผลประการที่ห้า
ในยามกลางวันคนเราไม่ควรนอน ในยามกลางคืนก็ควรนอนพักผ่อนให้สบาย แต่พ่อไม่ชอบนานกลางคืนชอบนั่งเข้าที่เป็นสมาธิอยู่ตลอดคืนได้เสมอ ไฉนจักมีบุตรได้เล่า นี่เป็นเหตุผลประการที่หก ที่ทำให้พ่อคิดว่าชาตินี้พ่อจะมีบุตรไม่ได้สมจริงดั่งคำทำนายเป็นแน่แท้ และนอกจากนี้แล้วก็ยังมีสิ่งที่พ่อทำผิดๆ ไว้อีกมากมาย แม้จะพูดต่อไปก็คงไม่รู้จักหมดเป็นแน่


ท่านอวิ๋นกุเถระฟังพ่อพูดเสียยืดยาวแล้ว จึงกล่าวว่าไม่เพียงแต่พ่อไม่สมควรจะเข้าสอบเป็นขุนนางเท่านั้นยังมีอีกหลายๆ สิ่งที่พ่อก็ไม่สมควรจะได้รับด้วย คนในโลกนี้ แม้จะอยู่ในภาวะแวดล้อมเดียวกัน ในเวลาที่ไม่ต่างกัน แต่บางคนได้รับแต่สิ่งดีมีสุข บางคนกลับได้รับแต่ความยากจนเป็นทุกข์ มีความแตกต่างกันมากมายผู้รู้ย่อมเข้าใจดีว่า นั่นล้วนแต่เป็นผลที่เกิดจากใจตนเองทุกคนสร้างเหตุที่จะทำให้เกิดผลดีผลชั่วจากใจตนเองทั้งสิ้น ผู้ไม่รู้ย่อมถือว่าเป็นชะตาชีวิต ที่ลิขิตมาแล้วอย่างแก้ไขไม่ได้ หารู้ไม่ว่าก็ทุกสิ่งเกิดจากใจตนเองแล้วทำไมตนเองจะแก้ไขไม่ได้เล่า คนที่ทำบุญให้ทานมากมายนั่นเขากำลังสร้างเหตุปัจจัยเพื่อความเป็นเศรษฐีมีเงินพันชั่งร้อยชั่ง ตามความมากน้อยที่เขาทำแล้ว บางคนจนถึงขนาดอดตาย นั่นก็เพราะเขาสร้างเหตุปัจจัยมาเช่นนั้น มีความตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ยอมเกินเลยใครทรมานกักขังสัตว์ให้อดอยากและอดตายมาแล้ว ผลจึงเกิดแก่เขาเช่นนั้น หาใช่ฟ้าดินเกิดความลำเอียงไม่ ฟ้าดิน ก็คือ ธรรมชาติ ย่อมปรานีคนดี ลงโทษคนชั่ว เหมือนดั่งที่ปรานีต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร คอยหลั่งฝนมาให้ความชุ่มชื้น คอยส่องความสว่างมาให้ความเจริญเติบโต และธรรมชาติก็จะดุดันกับความไร้คุณธรรม กระหน่ำทั้งฝนพายุและสายฟ้า มนุษย์ต้องตายไปท่ามกลางความดุดันของธรรมชาติก็มีไม่น้อย ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นกับความดีความชั่วในตัวบุคคล ใครดีก็จะได้รับการส่งเสริม ใครเลวก็ลงโทษเสียบ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน


มีความเชื่อกันมาแต่โบราณกาลว่า การจะมีบุตรหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับเหตุผลเดียวกัน ผู้ที่ทำความดีติดต่อกันมาแล้วร้อยชาติ ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดีสามารถสืบสกุลให้ยืดยาวได้ถึงร้อยชั่วคน ผู้ที่ทำดีมาสิบชาติติดต่อกันก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดีสามารถสืบสกุลให้ยืดยาวได้ถึงสิบชั่วคน ผู้ทำดีติดต่อกันเพียสองสามชาติ ก็ย่อมจะมีบุตรหลานสืบต่อไปสองสามชั่วคนเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีบุตรเลยก็จะเห็นได้ว่า ไม่เคยสั่งสมคุณธรรมความดีที่เป็นชิ้นเป็นอันมาบ้างเลย
นอกจากบางคนเท่านั้นที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว คือเป็นผู้ที่ไม่หนี้กรรมกับผู้ใดมา


ธรรมชาติแห่งการมีบุตรธิดา ถ้ามองตามทัศนะของกฎแห่งกรรมแล้ว ก็คือการเปิดหน้าบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ขึ้นมาสะสางกันอีกวาระหนึ่ง บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้ ก็ทำตัวดื้อรั้นอวดดี ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย จนบิดามารดาไม่มีความสุขตลอดเวลา ส่วนบุตรธิดาที่เกิดมาใช้หนี้บุญคุณที่ติดค้างกันอยู่ในภพก่อนๆ ก็มีความกตัญญกตเวที ว่านอนสอนง่าย เป็นที่พื่งทั้งทางกายและทางใจของบิดามารดา นำความปลื้มปีติความภาคภูมิใจมาให้บิดามารดามีความสุขความอิ่มใจอยู่เสมอ กุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีตล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตต้องเวียนว่ายมาพบกันอีกตามกระแสของวิบากกรรมมาเป็นพ่อแม่ลูกกันตามกรรมดีกรรมชั่ว ที่แต่ละคนได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต ผู้ใดมิได้ก่อหนี้กรรมไว้กับใครเลย ก็ย่อมไม่มีผู้ใดตามมาทวงหนี้หรือมาใชหนี้ ก็ทำให้ไม่มีบุตรธิดาในชาติปัจจุบัน
ซึ่งในกรณีเช่นนี้มีน้อยมาก ท่านเหลี่ยวฝานจึงมิได้กล่าวไว้(ผู้ถอดความ)


แล้วท่านก็บอกพ่อว่า เมื่อพ่อรู้ตัวเองว่าไม่ดีอย่างไรบ้างแล้วเช่นนี้ และเข้าใจความเป็นไปของฟ้าดินแล้วไซร้ก็จงรีบเร่งสั่งสมคุณธรรมความดีงามทันที ไม่คอยแต่จับผิดผู้อื่น สามารถให้อภัยได้ แม้ความผิดนั้นจะเทียบเท่าภูเขาก็ตาม มีขันติอดทนต่อความไม่พอใจ ไม่โกรธง่าย มีแต่ความเมตตากรุณา ไม่พูดมาก ไม่ดื่มสุรา รักษาสุขภาพให้ดีทั้งกายและใจ สิ่งที่แล้วมาแล้ว ก็ให้คิดว่าตายไปแล้วเมื่อวานนี้ แล้วเริ่มต้นสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมาแทนที่ เหมือนเกิดใหม่ในวันนี้ มีชีวิตใหม่เพื่อสร้างสมคุณธรรมที่ดีใหม่ ไม่ใช่ชีวิตเก่าที่มีแต่เลือดเนื้อและเต็มไปด้วยความเป็นปุถุชน สร้างชีวิตให้หลุดพ้นจากความครอบงำของกิเลสตัณหาอุปาทาน สามารถพัฒนาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วชีวิตก็จะมีคุณค่าผิดแผกแตกต่างจากชะตาชีวิตที่ได้กำหนดไว้แล้วในคำพยากรณ์


ก็ร่างกายที่กอปรด้วยเลือดเนื้อนี้ ยังเป็นไปตามลิขิตของดินฟ้า ทำไมกับชีวิตที่กอปรด้วยคุณธรรมความดีงามฟ้าดินจะไม่หยั่งรู้ได้หรือ โชคชะตาที่ฟ้าดินลิขิตมา มนุษย์ยังพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง แต่เคราะห์กรรมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เองก็จะหนี้ไม่พ้นเลย มีผู้เขียนโคลงบทหนึ่งไว้ว่า
มนุษย์ต้องคอยสำรวจตนเองเสมอ เพื่อจักได้ดำเนินชีวิตไปตามครรลองคลองธรรม
เมื่อกระทำแต่ความดีงามแล้วไซร้ ไฉนจักไม่ได้ความดีอันเป็นผลเล่า


ความดีความชั่วจึงล้วนแต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์เองทั้งสิ้น การที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ให้นั้น เป็นเพียงชะตาชีวิตที่ลิขิตจากฟ้าดิน ย่อมมีทางแก้ไขได้จงรีบสร้างคุณธรรมความดีงาม เริ่มด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว เสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังการตอบแทน อย่ามุ่งหวังแต่ชื่อเสียง ทำอย่างเงียบๆ การปิดทอบหลังองค์พระปฏิมานั้น กลับได้บุญมากกว่า ถ้ามีคนรู้เห็นกันมาก พากันสรรเสริญอนุโมทนาสาธุการความมีชื่อเสียงก็จะแบ่งความดีงามไปเสียมาก บุญก็จะน้อยลงเพราะได้ผลในปัจจุบันไปเสียแล้วบ้าง แต่ถ้าทำแล้วไม่โอ้อวดในความดีนั้น ผลบุญก็จะเต็งดุจวารีที่เปี่ยมฝั่ง ใครเล่าจะแย่งหรือแบ่งบุญของเราไปได้ การทำดีเช่นนี้มีหรือจะไม่ได้เสวยผลแห่งความดีนี้


คัมภีร์โบราณเชื่อว่า เอ้กเก็ง ก็ได้เน้นถึงความดีความชั่วไว้อย่างละเอียดลออ สอนคนดีให้รู้จักหลบหลีกจากความชั่ว สั่งสมแต่กรรมดี เพื่อจักได้ผลดีตอบแทนหากว่าลิขิตของชะตาชีวิตเป็นสิ่งแน่นอนแล้วไซร้ จักหลีกเลี่ยงกรรมชั่วสั่งสมแต่กรรมดีได้อย่างไร ในหน้าแรกของคัมภีร์ก็กล่าวไว้ว่า ครอบครัวใดสั่งสมแต่ความดีงาม ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะได้เสวยผลแห่งความดีนั้น แม้แต่ลูกหลานเหลนโหลนก็จะพลอยได้เสวยผลแห่งกรรมดีนั้นด้วย วิเคราะห์ดูให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่าชะตาชีวิตไม่สามารถควบคุมมนุษย์ไว้ได้เสมอไปจิตใจมนุษย์สำคัญกว่า จิตใจที่ดีงาม ย่อมกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม และได้รับผลที่ดีงม ผู้มีจิตใจทราม ย่อมกระทำแต่สิ่งที่เลวทราม และได้ผลที่ทราม ท่านถามพ่อว่า เชื่อท่านหรือไม่เล่า
พ่อเชื่ออย่างมาก เพราะท่านพูดมีเหตุผล พ่อจึงคุกเข่าลงกราบท่าน เพื่อแสดงว่ารับคำสั่งสอนด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วพ่อไปนั่งลง ณ หน้าที่บูชาพระรัตนตรัย สารภาพบาปในอดีตต่อพระพักตร์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหมดเปลือก แล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง ต่อนี้ไปจะเริ่มกระทำความดีให้ครบสามพันครั้งเพื่อตอบแทนพระคุณฟ้าดินและบรรพชนของพ่อ


ท่านอวิ๋นกุเถระเห็นพ่อมีความตั้งใจทำความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัวอย่างบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาให้พ่อดูแล้วสอนพ่อให้จดบัญชีพฤติกรรมของตนเองแต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่เข้าข้างตนเอง ถ้าเป็นกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จดไว้อีกข้างหนึ่งเหมือนบัญชีรับจ่าย ต้องนำกรรมชั่วไปลบกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้งโดยไม่มีกรรมชั่วที่ไม่ได้หักกลบลบหนี้แล้ว จึงจะนับว่าทำความดีได้ครบสามพันครั้งต้องนำบัญชีมาทบทวนดูทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้ว่าในวันหนึ่งๆ เราได้ทำอะไรไปบ้าง ดีมากกว่าชั่ว หรือชั่วมากกว่าดี อะไรผิดอะไรถูก จักได้แก้ไขปรับปรุงตนเองไม่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก กรรมชั่วเบาๆ ก็ต้องนำมาลบกรรมดีออกเสียหนึ่งครั้งกรรมชั่วหนักๆ ก็ต้องลบความดีออกหลายๆ ครั้ง จนกว่าความดีจะครบสามพันครั้งดังที่ได้อธิษฐานไว้ แล้วสอนพ่อสวดมนต์บริกรรมคาถา เพื่อช่วยให้มีจิตมั่นคง โดยอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะ เพื่อให้คำอธิษฐานหนักแน่นสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน


ท่านยังเล่าให้พ่อฟังต่อไปว่า ผู้ที่ชำนาญการวาดฮู้(ลงเลขลงยันต์)ได้กล่าวไว้ว่า หากมนุษญ์ไม่รู้วิธีวาดฮู้ได้ถูกต้องแล้วไซร้ จะถูกผีสางเทวดาหัวเราะเยาะเอาได้เพราะฉะนั้นการวาดฮู้ก็ต้องหัดให้เป็นไว้ เคล็ดลับของวิชานี้ อยู่ที่ต้องทำใจให้เป็นเอกัคตาให้ได้เท่านั้น เมื่อเริ่มจับพู่กัน ก็ต้องหยุดความรู้สึกนึกคิดใดๆ ให้หมด ไม่วอกแวก ทำจิตให้นิ่ง รวมพลังจิตทั้งหมดพุ่งตรงไปยังปลายพู่กัน แล้วจรดปลายพู่กันลงไปที่กระดาษ ผ้า หรือ แพรก็ได้ ทิ้งน้ำหนักปลายพู่กันให้แน่นิ่งเป็นการเบิกทวารฟ้าดินด้วยพลังจิตที่พุ่งกระทบอย่างแหลมคม ฮู้จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อยู่ที่จุดเริ่มต้นนี้เอง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องเขียนให้จบขบวนการโดยไม่หยุดชะงัก ไม่ต่อเติมไม่ยกพู่กันขึ้น ต้องวาดให้ต่อเนื่องเป็นเส้นเดียวกัน จิตเป็นเอกัคตาตลอดแนวทางที่พู่กันตวัดไปมา ฮู้นี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ไว่ว่าจะอธิษฐานใดๆ ต่อฟ้าดิน ก็จะสัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนและรวดเร็ว


ผู้ที่มีกิเลสธุลีหนาแน่นในใจ เหมือนตกอยู่ในความมืดดั่งอยู่ในครรภ์มารดา ไม่สามารถมองเห็นอะไรอื่นเมื่อจรดปลายพู่กันลงไปครั้งแรก ก็เท่ากับได้เจาะความมืดให้แสงสว่างส่องเข้าไปได้ และเมื่อตวัดพู่กันไปด้วยจิตอันแหลมคมเป็นสมาธิอยู่นั้น ก็เป็นการพุ่งพลังจิตไปตามพู่กันนั้น โดยมีแสงสว่างและชาดในพู่กันเป็นสื่อนำพลังจิตไป พลังจิตประทับอยู่ตรงไหนความศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดที่นั่น
การบริกรรมก็ต้องทำสม่ำเสมอ ขาดไม่ได้เช่นกันต้องบริกรรมจนแม้ปากไม่บริกรรมแล้ว แต่ใจยังคงบริกรรมอยู่ บริกรรมจนไมีรู้สึกว่า ตัวเราเป็นผู้บริกรรมเพราะมนต์ก็ดี การบริกรรมก็ดี ตัวเราผู้บริกรรมก็ดี ได้ผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียแล้ว จนแยกไม่ออกเมื่อใด เมื่อนั้น การบริกรรมก็ศักดิ์สิทธิ์


ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า อันว่าอายุยืนหรืออายุสั้น หามีความแตกต่างกันไม่ ให้หมั่นฝึกฝนตนเองไปจนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้นคือวันที่เราจะได้พบความจริงว่า ใดๆ ในโลกนี้ หามีความแตกต่างกันไม่ ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมที่มนุษย์สมมุติกันขึ้นมา ผู้ที่ฝึกฝนตนเอง จนไม่เห็นความแตกต่างของสภาวะธรรมเมื่อใดผู้นั้นก็เข้าถึงสภาวะธรรมเมื่อนั้น และไม่ถูกความไม่รู้ไม่เข้าใจหลอกหลอนเบียดเบียน หลุดพ้นจากความร้อยรัดของกิเลสตัณหาอุปาทานได้หมดสิ้น
ถ้าคิดโดยผิวเผิน ก็จะรู้สึกแปลกใจ เพราะความอายุสั้นและอายุยืนนั้น แตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ท่านพูดไว้ไม่ผิดเลย ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนเป้นสภาวธรรมหนึ่งๆ เท่านั้น มนุษย์มักจัดเข้าพวกกันบ้าง แยกประเภทให้บ้างจนดูสับสน สลับซับซ้อนไปหมด ธรรมดาทารกที่เกิดมาใหม่ๆ นั้น หารู้ไม่ว่าอายุสั้นอายุยืนมีความหมายอย่างไรกัน ต่อเมื่อเติบโตแล้ว จึงสามารถแยกแยะความหมายเลือกคุณค่าของสรรพสิ่งโดยคำสอนของผู้ใหญ่บ้าง จิตดั้งเดิมเป็นเช่นนั้นบ้าง ตอนนี้เองผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วของเด็กนั้น ก็จะเริ่มมาให้ผล จึงได้เห็นความอายุสั้นบ้างอายุยืนบ้าง ความแตกต่างจึงบังเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้


ฉะนั้น ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างระหว่างความรวยกับความจน ความสุขกับความทุกข์ ความตกต่ำกับความรุ่งเรือง หรือความมีอายุยืนกับอายุสั้น ก็จะสามารถสร้างสรรค์ชีวิตให้เป็นไปตามตวามต้องการของเราได้
ถ้าเราไปให้ความแตกต่างกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อนแล้วเราจะไม่สามารถสร้างชีวิตให้ดีตามความต้องการของเราได้เลย
จะยกตัวอย่างให้ดู เด็กสองคน คนหนึ่งเกิดมาเป็นลูกคนรวย อีกคนเกิดมาเป็นลูกคนจน ถ้าเด็กรวยคิดว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่นเพราะความรวยกว่าผู้อื่นแล้วไซร้ก็จะเกิดความลำพอง ถือเงินเป็นอำนาจบาตรใหญ่ เที่ยวระรานข่มเหงเอาแต่ใจตนเอง ส่วนลูกคนจนนั้น ถ้าคิดว่าตนเองยากจนไม่มีเงินเหมือนลูกคนรวย ก็จะมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อยากได้อะไรไม่ได้ดั่งใจ ความกดดันก็จะเป็นแรงขับให้เริ่มฉกชิงวิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย จนถึงปล้นจี้ฆ่าเจ้าทรัพย์ รุนแรงขึ้นทุกที แม้จะต้องโทษก็ไม่กลัว ได้กินข้าวหลวงสบายไปเสียอีก


ถ้าเราแยกแยะความรวยความจนเช่นนี้ ก็จะเป็นคนดีไปไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่คิดว่าเรารวย จะทำอะไรก็ระมัดระวัง ไม่ให้กระทบกระเทือนถึงผู้อื่น คิดแต่จะช่วยเหลือเจือจานไปทั่วหน้า ใช้เงินที่ตนเองมีมากให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่น้อย อาศัยความรวยที่ตนเองได้เปรียบผู้อื่นโดยสภาวธรรม มาเกื้อกูลผู้อื่นที่มีน้อยถึงกับขาดแคลนตามสภาวธรรม ความเมตตากรุณาที่เกิดจากความรู้จริงในสภาวธรรมนี้ ก็จะหล่อหลอมให้ช่องว่างระหว่างความรวยความจนนั้นปิดสนิท ไม่สามารถเกิดความแตกต่างได้เลย ส่วนเด็กที่เกิดมายากจนอันเป็นสภาวธรรมหนึ่งนั้น ถ้าไมให้ความแตกต่างในความรวยความจนแล้ว ก็จะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้จักขยันหมั่นเพียร สันโดษในความเป็นอยู่ ซื่อตรงในความประพฤติ รู้จักใช้แรงกายช่วยเหลือผู้อื่นแทนแรงเงินที่ตนขาดแคลน ไม่คอยคิดที่จะให้ผู้อื่นมาช่วยตน แต่ไม่รังเกียจที่จะช่วยผู้อื่น ตังหน้าทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ อดออมถนอมตน ไม่นานนัก คนจนก็จะกลายเป็นคนรวย คนรวยก็จะไม่จน ถ้ามีนิสัยเหมือนเด็กทั้งสองคนนี้เมื่อถึงวันนั้นความแตกต่างจักมีได้อย่างไร


แม้อายุสั้นอายุยาวก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตได้ลิขิตให้เรามีอายุสั้น เราก็จะไม่พะวงถึงความตายตั้งหน้าประกอบกรรมดี ไม่ใช่อยู่รอความตายไปวันหนึ่ง ๆ ผู้ที่ไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตได้ลิขิตมาให้อายุยืน ก็จะไม่ทะนงตนว่ายังมีชีวิตอยู่อีกยาวนาน เกิดความประทาทเกียจคร้านที่จะประกอบกรรมดี ผัดวันประกันพรุ่ง ดื่มสุราหานารี เล่นพาชีกีฬาบัตร เผาผลาญชีวิไปทุกวันๆ อายุจักยืนนานไปได้อย่างไร
ความเกิดความตายเป็นสิงสำคัญที่สุดของมนุษย์ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งที่กล่าวมาแล้วไซร้ เราจะเกิดในสภาวธรรมใดก็ตาม ย่อมจักดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยจิตใจที่ปราศจากความกดดัน รู้จักดำรงชีวิตด้วยดีตายดี และไปเกิดในสภาวธรรมที่ดีต่อไป


ทำไมหรือ
เพราะความชั่วร้ายมิได้อยู่ที่ความรวยความจน มิได้อยู่ที่ความมีอายุสั้นหรือยาว ความสุขความทุกข์นั้นยอมขึ้นอยู่ที่เราจะสามารถประกอบคุณงามควมดีได้มากน้อยเท่าใดต่างหากเล่า
การฝึกฝนตนเองให้รู้จักประกอบกรรมทำดีนั้น ย่อมเป็นการสั่งสมบุญบารมีโดยแท้ เราจะต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเราเอง มีสิ่งใดผิดพลาดก็พยายามแก้ใขเหมือนดั่งหมอที่พยายามรักษาคนไข้ให้หายจากโรคฉะนั้น การสั่งสมบุญบารมีต้องพยายามอยู่ทุกขณะจิต คอยทำค่อยไป ไม่หวังผลจนเกินกำลัง ไม่หย่อนยานจนไม่ก้าวหน้า เมื่อจิตได้รับการอบรมที่ดี บ่มใจจนได้ที่แล้วนั่นคือความสำเร็จที่จะได้รับในการประพฤติปฏิบัตธรรม


ท่านบอกกับพ่อว่า จิตนั้นเกิดดับอยู่ทุกขณะ ขอให้หมั่นบริกรรมอย่าให้ได้หยุดยั้ง จะขาดการสืบต่อ เมื่อบริกรรมจนกิดคามชำนาญแล้ว ก็จะกลายเป้นนิสัยไม่ว่าปากจะบริกรรมหรือไม่ จิตก็จะทำไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตดิ่งเป็นเอกัคตาแล้วไซร้ ย่อมรวมมนต์คาถาที่บริกรรม ตัวคนบริกรรรมและจิตที่บริกรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกออกจากกัน เมื่อนั้นการบิรกรรมก็จะประสบความสำเร็จทนที อธิษฐานไว้เช่นไรก็จะสมปรารถเช่นนั้น


พ่อนั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า “เสวียห่าย” ในวันนั้นพ่อเปลื่ยนชื่อใหม่ว่า เหลี่ยวฝาน เพราะพ่อรู้ซึ้งแล้วว่า การสร้างอนาคตนั้นจะต้องเริ่มที่ตนเอง มิใช่รอคอยโชคชะตามาผลักดันให้เป็นไปตามยถากรรม พ่อจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนให้ได้ ไม่ยอมตกอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์อีกต่อไป นี่คือความหมายในชื่อใหม่ของพ่อ ตั้งแต่นั้นมา พ่อสำรวมระวังบทบาทของกายวาจาใจอยู่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ทำให้ผิดแผกไปกว่าแต่ก่อนมาก ความมักง่าย ตามใจตนเอง ความไม่สำรวมอินทรย์ได้ลดน้อยลง มีแต่ความระแวดระวังตั้งสติไม่ประมาท ดุจดั่งเตรียมพร้อมตั้งรับภยันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาพ่อฉะนั้น แม้จะอยู่ในที่มืดหรือในที่รโหฐานก็ยังเกรงว่าผีสางเทวดาคอยจ้องจับตามองพ่ออยู่ ต่อหน้าและลับหลังคนจึงประพฤติตนไม่ต่างกัน หากมีผู้ใดแสดงความไม่พอใจพ่ออย่างไร วิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพียงใด พ่อกลับรับฟังได้โดยดุษณี ไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใดอีกเลย


เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี พ่อได้โอกาสเข้าทำการสอบไล่อีกครั้ง คราวนี้ได้ที่หนึ่ง พลิกความคาดหมายของท่านผู้เฒ่าข่ง ที่พยากรณ์ไว้ว่าจะสอบได้ที่สามท่านว่าหลังจากสอบครั้งนี้แล้ว ต่อไปจะสอบไม่ได้อีกแต่เมื่อพ่อไปสอบ ก็สอบได้อีก เป็นอันว่าคำพยากรณ์ไม่สามารถกุมวิถีชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
แต่การทำความดีนั้น มิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้ สำรวจดูแล้วก็พบข้อบกพร่องมากมาย เช่นไม่มีความอาจหาญพอที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย บางทีจิตใจลังเล ไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไปบ่นว่าไป อดติเตียนเสียมิได้ ปกติก็ยังมีสติความคุมตนเองดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย ความประพฤติดั่งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีก คะแนนของกรรมดี ถูกกรรมชั่วลบไปเสียมาก ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 11 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.2112-พ.ศ.2122 จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง


บังเอิญขณะนั้น พ่อไปเที่ยวนอกด่านกับเพื่อน จึงมิได้ประกอบพิธีอุทิศบุญกุศลดังที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้จนกระทั่งรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง พ.ศ.2123 เมื่อกลับมาทางใต้แล้วจึงไปนิมนต์ท่านซิ่งคงและท่านเฮว่ยคง ซึ่งล้วนเป็นพระเถระที่ทรงคุณวิเศษ มาประกอบพิธีอุทิศกุศลผลบุญทีได้เพียรทำต่อเนื่องมาได้รวมสามพันครั้งตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ครั้งนี้ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. 2124 พ่อก็ได้เจ้ามา จึงตั้งชื่อให้ว่า “เทียนชี่” แปลว่า ฟ้าประทาน


เวลาใดที่พ่อได้กระทำความดีทางกายกรรมก็ดีมโนกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี พ่อก็จะใช้พู่กันบันทึกไว้ทันทีแต่แม่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น เมื่อได้ช่วยพ่อกระทำความดีตรงใด ก็ใช้ก้านขนห่าน จิ้งชาดกดวงไว้บนปฏิทิน บางวันให้ทานคนยากจนหลายครั้ง ปล่อยสัตว์มีชีวิตมาก วันหนึ่งๆ แม่เจ้าวงไว้ถึงสิบกว่าวงด้วยกัน เพียงสิบปีกว่าก็ทำได้ครบสามพันครั้งอีก คราวนี้ พ่อนิมนต์พระเถระรูปก่อนๆ มาทำพิธีอุทิศบุญกุศลที่บ้านเราเอง และเริ่ม ตั้งจิตอธิษฐานขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ต่อมาอีกสามปี พ่อก็สอบได้ และได้เป็นายอำเภอในปีนั้นเอง ประมาณ พ.ศ. 2129(ประมาณ ค.ศ. 1586)
พ่อได้ทำสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ให้ชื่อว่าสมุดบริหารใจตอนเช้า อันเป็นเวลาที่พ่อนั่งชำระความ พ่อก็ให้คนนำสุมดนี้มาวางไว้บนบัลลังก์ด้วย ในแต่ละวัน พ่อชำระคดีไว้อย่างไรบ้าง ก็จะบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้อย่างละเอียด เพื่อไว้ตรวจสอบดูว่าจะมีอคติในการชำระความอย่างไรบ้างหรือไม่ มีความยุติธรรมเพียงพอไหมให้ความเมตตาปรานีเพียงพอไหม เพื่อจะได้ไว้แก้ไขในวันต่อไป พอตกลางคืน พ่อก็ตั้งโต๊ะที่กลางลานบ้านพ่อแต่งตัวเต็มยศเพื่อแสดงความเคารพต่อฟ้าดิน แล้วจุดธูปเทียนบูชาฟ้าดิน คุกเข่าลงอ่านบันทึกนั้น แล้วเผาถวายฟ้าดินหนึ่งชุด เก็บไว้หนึ่งชุด ที่พ่อทำเช่นนี้ ก็เพราะพ่อเห็นตัวอย่างอันดีงามนี้มาจากขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ้อง ที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนด้วยความเคารพอย่างสูงว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของท่านเท่ากับชีวิตของท่านเอง ไม่ยอมสยบต่อขุนนางกังฉิน ดูแลความทุกข์สุขของราษฎรและขุนนางใหญ่น้อยอย่างไม่กลัวตายถ้าการฉ้อราษฎร์บังหลวง มีการอาศัยหน้าที่หรืออิทธิพลก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านหรือขุนนางผู้น้อยแล้วไซร้แม้ผู้นั้นจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้สักเพียงไรก็ตาม ท่านก็ไม่เกรงกลัว เป็นต้องนำหลักฐานทูลเกล้าฯ ถวายฮ่องเต้ให้ได้รับโทษานุโทษจงได้ เมื่อท่านสิ้นอายุขัยแล้ว จึงได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงส่ง ได้รับสถาปนาเป็นที่ชิงเชี่ยงกงหมายถึงผู้ที่กราบทูลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ใจ พ่ออ่านชีวประวัติอันเกริกเกียรติของท่านแล้วประทับใจมาก จึงถือเป็นตัวอย่างอันดีงามที่จะต้องปฏิบัตตามให้ได้ เพื่อป้องกันการชำระความของพ่อมิให้ด่างพร้อยเสียความยุติธรรมไปได้พ่อจึงกระทำเช่นนี้ทุกคืน


แม่ของเจ้าแสดงความวิตกกังวลให้พ่อฟังว่า แต่ก่อนนี้อยู่บ้านเราเองก็ช่วยกันทำบุญทำทาน มีโอกาสประกอบกรรมดีมาก ไม่กี่ปีก็ได้ครบสามพันครั้ง แต่ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่ราชการ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับคนยากจนเหมือนแต่ก่อนความดีหนึ่งหมื่นครั้ง เมื่อใดจะทำสำเร็จได้เล่า


พ่อก็ได้แต่รับฟัง ในคืนวันนั้น จะว่าบังเอิญหรือ ไม่หนอ พ่อฝันเห็นเทวดาองค์หนึ่ง พ่อจึงปรับทุกข์กับท่านถึงเรื่องที่แม่เจ้าวิตกกังวล ท่านบอกกับพ่อว่า พ่อนั้นไม่รู้ตัวเลย พ่อได้ทำความดีครบหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว เพียงแต่ลดภาษีข้าวให้แก่ราษฎรทั้งหมดที่อยู่ในความปกครองของพ่อโดยทั่วหน้ากัน การบรรเทาภาระอันหนักของราษฎร เป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะทำให้ราษฎรเป็นสุขขึ้น พ่อตื่นขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่า พ่อได้ทำไปเช่นนั้นจริงๆ เพราะสงสารราษฎรที่ต้องเสียภาษีหนักเกินไปทำไมเรื่องราวเหล่านี้ซึ่งพ่อเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ล่วงรู้ถึงเทวดาฟ้าดินได้ และก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำพียงแค่นี้น่ะหรือ ก็เป็นความดีได้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง บังเอิญท่านฝานอวี๋ย์เถระมาจากภูเขาอู่ถายซาน พ่อจึงกราบถามท่านเพื่อให้หายสงสัย


ท่านตอบว่า กุศลกรรมใดก็ตาม ถ้าทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ ไม่หวังตอบแทนเป็นส่วนตัวแล้วไซร้แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำหมื่นครังได้ทีเดียว การที่พ่อเห็นความทุกข์ยากของราษฎร หาทางแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบา ความสุขที่ราษฎรทั้งอำเภอได้รับยอมเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ พ่อจึงเอาเงินเดือนของพ่อเดือนนั้นถวายแก่ท่านฝานอวี๋ย์เถระ เพื่อให้ทำอาหารมังสวิรัติถวายพระภิกษุในวัดของท่าน ซึ่งมีประมาณหนึ่งหมื่นรูป และอุทิศกุศลกรรมทั้งมวลไปตามที่อธิษฐานเอาไว้


ท่านผู้เฒ่าข่งเคยพยากรณ์พ่อไว้ว่า พ่อจะมีอายุอยู่ได้ 53 ปีเท่านั้น พ่อก็มิได้อธิษฐานให้ตนเองมีอายุยืนยาวแต่อย่างใด แต่ปีนั้นพ่อก็ไม่เป็นไร อยู่มาจนบัดนี้พ่อมีอายุได้ 69 ปี แล้ว โบราณท่านกล่าวไว้ว่า ฟ้าดินนั้นสุดที่จะหยั่งรู้ได้ ชะตาชีวิตจึงเอาแน่ไม่ได้ ชีวิตของใคร คนนั้นก็ต้องสร้างอนาคตเอาเอง จะให้คนอื่นสร้างให้หาได้ไม่ คำพูดนี้เป็นความจริงที่พ่อพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง พ่อจึงเชื่อมั่นด้วยความประจักษ์แจ้งแก่ใจของพ่อเองว่า ความสุขความทุกข์ ล้วนแต่เกิดจาการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว เป็นคำที่ท่านนักปราชญ์โบราณกล่าวกันต่อๆ มาจนถึงบัดนี้ ถ้าใครยังเชื่อว่าสุขทุกข์เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน แก้ไขไม่ได้แล้วไซร์ แม้ผู้นั้นจะแสนฉลาดปราดเปรื่องอย่างไรเขาก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ หาความก้าวหน้ามิได้เลย


สำหรับตัวของลูกนั้น พ่อก็ยังไม่ทราบว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ ขอให้ลูกจำไว้ว่า แม้ลูกจะมีบุญวาสนาชะตาสูงก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีวันที่ตกต่ำลงได้ ถ้าลูกไม่รู้จักการระวังตัว ยามใดที่ลูกรู้สึกชีวิตมีแต่ความราบรื่นปลอดโปร่งสะดวกสบายไปทุกสิ่ง ลูกก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อาจจะมีวันที่ต้องประสบความยุ่งยากเดือดร้อน ถ้าลูกไม่ตั้งตนอยู่ในศึลในธรรมอยู่เสมอ ยามใดทีลูกมีความเหลือเฟือเงินทองไหลมาเทมามีความสมบูรณ์พูนสุขทุกประการก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกจะต้องตกระกำลำบาก ระหกระเหินแม้จะหาที่ค้างกายสักคืนก็ยังยากหากลูกไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควร ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นยามใดที่มีคนยิมชมชอบ เคารพนบนอบต่อลูก ลูกก็จะต้องยิ่งทำตนให้เป็นที่น่าเคารพยิ่งๆ ขึ้น ถ่อมเนื้อถ่อมตัวด้วยความจริงใจ มิใช่เสแสร้งแกล้งทำ ปากอย่างใจอย่างอวดดีวางอำนาจ ยามใดที่ลูกได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ลูกก็อย่ายึดมั่นในโลกธรรมนั้นว่าจะแน่นอน เสมอไป ต้องเตือนสติตนเองอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งยศศักดิ์ชื่อเสียง เงินทองและความสุขทั้งมวลอาจจะพังพินาศไปในพริบตาเดียวก็ได้ ถ้าลูกไม่หมั่นประกอบความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้ลูกจะมีความรู้ความสามารถเพียงใด ก็จงอย่าทะนงตนว่าใครก็สู้ไม่ได้ ลูกจะต้องหมั่นฝึกฝนเพื่อให้ความรู้นั้นแตกฉานยิ่งขึ้น ถ้าลูกทำได้เช่นนี้ลูกก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง แลคงความสูงส่งนั้นไว้ได้ ไม่มีวันที่จะตกต่ำ นอกจากวิบากแห่งกรรมเก่า ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าในชาติปางก่อนๆ นั้น ลูกได้เคยทำอกุศลกรรมอะไรไว้บ้าง วิบากแห่งอกุศลกรรมนั้นย่อมให้ผลเมื่อถึงเวลาเสมอ แต่ถ้าลูกมีความดีมากจริงๆแล้ว อกุศลกรรมบางอย่างก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปคือกรรมตามไม่ทัน


ลูกต้องเคารพบูชาบรรพชน สรรเสริญคุณงามความดีของบรรพชนให้แผไพศาล ลูกจะต้องปกปิดความผิดพลาดของพ่อแม่ไว้ อย่าให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูลได้ ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งที่จะต้องเทิดทูนรักษาไว้ด้วยชีวิตต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ไม่เสื่อมคลาย ลูกจะต้องสร้างครอบครัวให้มีความสุขความอบอุ่นใจตลอดจนคนรับใช้ ลูกจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ยากไร้ให้ได้ทันท่วงที ลูกจะต้องมีจิตสำรวมระวังอินทรีย์อยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นทั้งกายวาจาและใจ
ลูกจะต้องสำรวจตรวจข้อบกพร่องในตัวของลูกเองทุกๆ วันอย่าได้ขาด และจะต้องแก้ไขความผิดพลาดให้ทันท่วงทีทุกๆ วันเช่นกัน วันใดที่ลูกมองไม่เห็นความผิดพลาดของลูก ก็แสดงว่าการปฏิบติธรรมของลูกไม่ได้ก้าวหน้าไปเลย และกำลังถอยหลังแล้ว เพราะฉะนั้นลูกจะต้องหาความผิดพลาดของตนเองให้พบ และแก้ไขให้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้ว ลูกจะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้เป็นการเสียชาติเกิด


คำสั่งสอนของท่านอวิ๋นกุเถระนั้น ช่างลึกล้ำตรงตามสภาวะธรรมและเป็นความจริงทุกประการ ซึ่งลูกจะต้องนำมาครุ่นคิดวิเคราะห์วิจัยหาเหตุผล เพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ใจของลูกเอง และยึดถือนำมาปฏิบัตตามคำสั่งสอนของท่านอย่างเคร่งครัด ให้เกิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาให้ได้ จึงจะไม่เสียแรงที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง มิได้ปล่อยเวลาอันมีค่าให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลย

โดย : xinyi
อีเมล์ : mint_jj@hotmail.com
วันที่ : 2006-12-06 21:15:13
//www.mthai.com





Create Date : 11 ธันวาคม 2549
Last Update : 11 ธันวาคม 2549 10:35:23 น.
Counter : 1988 Pageviews.

3 comments
  
" จึงจะไม่เสียแรงที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง มิได้ปล่อยเวลาอันมีค่าให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลย "

ขอบคุณค่ะ..

โดย: ป่ามืด วันที่: 11 ธันวาคม 2549 เวลา:16:18:47 น.
  
ฝันดีนะคะคืนนี้

ดี.อยากอ่านค่ะ แต่ยาวจัง เวลาไม่พอด้วยค่ะวันนี้
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 11 ธันวาคม 2549 เวลา:22:44:58 น.
  
ขอบพระคุณที่มีเมตตา-กรุณา หามาให้อ่านค่ะ
โดย: ดารานาถ IP: 192.168.108.173, 192.168.108.173, 127.0.0.1, 125.25.122.2 วันที่: 23 สิงหาคม 2554 เวลา:12:54:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนุ่มร้อยปี
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



บล็อกนี้สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 โดย ชายไทยวัยสูงอายุ มีวัตถุประสงค์ในการบันทึกและนำเสนอเรื่องราวต่างๆแบบครอบจักรวาล อาทิ ภาพยนตร์ ดนตรี รายการทีวี หนังสือน่าอ่าน อาหารน่ากิน ท่องเที่ยว สะสมสิ่งของ ตำนานชีวิตบุคคลน่าสนใจ รู้ไว้ใช่ว่า จิปาถะ
ฯลฯ เป็นต้น คำขวัญประจำบล็อก ประสบการณ์ชีวิตที่ดีในอดีต คือทรัพยากรที่ทรงคุณค่าในปัจจุบัน คำขวัญประจำตัวเจ้าของบล็อก "อายุเป็นเพียงตัวเลข" บรรณาธิการบริหารบล็อกคือ หนุ่มร้อยปี บล็อกนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย ท่านใดเห็นว่าข้อเขียนหรือภาพประกอบในบล็อกนี้มีประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้ แต่โปรดอ้างอิงชื่อบล็อกนี้ด้วย จักขอบคุณยิ่ง