เล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่สามต่อจาก This Earth of Mankind และ Child of All Nations ในเล่มแรก ชีวิตของ Minke เข้าไปเกี่ยวข้องกับ Nyai หญิงพื้นเมืองที่เป็นเมียเก็บของชาวดัตช์ แต่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา จึงศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านด้วยตนเองจนแตกฉาน Minke ได้แต่งงานกับ Annalies ลูกสาวของ Nyai แต่ถูกกฏหมายของชาวผิวขาวพรากภรรยาที่รักไป และต้องไปเสียชีวิตที่เนเธอแลนด์
ในเล่มสอง Minke ได้เรียนรู้ถึงการถูกกดขี่ของชาวดัตช์ที่มีต่อคนพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น หนำซ้ำยังมีการกดขี่เป็นชั้นๆ ทอดๆ มาจาก Indo กลุ่มพวกลูกครึ่งที่กุมกิจการมากมายไว้ในมือ และอีกชั้นจากเหล่าชนชั้นผู้นำพื้นเมืองหรือ priyayi ส่วนคนที่อยู่ล่างสุดของสังคมนั้นคือ คนพื้นเมืองที่เป็นชาวชวา ซุนดา อาเจห์ มาดูรา โซโล และอื่นๆ อีกมากมาย ท้ายเล่มสอง Maurits Mellema ลูกชายคนแรกซึ่งเกิดจากเมียคนดัตช์ของสามี Nyai มาทวงสิทธิ์ในทรัพย์สินตามกฏหมายดัตช์จาก Nyai หลังจากผู้เป็นพ่อเสียชีวิต Nyai ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่สละสิ่งที่สร้างมากับมือไป
มาในเล่มสามนี้ เปิดฉากมาที่ศตวรรษใหม่ เริ่มแต่ปี 1900 เป็นต้นไป เรื่องยังคงติดตามชีวิตของ Minke ต่อไป เขาได้ย้ายเข้ามาเรียนเป็นหมอที่ Betawi (จาการ์ตาในปัจจุบัน) ผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันเขาก็เหมือนได้เป็นคนสำคัญในสังคมมากขึ้น เมื่อข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครอง Netherlands Indies ถึงขนาดเชื้อเชิญเขาไปพูดจาหารือปัญหาสังคมในปัจจุบัน จนเป็นที่กล่าวขวัญกันในโรงเรียน อย่างไรก็ดี นั่นก็เป็นการได้รับเกียรติไปประดับบารมีข้าหลวงฯ เท่านั้น ความคิดแบบหัวก้าวหน้าของ Minke ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อแนวนโยบายที่ยังกดขี่ชาวพื้นเมืองด้วยธุรกิจค้าน้ำตาล ที่ทำกำไรให้แก่เจ้าอาณานิคมมหาศาลได้จนนิดเดียว
ระหว่างนั้น Minke ได้พบกับ Mei หญิงจีนที่ลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฏหมายเมื่อเข้ามาเผยแพร่ลัทธิโค่นล้มระบบอำนาจเก่าของจีนแผ่นดินใหญ่ให้แก่หมู่คนจีนผลัดถิ่น เขาหลงรักเธอทั้งหน้าตาและอุดมการณ์ที่แปลกไปจากที่เขาเคยเรียนรู้มา ให้ก้มหัวกับขนบธรรมเนียมดั้งเดิม และยอมกล้ำกลืมฝืนอยู่กับชะตากรรมที่เจ้าอาณานิคมหรือพวกชนชั้นปกครองยัดเยียดให้ Minke ได้ช่วยเหลือเธอในขณะจนยากกระทั่งเกิดความรักและแต่งงานกันในที่สุด อย่างไรก็ดี พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันไม่นาน เมื่อกลุ่มคนจีนเริ่มมีการเคลื่อนไหว Mei ก็ทุ่มสุดตัวไปกับอุดมการณ์ ไม่หลับไม่นอน จนเกิดป่วยและตายจากไปในที่สุด จังหวะเดียวกันนั้น การเรียนของ Minke ที่เหมือนไปได้สวย ก็ถูกทางโรงเรียนจ้องจับผิดที่เขาแหกกฏของโรงเรียนบ่อยๆ จนในที่สุดก็ถูกไล่ออก จุดหักเหในชีวิตนี้เองทำให้ Minke เรียนรู้ การตายของ Mei สร้างแรงบรรดาลใจให้เขาคิดเปลี่ยนแปลงสังคม ด้วยการก่อตั้งองค์การของคนพื้นเมืองขึ้นมา เพื่อต่อต้านความอยุติธรรม
นั่นเองทำให้เขาเริ่มก่อตั้งสำนักพิมพ์ Medan เพื่อพิมพ์นิตยสารรายสัปดาห์แนววิจารณ์ ทั้งยังมีคอลัมน์ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยมีเงินทุนจาก Nyai ซึ่งบัดนี้ได้แต่งงานกับ Marais เพื่อนเก่าของ Minke แล้วเดินทางไปใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศส
นอกจากสำนักพิมพ์ที่เขาริเริ่มได้เป็นอย่างดีด้วยความช่วยเหลือของมิตรสหายต่างๆ แล้ว เขาก็ยังได้พยายามก่อตั้งองค์การของคนพื้นเมืองขึ้นมาเพื่อผนึกกำลังไว้รักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนขึ้นอีก ความพยายามเขาทำให้เกิดองค์การถึงสามองค์การ โดยองค์การแรกเกิดขึ้นจากกลุ่มคนระดับชั้นปกครองที่เป็นคนพื้นเมืองหรือ priyayi แต่อายุยังไม่ทันข้ามปีก็เกิดแพ้ภัยตัวเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนพื้นเมืองอย่างแท้จริง ถัดมากก็เกิดองค์การจากกลุ่มคนพื้นเมืองที่มีการศึกษา แต่ก็ยังเหลวอยู่ เพราะการรวมกลุ่มจำกัดอยู่เฉพาะคนที่ได้รับการศึกษาอยู่ดี จนมาถึงองค์การที่สาม ด้วยการแนะนำจากหลายฝ่าย จึงออกมาเป็นการรวมกลุ่มโดยใช้ศาสนาอิสลามเป็นตัวเชื่อม เปิดรับสมาชิกทุกระดับ คนพื้นเมืองไม่จำกัดแค่คนชวาเท่านั้น เผ่าพันธุ์อื่นก็มีสิทธิ์ร่วมกลุ่มได้ ทั้งนี้ในการสื่อสารและข้อเขียนสำคัญต่างๆ จะใช้ภาษามาเลย์เป็นกลาง เพราะถือเป็นเรื่องปกติในสังคมอยู่แล้ว ระหว่างชั้นต่างๆ และระหว่างต่างเผ่าพันธุ์มักใช้มาเลย์เป็นสื่อกลาง
ในช่วงนี้ นิยายได้นำเสนอเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายอย่าง เช่น สงครามในบาหลี การปฏิบัติราชวงศ์ชิงในจีนแผนดินใหญ่ ฯลฯ ขณะเดียวกันนั้นเอง Minke ก็ได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับเจ้าหญิงแห่ง Kasiruta จากเกาะโมลุกกะ ซึ่งเป็นเจ้าลี้ภัยมาอยู่ชวาโดยการบังคับมาของข้าหลวงใหญ่ฯ เพราะเกรงว่าตระกูลของเธอจะเป็นภัย
อย่างไรก็ดี แม้องค์การที่สามจะประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ก็ต้องประสบกับการก่อกวนจากกลุ่มต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์หลายครั้ง บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือขององค์การ อันเนื่องมาจากองค์การนี้ที่แข่งแกร่งขึ้น รวมถึงหนังสือพิมพ์ของเขาตีข่าวเรื่องความไม่ชอบธรรมของเหล่าธุรกิจน้ำตาล ที่บังคับเอากับชาวบ้านที่ปลูกอ้อย เหตุที่กลุ่มนายทุนไม่พอใจอย่างมาก ก็เพราะหนังสือพิมพ์ Medan ได้พยายามเสนอแนะแนวคิดเรื่อง Boycott แก่เหล่าสมาชิก ให้เกิดการต้านระบบที่กดขี่ในวงกว้าง
กลุ่มก่อกวนนี้ เมื่อสืบไปสืบมาก็พบว่า หนึ่งในปรปักษ์ก็คือ Suuhorf เพื่อนเก่าสมัยเรียนของตนเอง ทั้งนี้วิธีข่มขู่คุกคาม Minke มีตั้งแต่จดหมายลับ ไปจนถึงบุกเข้ามายิงอย่างอุกอาจถึงบ้าน เคราะห์ดีเขาผ่านอันตรายถึงชีวิตมาได้ เรื่องนี้สร้างความเจ็บแค้นแก่เจ้าหญิงผู้เป็นภรรยามาก เธอใช้สัญชาตญาณนักรบของเผ่าพันธุ์ตัวเอง ถึงขนาดอาจหาญไปลอบสังหาร Suuhorf ด้วยตัวเองเพราะต้องการปกป้อง Minke ผู้เป็นสามีที่รักเหนือชีวิตตามหลักคำสอนของบรรพชน
ตอนท้ายเรื่อง ทั้งๆ ที่องค์การกำลังเติบโตไปได้สวยแล้ว แต่ Minke กลับถูกจับในข้อหาหนีหนี้ ซึ่งเป็นการหักหลังจากคนในปกครองหรือการกลั่นแกล้งจากฝั่งตรงข้าม ก็ยังไม่รู้แน่ ต้องรอไปพิสูจน์ต่อในเล่มถัดไป
เล่มนี้สนุกน้อยกว่าอีกสองเล่มก่อนหน้า เพราะเหตุการณ์ตื่นเต้นไม่ค่อยมี แต่ก็เข้มข้นด้วยการกล่าวถึงอุดมการณ์อันเป็นฐานสร้างองค์การ เพื่อต้านอำนาจเก่าซึ่งกดขี่ชนพื้นเมืองอยู่ เรื่องเน้นหนักไปที่วิธีการและอุปสรรคระหว่างทางที่ Minke รวบรวมผู้คนเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ แสดงให้เห็นว่า Minke แก้ปัญหาคนหลากหลายกลุ่ม ต่างภาษา ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างวัตถุประสงค์ ให้มารวมตัวกันได้อย่างไร น่าสังเกตว่าการสร้างชาติอินโดนีเซียสมัยก่อน เกิดจากความพยายามรวมคนที่ถูกกดขี่มารวมกันจนเป็นปึกแผ่น แม้ว่าจะประกอบขึ้นด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ แต่ละเกาะอยู่ห่างกันเป็นพันๆ ไมล์ก็ตาม
Toer, P. A. (c1996, 1990). Footsteps, trans. by Max Lane. New York: Penguin.
Reading Bingo Challenge 2014
ดีใจมากที่เล่มสามในซีรีส์นี้เป็น "หนังสือที่มีชื่อคำเดียว" เลยจับลงช่อง "A book with one-word title" ได้อย่างพอดิบพอดี เหลือเล่มสุดท้าย คิดว่าก็น่าจะจับยัด(เยียด)ลงช่องไหนช่องหนึ่งได้อยู่
#1 [A best-selling book] : Angels and Damons by Dan Brown
#2 [A book based on a true story] : Gweilo - A Memoir of a Hong Kong Childhood by Martin Booth
#3 [A second book in a series] : Child of All Nations by Pramoedya Ananta Toer
#4 [A book with a blue cover] : Half Blood Blues by Esi Edugyan
#5 [A book of short stories] : The Progress of Love by Alice Munro
#6 [A book with one-word title] : Footsteps by Pramoedya Ananta Toer