|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
จิตใจอันแจ่มใส
เมื่อธรรมชาติแห่งจิตใจของเราแจ่มใสอย่างแท้จริงเราจะพบคุณทรัพย์ภายในของเรามากมายอันได้แก่ ความรักอันอบอุ่น ความปลื้มปิติและความนิ่งสงบ เราจะซาบซึ้งกับความสวยงามของชีวิต เราจะรับรู้และสัมผัสประสบการณ์ทุก ๆ ขณะที่ไหลเลื่อนเข้ามาสู่การรับรู้ เราจะเปิดใจสัมผัสและมีความสุขกับมัน การประจักษ์ถึงคุณภาพต่าง ๆ เหล่านี้ภายในตัวเองเป็นความรู้สึกแจ่มใสอันยิ่งใหญ่ซึ่งเราสามารถพบได้
อย่างไรก็ตาม คำถามมีอยู่ว่า เรายินดีและยอมรับความรู้สึกแจ่มใสได้มากแค่ไหน? เราสัมผัสกับความคิดและความรู้สึกอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งได้มากแค่ไหน? เราสัมผัสกับธรรมชาติอันดีงามของชีวิตได้แค่ไหน? แม้ว่าหลายครั้งเราจะได้สัมผัสกับความอิ่มเอิบภายใน แต่เรามักจะปิดบังตนเองจากมัน ซึ่งก่อให้เกิดความไม่เป็นสุขอย่างเบาบางขึ้น หลายครั้งที่เราไม่อนุญาตให้ตนเองได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริงเลย เพราะเรารู้สึกผิดบางอย่าง และบางครั้งเราก็ไม่สามารถจะเบิกบานกับความสำเร็จของเราได้อย่างเต็มที่ เพราะเรายังสงสัยและกังวลอยู่
ความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้ทำให้เราห่างไกลออกจากเนื้อแท้ของชีวิต และหลงทางไปแสวงหาความอิ่มเอิบจากภายนอก เราถูกชักจูงให้สนใจกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวและเราก็ใส่ใจอยู่กับมันอย่างจดจ่อโดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เรามีความสุข แต่การที่เราใช้พลังงานของเรามุ่งไปภายนอก ทำให้เราพลาดจากกระแสแห่งความรู้สึก กระแสแห่งความคิด กระแสแห่งอารมณ์ และกระแสแห่งการรับรู้ต่าง ๆ หากปราศจากความสำนึกถึงกระแสต่าง ๆ เหล่านี้และความรู้สึกแจ่มใสซึ่งมันได้ให้เรา เราจะรู้สึกต่อประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างผิวเผินและตื้น และความใส่ใจของเราจะมีคุณภาพหยาบ ไม่ชัดเจนและไม่ละเอียดลึกซึ้ง แม้เราจะประสบความสำเร็จหลายอย่าง แต่การแยกตนเองออกจากธรรมชาติแท้จริง จะทำให้เราเสียรากฐานที่แท้จริงของชีวิตไป ซึ่งทำให้เราเกิดความรู้สึกหวั่นไหวไม่มั่นคง และเราจะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าและไร้ค่า
เมื่อเราไม่สามารถดื่มด่ำกับความอิ่มเอิบจากการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เรามักจะมุ่งหาผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เพื่อทำให้เราสบายใจหรือเป็นสุข แต่โดยเหตุที่ว่าเราไม่รู้ว่าเราขาดอะไร เราจึงไม่สามารถชัดเจนในความต้องการที่แท้จริงของเรา ดังนั้นเราจะรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดอยู่เสมอ และยิ่งเราหมกมุ่นและตกหลุมความไม่เป็นสุขมากเท่าใด เราจะยิ่งรู้สึกโกรธ ไม่พอใจและหวั่นไหวมากขึ้น ความสัมพันธ์ต่าง ๆจะมีรสชาติอันจืดชืดและเราจะไม่ทำงานอย่างสุขใจ และด้วยความที่ปราศจากจิตใจอันแจ่มใส เราจึงถูกกักขังไว้ในการขาดความสำนึกตน และถูกดึงดูดให้ตกอยู่ในวงจรของความกังวลและความไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา เราจะหมุนวนอยู่อย่างนั้นในการแสวงหาความอิ่มเอิบ แต่เราจะไม่มีทางได้พบมันเลย และการแสวงหาเช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำซากจนเป็นแนวการดำเนินชีวิต
เรามีชีวิตอยู่ในโลกซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและสิ่งนี้กดดันให้เราต้องตามมันให้ทัน เราส่วนใหญ่อาจไม่ต้องการมีชีวิตเช่นนี้ แต่เราต้องยอมรับความกดดันที่สังคมมีต่อเรา ในเบื้องนอกเราอาจจะดูเหมือนว่าเรามีเสรี แต่ภายในจิตใจของเรา เราถูกทำร้ายด้วยความเครียดซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น เรารีบเร่งร้อนรนจนไม่มีเวลาจะใส่ใจหรือซาบซึ้งในตนเอง จนเราห่างเหินจากคุณภาพอันดีงามของชีวิตและพลังอันมากมายที่มันได้ให้แก่เรา
อุปสรรคของจิตใจอันแจ่มใสจะเกิดขึ้นในวัยเด็ก ในขณะที่เราเป็นเด็กเราจะรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อสรรพสิ่ง และเรามักยินดีที่จะแสดงความรู้สึกนั้นให้ผู้อื่นประจักษ์เสมอ แต่ความกดดันจากครอบครัวและมิตรสหายทำให้เราจำใจต้องรับโลกทัศน์ที่แคบและรับแนวคิดซึ่งคล้อยตามความมุ่งหวังของผู้อื่น เมื่อความคิดและความรู้สึกอันเป็นธรรมชาติของเราถูกยับยั้ง เราจึงเติบโตขึ้นภายนอกอาณาเขตของความรูสึกของเรา และเมื่อนั้นเองที่ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของเราถูกขัดขวางและถูกทำลายไป เราจึงไม่ตระหนักถึงความรู้สึกอันแท้จริงของเรา เมื่อการกักขังนั้นแข็งแรงและมั่นคงขึ้น โอกาสการแสดงของความรู้สึกต่าง ๆ ก็ลดน้อยหรือหมดไป เราจะพอใจกับการคล้อยตาม และเมื่ออายุมากขึ้นเราก็จะยิ่งยินยอมให้สภาพนี้กำหนดชีวิตของเราเอง และในที่สุดเราก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อตัวเอง
เราจะกลับมาสัมผัสกับตนเองใหม่ได้อย่างไร? เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เรามีความรู้สึกเสรีปลอดโปร่งอย่างแท้จริง? เมื่อเราเริ่มมองธรรมชาติภายในของเราอย่างชัดเจน เราจะพบกับความสว่างที่ทำให้เราสามารถจะงอกงามต่อไปได้ ความชัดเจนนี้เองที่เป็นการเริ่มต้นของความรู้แห่งตน และความรู้แห่งตนจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ โดยการสังเกตดูการทำงานของจิตใจและร่างกายของเราอยู่เสมอ
ท่านสามารถฝึกการสังเกตภายในเมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ โดยการสังเกตและใส่ใจในการเกิดขึ้นและในการเปลี่ยนแปลงของความคิดแต่ละความคิดและความรู้สึกซึ่งผูกพันอยู่กับมัน ท่านจะเห็นถึงอิทธิพลของมันที่มีต่อความคิด ต่อร่างกายแต่อการรับรู้ต่าง ๆ เมื่อท่านทำเช่นนี้ ท่านจะเชื่อมสะพานระหว่างร่างกายกับจิตใจอีกครั้งหนึ่งและจะตระหนักได้ชัดเจนว่าท่านเป็นใคร ท่านจะคุ้นเคยและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติภายในของท่านมากขึ้น ร่างกายและจิตใจของท่านก็จะอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีคุณภาพ ท่านจะเข้าสู่กระแสแห่งชีวิต กระแสการเรียนรู้ตนเองและความรู้แห่งตนซึ่งท่านได้พบจะส่งเสริมการกระทำอื่น ๆ ของท่านด้วย
เมื่อท่านสังเกตธรรมชาติภายในของท่านอย่างไตร่ตรอง ท่านจะพบว่าท่านได้กักขังตนเองอย่างไร และความรู้สึกแห่งธรรมชาติภายในได้ถูกจำกัดไว้อย่างไร และตอนนี้เองที่ท่านจะสามารถให้ความรู้สึกเหล่านั้นไหลหลั่งออกมา และพลังงานภายในก็จะถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เมื่อท่านสงบนิ่ง ซื่อตรง และยอมรับตนเอง ความเชื่อมั่นของท่านจะเกิดขึ้น และท่านจะเรียนรู้วิธีใหม่และแนวทางอันดีงามที่จะรู้จักตนเอง
(มีต่อ)
=============================
คัดจาก "แห่งการงานอันเบิกบาน"
ผู้เขียน : ตาร์ถัง ตุลกู
ผู้แปล : โสรีช์ โพธิแก้ว
ขอขอบคุณองค์ความรู้ทั้งหมดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้
Create Date : 12 ธันวาคม 2548 |
|
11 comments |
Last Update : 12 ธันวาคม 2548 14:56:46 น. |
Counter : 497 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: erol 12 ธันวาคม 2548 14:05:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: yadegari 12 ธันวาคม 2548 18:16:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: me2you 12 ธันวาคม 2548 21:20:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 12 ธันวาคม 2548 21:59:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: erol 13 ธันวาคม 2548 1:16:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ก็ต้องเดินทางสายกลางอะนิ