บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
22 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
การปรับกระบวนยุทธ์และค้นให้พบจุดอ่อนของการทำงาน





พักเรื่องเหนื่อย ๆ หนัก ๆ มาคุยกันเรื่องการทำงานดีกว่า

หวังว่าประเด็นนี้คงไม่หนักเกินไปที่จะได้แลกเปลี่ยนกันนะครับ

หัวข้อวันนี้คงใช้ได้ทั้งมนุษย์เงินเดือนและเจ้าของกิจการทั้งหลาย

การปรับกระบวนยุทธ์ในที่นี้คือการวางแผนใหม่จากการที่เราพบปัญหาจากการทำงาน

เช่นยอดขายตก กำไรลด ขาดทุน คนทำงานอ่อนล้าเฉื่อยชา กิจการไม่ขยายตัว แข่งขันไม่ได้ ทิศทางที่จะเดินไปสับสน ฯลฯ

ส่วนการค้นให้พบจุดอ่อนของการทำงานคือระบบงานสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าของงานได้มากน้อยเพียงใด วิธีคิดวิธีการทำงานของเรามีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงตรงไหน เช่น ขาดความเด็ดขาด ติดตามหนี้ไม่ได้ ขยายตลาดไม่ออก ไม่มีการทำงานเป็นทีม ขาดการประชุมเพื่อระดมความคิดอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถทำให้กิจการเจริญก้าวหน้าได้ทำให้มีผลต่อเนื่องมายังพนักงานในทุกระดับที่ไม่สามารถปรับขึ้นอัตราเงินเดือนได้ รู้จักสินค้า ลูกค้า และความเปลี่ยนแปลงของตลาดมากน้อยเพียงใด?



โจทย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจพบเห็นในโลกธุรกิจที่เป็นจริงในยุคปัจจุบัน หากท่านใดสามารถจัดการได้ดี ความสำเร็จและรายได้ที่ดีก็จะปรากฏผลออกมา แต่ในทางตรงกันข้ามหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ความล้มเหลวก็จะปรากฏให้เห็น และการที่จะลุกขึ้นยืนใหม่ได้นั้นก็มีแต่การสรุปบทเรียนของตนได้อย่างถูกต้องและอย่างไม่เข้าข้างตัวเองเท่านั้น

แต่ ณ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ เสียงร้องของผู้ประกอบการทุกกลุ่มคงเห็นตรงกันว่า

รีบ ๆ เลือกตั้ง เสียทีเถอะ หมดเวลาทะเลาะกันแล้ว
ปล่อยให้ประชาชนทุกกลุ่มอาชีพได้กำหนดชะตากรรมในชีวิตของเขาบ้างเถอะ ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ !!!!


""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

คุณค่าแห่งงาน






ชีวิตทุก ๆ วินาทีเป็นโอกาสของการเรียนรู้ ประสบการณ์ทุกประสบการณ์ที่เราได้พบและได้สัมผัสจะนำความอิ่มเอิบและเพิ่มรสชาติให้แก่ชีวิต เราจะเป็นผู้กำกับการแสดงของละครที่น่าเพลินใจและดีเลิศ และมันขึ้นอยู่กับตัวของเราเองที่จะตระหนักว่า ชีวิตเราทุกขณะจิตได้แสดงออกโดยคุณภาพอันสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจอันบริสุทธิ์ งานซึ่งเป็นเวลาประจำวันของเรา จึงเป็นโอกาสให้เราพัฒนาความสมบูรณ์ให้เกิดขึ้นกับคุณภาพต่าง ๆ อันเป็นธรรมชาติภายใน เพื่อให้ชีวิตอิ่มเอิบและมีความหมาย

หากเราให้พลังงานทั้งหมดของเรา ให้หัวใจและแรงกายทั้งหมดของเราแก่งาน งานจะเป็นรากฐานอันมั่นคงที่เราสามารถจะสร้างชีวิตของเรา และมันเป็นช่องทางที่จะนำความคิดของเราออกมาเป็นการกระทำ งานมักต้องการให้เราทำอะไรบางอย่างเสมอ ดังนั้นมันจึงทำให้เราเกิดความรู้สึกสำเร็จ ซึ่งหาไม่ได้จากแหล่งอื่นเลย ชีวิตจะเต็มไปด้วยความหมายและความสุข เมื่อเรารู้จักทะนุถนอมและเอาใจใส่งาน และเมื่อเราเลือกงานที่ยากแต่ท้าทายและได้กระทำมันอย่างดี




หากงานไม่มีสาระแห่งความเบิกบานเช่นกล่าวนี้ มันอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ทุ่มเทพลังงานของเราทั้งหมดและความใส่ใจทั้งหมดแก่มัน การให้คุณค่าแก่งานหมายถึง การที่เราให้พลังอันเต็มที่ของความคิดและหัวใจแก่มัน และโดยการให้คุณค่าแก่งานเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงความหงุดหงิดและความเบื่อหน่าย ซึ่งมักจะพบเสมอในการทำงานมาสู่ความปิติสุขได้ การให้คุณค่าแก่งานนี้จะเป็นแรงจูงใจอันใหญ่หลวงที่ทำให้เรากล้าเผชิญกับงานหนักและซับซ้อนด้วยจิตใจซึ่งเปิดกว้างปลอดโปร่ง และความเต็มใจที่จะกระทำสิ่งที่พึงกระทำทุกประการ

การให้คุณค่าแก่งาน การมีความชอบหรือความรักในงาน จะปราศจากความหมาย หากเรามองว่างานเป็นเพียงเครื่องมือหากินเท่านั้น แต่หากเมื่อเรามองว่างานเป็นวิถีที่จะดื่มด่ำและเพิ่มความหมายให้แก่ประสบการณ์ชีวิต พวกเราทุกคนจะเห็นคุณค่าของงานภายในหัวใจตนเอง และจะจุดประกายมันในผู้อื่นรอบ ๆ ตัวเราด้วย และใช้ทุก ๆ แง่ของงานในการเรียนรู้และงอกงาม

ท่านสามารถค้นพบถึงความรู้สึกแห่งความสำเร็จด้วยตนเอง ซึ่งการทำงานได้ให้แก่เรา เมื่อท่านเริ่มต้นทำงานในตอนเช้าอันสดใส ขอให้ท่านใช้เวลาสำรวจงานที่ท่านจะทำในวันนั้น การทำเช่นนี้จะช่วยให้ท่านกำหนดพลังงานของท่านในช่องทางที่ถูกต้องและอย่างตระหนักถึงทิศทางและเป้าหมายอันชัดเจน

ขณะที่ท่านกำหนดงานสำหรับแต่ละวันนั้น พิจารณาด้วยว่างานของท่านต้องการอะไรบ้าง ปล่อยให้ความคิดของท่านคิดกว้าง ๆ แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาพิจารณาตัวงานเอง การเลื่อนจากความคิดหลาย ๆ ด้านมาให้ความสนใจอย่างเต็มที่เฉพาะงาน จะช่วยให้ท่านสามารถมีสมาธิหรือสนใจอย่างเต็มที่กับงานแต่ละงาน และจะหนุนให้ทำมันเสร็จก่อนจะเริ่มงานอื่น การทำงานด้วยวิธีเช่นนี้จะขจัดความคิดที่ว่าเราช่างมีงานมากเกินไปหรือไม่มีเวลาทำมันเลย โดยการวางแผนอย่างเหมาะสม และมุ่งมั่นตั้งใจในงานนั้น ท่านจะสามารถทำอะไรได้สำเร็จมากกว่าที่ท่านคาดคิดไว้มาก

ท่านสามารถจะทบทวนความก้าวหน้าของตนเองได้เมื่อแต่ละวันสิ้นสุดลง โดยกลับมาพิจารณาว่า ท่านได้ให้ความสนใจและใส่ใจกับงานของท่านเพียงใด และท่านมีความสำเร็จไปแล้วมากน้อยเพียงใด หากท่านทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมด้วยพลังงานของท่านทั้งหมด จิตใจของท่านจะรู้สึกแจ่มใสสดชื่นและร่างกายจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แม้ว่าท่านอาจจะไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมดที่ได้ตั้งเอาไว้ แต่ท่านจะรู้สึกมีพลังมากขึ้น และมันทำให้ท่านสามารถจะทำอะไรได้มากขึ้นอีกในอนาคต


การทำงานอย่างดีจะเป็นแบบฝึกหัดที่ดีแก่ร่างกายและจิตใจ ความสำนึกถึงการทำงานอย่างอ่อนโยน ทำให้เราสามารถกำหนดทิศทางพลังงานของตนเองไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ได้ ดังนั้น ชีวิตแต่ละวันของเราจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นสุข แทนที่จะรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้า เราจะรู้สึกเป็นสุข และในขณะที่เราเรียนรู้การตั้งเป้าหมายอย่างเหมาะสมเพื่อเดินไปถึงมันด้วยความโปร่งใจ ความเป็นสุขอย่างแท้จริงและยั่งยืนอันเกิดขึ้นจากการทำงาน จะเพิ่มพลังให้เราเกิดความงอกงามในชีวิตทุก ๆ ส่วน



ความงอกงามที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการผสมผสานและประยุกต์ความชำนาญและทัศนคติอันเบิกบานมาใช้ในการทำงานและชีวิต เมื่อเราได้สร้างแนวคิดและทัศนะนี้ขึ้นและอาศัยช่วงแห่งการทำงานเป็นการฝึกฝน งานของเราจะเปลี่ยนสภาพเป็นกระแสแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และเมื่อเราตระหนักถึงลักษณะการทำงานของตนเองมากขึ้น ความขุ่นใจและความสับสนจะลดน้อยถอยไป เราจะรู้จักตัวเองมากขึ้น และสามารถที่จะเปลี่ยนแปรสภาพการณ์ที่เป็นโทษและขุ่นมัวให้เป็นโอกาสอันดีงามสำหรับความงอกงาม เราจะสร้างโลกใหม่ในตัวเราและแม้ว่าปัญหาประจำวันเกิดขึ้นเช่นเดิม แต่เราจะเห็นว่ามันเป็นแนวทางที่จะขยายและเพิ่มความอิ่มเอิบให้แกชีวิตของเรา

บ่อยครั้งเมื่อเราเผชิญกับงานที่ยากเข็ญและหนัก จิตใจของเราจะกั้นกำแพงทันทีว่า เราทำไม่ได้ และหันเหไปนึกถึงสิ่งที่เราทำได้เท่านั้น ความกังวลและความกลัวจึงเกิดขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการใช้พลังงานของเรา แต่หากเมื่อเราให้หัวใจของเราแก่งานนั้น ความผูกพันกับงานที่เกิดขึ้นจะทำให้เราไม่คิดว่าเราทำไม่ได้ เราจะไม่ยับยั้งตนเองไว้ และโดยการให้ความใส่ใจกับงานเฉพาะหน้านั้นอย่างเต็มที่ เราจะเปลี่ยนสถานการณ์นั้นได้และเริ่มเข้าไปสู่มิติใหม่ซึ่งเป็นหนทางใหม่ ซึ่งเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพ

โดยการปลี่ยนแปลงทัศนะของเรา โดยการใส่ใจกับงานอย่างแท้จริง เราจะพบความสุขกับการได้ทำงานด้วยความสุขและปราศจากอุปสรรคภายในใจ แม้ว่าเราจะเหน็ดเหนื่อย เราจะสามารถพบแหล่งพลังงานอื่น ๆ ได้อีก โดยแท้จริงแล้วเราสามารถจะเติมพลังของเราได้โดยการใช้พลังงานของเราให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ เราทุกคนมีพลังงานอันมากมายนี้ เราเพียงแต่ต้องรู้วิธีใช้มันอย่างเหมาะสมเท่านั้นเอง

เมื่อเราบรรลุเป้าหมาย เราจะรู้สึกว่ามีเวลาเหลืออยู่อีกมาก เราจะรู้สึกว่าสามารถควบคุมเวลาและการใช้พลังงานของตนเองอย่างเหมาะสม งานจะมีคุณค่าของความเบิกบานและมีพลัง เราเริ่มต้นที่จะให้ความหมายแก่งานเพิ่มขึ้น และการให้ความหมายแก่งานนี้ในคุณค่าและรางวัลในตัวของมันเอง การให้คุณค่าแก่งานและทุ่มเทหัวใจให้แก่มัน เป็นเคล็ดลับซึ่งนำให้เกิดความดีเลิศและความสุขในสิ่งที่เราทำ เมื่อเราให้คุณค่าแก่สิ่งใดก็ตาม ความรู้สึกตื่นตัวอย่างละเมียดละไมจะประคับประคองและส่งเสริมเราเองด้วย งานของเราจะกลายเป็นแหล่งของความรู้อย่างลึกซึ้งและความรู้สึกขอบคุณอย่างอ่อนโยน




เมื่อเราสร้างความงอกงามอันมีชีวิตชีวาและการเปลี่ยนแปลงอันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในงาน เราจะมีความรู้สึกยิ่งใหญ่ในอาณาจักรแห่งประสบการณ์อันหลากหลายและอิ่มเอม ความรู้สึกละเอียดอ่อนฉับไวของเราจะเป็นเช่นกองทัพ ความคมชัดในการรับรู้จะเป็นแม่ทัพ และความรักของเราจะเป็นเช่นราชินี ความลึกซึ้งชัดเจนและแนวทางความคิดอันวางอยู่บนความจริง ความมีสติและสัจจะต่อตนเองจะเป็นเหมือนเช่นกษัตริย์ หากปราศจากคุณลักษณะอันดีงามเหล่านี้ เราจะเป็นกษัตริย์หรือยิ่งใหญ่แค่ชื่อ และปกครองอาณาจักรที่ว่างเปล่าอับเฉาซึ่งเราไม่สามารถปกครอง เราไม่สามารถจะมุ่งสู่เป้าหมายซึ่งจะนำความสงบและความงามมาสู่ชีวิตทุกชีวิตได้ งานเป็นความสุขของชีวิต เป็นแรงบันดาลใจซึ่งมีพลัง และเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างล้นเหลือที่เราต้องทะลุถนอมและสูญเสียมันไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว@@


=================================


คัดจาก "แห่งการงานอันเบิกบาน"

ผู้เขียน : ตาร์ถัง ตุลกู

ผู้แปล : โสรีช์ โพธิแก้ว

ขอขอบคุณองค์ความรู้ทั้งหมดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้



=================================













บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่



















Create Date : 22 มิถุนายน 2550
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 7:35:11 น. 16 comments
Counter : 636 Pageviews.

 
lสวัสดีค่ะ
เข้ามาอ่านตอนดึก เงียบ ๆ
ได้ข้อคิดในการทำงาน
ง่วงแล้ว ไปนอนก่อน วันหลังจะมาอ่านตอนต่อไปค่ะ
ฮ้าาา..ตีสี่เกือบครึ่งแล้ว

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

เพลงเพราะดีค่ะ(บ่งบอกวัย )





โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 23 มิถุนายน 2550 เวลา:4:23:43 น.  

 
พี่ชาย จ๋า

พิมตื่นเช้า มากในอารมณ์ ว้าวุ่นสุดประมาณ
ถ้าไม่ประคอง ประคองไว้ คงแง ไปแล้วหลายตั้ง

หนูมาอ่านในหน้าที่วันนี้ ของพี่
คิดถึงการทำงานของตัวเอง คิดถึง แต่ละวันที่ผ่านไป
คิดแบบ ไม่ได้ฟุ้งซ่านนะคะ
พิมพบตัวเองทำงาน โดยมีความสุขน้อยลง
อาจจะเพราะ ใจมัน เครียด แถมเหนื่อยกายอีก
พิมไม่ชอบบรรยากาศ ในที่ประชุมซึ่งล้วนมากด้วยอัตตาของแต่ละคน
จนบางทีพิมต้องพูด ว่า เราไม่ได้มาถกกันเพื่อ ตัวตนของใคร
เราทำไปเพื่อโปรเจคนี้ ลุล่วงไป อย่างดี ที่สุด
เท่าที่ทุกๆคนร่วมกันต่างหาก
แต่คงเป็นเพราะ ใน การที่ทุกๆคนแสดงตัวตน ในประชุม
มันดูยังกับมีโทสะ โมหะ การเอาชนะคะคาน
แถม บ๊องมากๆ พี่จ๋า ยังมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาปนเปไปเสียอีก

พิมชอบรูปขาว ดำที่เป้นรูปเด็กข้างบนจัง
เดี๋ญวจะมาจิ๊กไปนะคะ

พี่เองคงเหนื่อยไม่น้อย รักษา พลังไว้ในใจ อย่าให้พร่องค่ะ

บุญรักษา พี่นะ


โดย: พิม IP: 124.121.32.65 วันที่: 23 มิถุนายน 2550 เวลา:6:24:49 น.  

 



สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


เคยห่วงยังไงก็ห่วงอย่างนั้น
ความผูกพันมีให้กันเสมอ
คอยรับรู้เฝ้าดูความเป็นไป
ของเธอทุกคืนวันไม่เสื่อมคลาย



** มีความสุขกับช่วงวันหยุดพักผ่อนนะจ้า **


บางที่วัดก็สมารถทำให้ใจเราสลบได้มากเลยนะจ้า


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 23 มิถุนายน 2550 เวลา:14:38:14 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจ

Hapiness



พงษ์ ผาวิจิตร (pong@thinkfact.com)


หัดไม่ทำอะไรบ้าง


“พ่อ เข้าใจความหมายของ happiness of ignorance ไหม” แปลเป็นไทยๆ ก็คงหมายความว่า “หัดมีความสุข โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งด้วยปัญญาให้มากมาย” อะไรทำนองนั้น

นั่นคือการตอบโต้ของลูกสาว 2 คนต่อผู้เขียนในระหว่างนั่งชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในสถานีโทรทัศน์เคเบิล เพราะดันปากไม่อยู่สุข ไปบอกเล่าถึงเบื้องหลังของการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยหวังว่า ลูกๆ ที่ดูอยู่จะได้ไม่หลงเชื่อว่ามันเป็นความจริง ซึ่งก็ทำมาเสมอตั้งแต่พวกเขายังเด็กอยู่ จนลืมไปว่า พวกเขาเริ่มโตแล้ว เลยถูกสอนมวยในความปากมาก ทำให้ฉุกคิดถึงตอน ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่โทรไปถามว่า “อาจารย์กำลังทำอะไรอยู่ค่ะ” หลังจากแพ้การเลือกตั้งเมื่อตอนต้นปี พ.ศ.2548 และไม่ได้ ส.ส. ตามเป้าที่คาดไว้

อาจารย์เอนกบอกว่า “กำลังนั่งตัดเล็บเท้าอยู่” ฟังแล้วเท่จังเลย ในความรู้สึกของผู้เขียนในขณะนั้นที่เป็นยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำไมเราต้องพยายามทำอะไรอยู่ตลอดเวลาด้วย ก็เพราะเราหลอกตัวเองตลอดมิใช่หรือว่า เราต้องทำโน่นทำนี่ให้มีความหมาย สุดท้ายก็ไม่เห็นมีความหมายอะไร มีแต่ความเหนื่อยล้า แล้วเราจะหัดไม่ทำอะไรบ้างเลยหรือไม่ได้ หรือไง..

เพื่อนคนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าคิดมากว่า “เฮ้ยแกเคยสังเกตไหมว่า คนในบ้านเรารีบเร่งกันจัง ทำเหมือนกับว่าเราขยัน มีอะไรต้องทำเยอะแยะไปหมด แต่ฉันเพิ่งกลับจากยุโรป ไปดูงานมาหลายประเทศ เห็นความเหมือนอย่างหนึ่งคือ คนของเขาไม่ได้รีบเร่งเหมือนหนูถีบจักรแบบเรา”

เพื่อนคนเดิมพูดต่อว่า “มันน่าคิดนะว่า ถ้าเขาทำไปเรื่อยๆ อย่างนั้นแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่าเราที่รีบเร่งไปเสียทุกอย่าง แสดงว่าสังคมเราต้องมีอะไรผิดปกติ” ซึ่งก็จริง คงทำนองเดียวกับภาพในภาพยนตร์ไทยที่มีฉากคนหนีตำรวจที่มาจับเล่นไพ่ เรามักจะเห็นคนบางคนเผลออาบน้ำโดยไม่เปียกบ้าง บางคนเผลอผัดกระทะ โดยไม่มีอะไรในกระทะ แถมไม่ติดเตาบ้าง แล้วก็อ้างว่า ตัวเองไม่เกี่ยวกับไอ้พวกเล่นไพ่นะ ฉันกำลังอาบน้ำ ทำกับข้าวอยู่

ตั้งแต่วันนั้นมา ผู้เขียนก็เริ่มสังเกตคนรอบข้าง เริ่มเห็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างซอกแซกรีบเร่งตัดหน้าชาวบ้าน เริ่มเห็นคนแย่งกันลงบันไดจากสถานีรถไฟฟ้า แย่งกันจองจตุคามรามเทพ แย่งกันซื้อโทรศัพท์มือถือ เสมือนหนึ่งว่าพรุ่งนี้ เขาคงจะปิดโรงงานกัน หรือเดี๋ยวรัฐจะปิดเครือข่ายให้บริการ จึงต้องรีบๆ ซื้อเข้าไว้ และก็มีข้อน่าสังเกตว่า พวกที่รีบเร่งทั้งหลาย ก็ไม่ได้ไปเร็วกว่า รวยเร็วกว่าชาวบ้านทั้งหลาย สุดท้ายก็ไปทันกันอยู่ดี

... นี่คือผลการทดลองส่วนตัวของผู้เขียน..

... ผู้เขียนเป็นคนที่เคยขับรถเร็วในช่วงหนึ่ง ในสมัยที่ต้องออกต่างจังหวัดทุกๆ อาทิตย์ ประมาณว่า 130-170 กม./ชม. แต่เนื่องด้วยชอบจดบันทึกสถิติ ตอนหลังลองหันมาขับ 90-120 กม./ชม. สรุปแล้วก็ไปถึงจุดหมายปลายทางในเวลาห่างกันไม่ถึง 30 นาที แถมเวลาขับช้า ถึงที่แล้วทำงานได้ แต่เวลาขับเร็วแล้ว เมื่อถึงปลายทางแล้วจะเกร็งและล้า ต้องพักให้คลายเครียดก่อน แล้วค่อยทำงาน สรุปแล้วใช้เวลาพอกัน แต่ใช้ทรัพยากรน้ำมันสิ้นเปลืองต่างกัน..

... มีเพื่อนในสมัยเรียนที่เรียนเก่งมาก 2 คน กับคนเรียนไม่ได้เรื่อง 2 คน กลุ่มเรียนเก่งริเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ หลายอย่าง ในตอนนั้นทุกคนเชื่อว่า เขาต้องประสบความสำเร็จแน่ สุดท้ายคนหนึ่งล้มละลาย ต้องมาขับแท็กซี่ในทุกวันนี้ อีกคนจบแพทย์ แต่กลับไปประดิษฐ์คิดค้นหม้อต้มน้ำ หม้อก๋วยเตี๋ยวความดัน กับอีกกลุ่มที่เรียนไม่เก่ง ไม่กล้าทำอะไรเลย คนหนึ่งเป็นเจ้าของภัตตาคารมูลค่าหลายสิบล้านบาท อีกคนเป็นเอ็มดีของบริษัทใหญ่หนึ่งในพันบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศ ..

การหยุดพักไม่เร่งรีบในชีวิตบ้าง ก็เหมือนกับธรรมชาติบังคับให้เราต้องนอนทุกวัน เพื่อหยุดทำ หยุดคิดชั่วคราวในแต่ละคืน เคยเจอฝรั่งหลายคนที่ดำเนินชีวิตแบบปล่อยวาง เจอคนหนึ่งเป็นชาวสวิสที่ภูเก็ต เขาบอกว่า เขาไม่ได้ทำงานแล้ว อยากอยู่เฉยๆ ให้เวลากับครอบครัวสัก 2 ปี แล้วค่อยกลับไปหางานใหม่ อีกคนแม่บ้านลาออกมาเลี้ยงลูกจนเข้ามัธยมก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงาน บางคนหยุดเรียนเพื่อท่องโลก แต่ของเราต้องรีบเรียนให้จบไวๆ แม้มีคนมาเสนองานดีๆ ให้ทำก็ไม่เอา เพราะอยากเรียนต่อปริญญาโท สุดท้ายก็ต้องมาหัดงานใหม่อยู่ดี บางคนตกงานก็เหมือนกับตกนรก แต่ถ้าลองปล่อยวางค่อยๆ ดูอาจจะหาทางออกที่แจ่มจรัสกว่ารีบเร่งเป็นไหนๆ ..

..บิล เกตส์ เจ้าพ่อซอฟต์แวร์โลก จะมีอาทิตย์แห่งความฝันที่เรียกว่า Dream week ตามข่าวบอกว่า หมอแกมีอาทิตย์แห่งความฝันทุกๆ ไตรมาส คือนั่งไม่ทำอะไรสักอย่างเป็นเวลา 2 อาทิตย์ นั่งตัดเล็บ อ่านหนังสือ เยี่ยมสลัมคนจน..

... สตีฟ จ๊อบส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์แอ๊ปเปิ้ล ก็หลบไปเลียแผลอยู่นานเกือบสิบปี แล้วกลับมาอย่างอลังการในครั้งที่สอง แถมไม่เพียงหนึ่ง แต่เป็นสามเลย คือเป็นทั้งผู้บริหารของแอ๊ปเปิ้ล ของบริษัทสร้างการ์ตูนพิกซาร์ และบอร์ดในบริษัทวอลท์ ดิสนีย์

.... คนไข้โคม่า ก็เหมือนกับการอยู่ในสภาวะไม่ทำอะไรเลย ระหว่างความเป็นความตาย เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คนส่วนใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ตรงนี้ มักจะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตไปเลย

การหยุดไม่ทำอะไรเลย เป็นการเปิดทางให้ 'ความคิดอ่าน' ได้ทำงานบ้าง เวลาเรามัวแต่ไปแก้ปัญหาประจำวัน ก็เหมือนกับเราใช้พลังงานซีพียูของเครื่องคอมพิวเตอร์ไปกับการรันโปรแกรมไวรัส ที่ไม่ได้ให้ผลลัพธ์อะไรที่เป็นประโยชน์ออกมา และเมื่อความคิดอ่านได้มีเวลาทำอะไรบ้าง ก็จะทำให้เราเห็นทางออกดีๆ หลายๆ อย่าง โลกในปัจจุบันนี้ เป็นโลกของการค้าความคิดกันแล้ว

จึงอยากเชิญชวนท่านๆ ได้ลองหยุด ไม่ทำอะไรที่เป็นกิจวัตรประจำวัน ไปเดินสวน เดินตลาดสด เดินพาหุรัด คลองถม หรือไปเดินลุยโคลนกลางทุ่ง ลองเดินตากฝนดูก็ได้ สนุกออก แถมรู้สึกว่าชีวิตเราปลดปล่อยไปได้เยอะ มีข้อแม้ว่า อย่าสักแต่ทำ แต่ต้องให้เวลาหยุดนานพอประมาณ แบบไม่เร่งรีบ

กิจกรรมอันหนึ่งที่อยากแนะนำคือ ลองไปขี่จักรยานเลียบโขงทางอีสานเหนือดู เส้นทางแถบนั้นเป็นทางราบ เหมาะกับมือใหม่หัดขี่และสังขารไม่เอื้ออำนวยแล้วอย่างผู้เขียน รับรองท่านจะรู้ว่า สวรรค์มีจริงๆ เพราะระหว่างขี่ จะมีแต่ท่าน ท้องนาโล่งกว้าง มีควายหันมามองแบบไม่สนใจ มีเด็กๆ ชาวบ้านยิ้มให้บ้าง วิ่งไล่ตามรถท่านบ้าง บางหมู่บ้าน ท่านก็จะได้ผจญภัยกับหมาชาวบ้านไล่รถ แถมนานๆ จะมีรถยนต์วิ่งผ่านสักคัน เหมือนกับเราเป็นเจ้าของถนนเลยแหละ

อ้อ! สำหรับคนเรื่องมาก อ้างว่า ไม่รู้จะขนจักรยานไปอย่างไร ก็ขนไปกับรถทัวร์เลยซิ ที่เวียดนาม เวลาชาวบ้านเข้าเมือง เขาจะเอาจักรยานใส่หลังคารถประจำทาง พอถึงเมือง เขาก็เอาจักรยานลงมาขี่ซื้อของ เมื่อซื้อเสร็จ ก็นั่งรถกลับ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ท่านไม่ต้องบ้าจี้ไปมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อตามสมัยนิยมก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องจักรยาน...


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 มิถุนายน 2550 เวลา:0:45:46 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจ Bizweek

ฟื้นความเชื่อมั่น ฟื้นเศรษฐกิจไทย

ECO-NO-MISS : ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย



“เมื่อไรเศรษฐกิจจะฟื้น” คือเสียงบ่นของคนไทยและนักธุรกิจไทยกลุ่มหนึ่ง ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเริ่มต้นพูดว่า “เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นแล้ว” ฝั่งที่ว่าก็จะเป็นภาครัฐและภาคธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราจึงมองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน



คำตอบหนึ่งที่สามารถค้นพบได้ง่ายๆ ตามวงสนทนาและสื่อมวลชนต่างๆ ก็คือ “ความเชื่อมั่น” ของแต่ละคนในแต่ละเรื่องไม่เหมือนกันนั่นเอง

หากพูดถึง “ความเชื่อมั่น” ในระยะหลัง ท่านจะได้ยินและได้เห็นคำนี้บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็น “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” หรือ “ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการนักธุรกิจ” หรือ “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” และ “ความเชื่อมั่นของต่างประเทศ”

โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ “สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ”และ “สถานการณ์ทางการเมือง”

มาดูภาพรวมของความเชื่อมั่นที่ปรากฏในระยะหลังๆ กันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร เริ่มต้นที่ “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยก่อนนะครับ

จากการแถลงตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ประจำเดือนพฤษภาคม 2550 (ซึ่งเป็นเดือนล่าสุด) ในสัปดาห์ที่แล้วพบว่าดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกรายการอยู่ต่ำกว่าระดับที่มีความเชื่อมั่นปกติ (คือต่ำกว่า 100) และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกือบทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และมีค่าในระดับต่ำสุดในรอบ 48-99 เดือน โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 63 เดือน

การที่ CCI อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง มีสาเหตุมาจากการที่ค่าครองชีพยังคงสูง โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในระยะหลัง และสถานการณ์ทางการเมืองที่ขาดเสถียรภาพเป็นสำคัญ

CCI ที่ยังคงปรับตัวลดลง ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคจะชะลอการจับจ่ายใช้สอยลงต่อเนื่องต่อไปในระยะเวลา 2-3 เดือนข้างหน้าเป็นอย่างน้อย เพราะยังไม่มีความมั่นใจในเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชะลอการซื้อสินค้าคงทนถาวร เช่น บ้าน รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เนื่องจากดัชนีสำหรับความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์ บ้าน และการท่องเที่ยว ยังคงปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดังนั้น การบริโภคของภาคเอกชนซึ่งเป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ จึงยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงอยู่

สำหรับความเชื่อมั่นต่อไป ขอพูดถึงความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งมีการแถลงข่าวไปสดๆ ร้อนๆ ในช่วงสัปดาห์นี้ โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนพฤษภาคม 2550 พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 86.1 จาก 77.0 ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ในช่วงเดือนพฤษภาคม ยอดคำสั่งซื้อและยอดขายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งมีปัจจัยบวกด้านอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ประกอบกับภาครัฐได้มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง จึงล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่ค่าดัชนียังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 (ต่ำกว่าระดับปกติ) แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวการณ์อุตสาหกรรมในระดับที่ไม่แข็งแกร่งนัก

ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมดีขึ้น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สถานการณ์การเมือง อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

การที่ TISI ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ สะท้อนว่าผู้ประกอบการยังมีความระมัดระวังในเรื่องการลงทุนและการจ้างงานเพิ่ม ดังนั้น การลงทุนของภาคเอกชนซึ่งเป็นเครื่องจักรอีกเครื่องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นเดียวกับการบริโภค

ทางด้านดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจ (Business Sentiment Index: BSI) ที่จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ข้อมูลล่าสุดที่ประกาศในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คือ ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจในเดือนเมษายน 2550 ลดลงจาก 43.6 ในเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ 39.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดรอบ 28 เดือน การที่ระดับดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 (ซึ่งเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าระดับปกติที่ 50) แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นลดลงเนื่องจากธุรกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีสูง ประกอบกับผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น ทำให้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง

นอกจากนี้การที่เงินบาทแข็งค่า ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานปรับเพิ่มขึ้น การที่ BSI ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ สะท้อนว่าผู้ประกอบการยังมีความระมัดระวังในเรื่องการลงทุนและการจ้างงานเพิ่ม

เห็นชัดว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการในทุกการสำรวจในประเทศไทย อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ แสดงให้เห็นว่า เครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในส่วนของภาคเอกชนในประเทศ คือการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มที่ มีอาการสะดุดหยุดชะงักเป็นครั้งเป็นคราวตามสถานการณ์ทางการเมือง ราคาพลังงานและค่าครองชีพ

ส่งผลให้การส่งออกกลับกลายเป็นพระเอกตัวจริงของเศรษฐกิจในขณะนี้ เพราะเป็นตัวจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การใช้จ่ายของรัฐบาลเริ่มสวมบทบาทพระรองที่เข้ามาช่วยพระเอกได้ดีขึ้นเป็นลำดับ

สังเกตได้จากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม (คศร.) ครั้งล่าสุดในวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น ได้หารือเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยที่ประชุมได้หารือกันอย่างกว้างขวาง (ผมอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้เลยเล่าบรรยากาศให้ฟังครับ) และมีความเห็นว่าสถานการณ์โดยรวมทางเศรษฐกิจ มีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเห็นว่าการส่งออกยังคงขยายตัวได้ในระดับที่ดี เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550 มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังมีความเป็นห่วงเรื่องความเชื่อมั่นและการบริโภคของประชาชน เนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมมีความเห็นว่า หากมีการเลือกตั้งโดยเร็วในปลายปี และการเมืองมีความชัดเจน น่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมา

แต่ยอมรับว่าปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็ต้องหาแนวทางอื่นเพื่อแก้ไข จึงต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางประชาสัมพันธ์สถานการณ์ที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจและผลการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อดึงความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับมาดีขึ้น เพื่อฟื้นการบริโภคในประเทศต่อไป

ความเห็นนี้สอดคล้องกับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กล่าวในงานสัมมนา "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก้าวใหม่ที่ท้าทาย หรือความฝันที่ไกลเกินจริง" ว่า การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% ทำให้การส่งออกของไทยนับจากต้นปีนี้ ขยายตัวต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 18% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป

โดยการบริโภคในประเทศและความเชื่อมั่นจะฟื้นตัวดีขึ้น เพราะเมื่อสถานการณ์การเมืองนิ่งและมีการเลือกตั้ง จะทำให้ทุกอย่างกลับมาดีขึ้น

ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและทางด้านการเมือง จะมีความผูกพันใกล้ชิดมากในช่วงนี้จนไม่สามารถแยกออกจากกันได้

หรืออาจกล่าวได้ว่า “ถ้าการเมืองนิ่ง ความเชื่อมั่นจะกลับมาดีขึ้น และเศรษฐกิจจะพลิกฟื้นดีขึ้นในที่สุด”

ด้วยเหตุนี้ ทำให้กระแสสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งให้เร็วขึ้นหรืออย่างน้อยให้ทันกำหนดการเดิมคือในเดือนธันวาคมปีนี้ จะเกิดขึ้นอย่างอื้ออึงในช่วงนี้

ทั้งนี้ในวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงภายหลังหารือร่วมกันว่า มีโอกาสที่จะปรับวันเลือกตั้งให้เร็วขึ้นมาได้ โดยประธาน กกต. ได้กล่าวถึงวันเลือกตั้งว่า ถ้าวันออกเสียงประชามติเป็นวันที่ 19 สิงหาคม (ซึ่งเร่งขึ้นมาจากเดิมที่คาดว่าจะจัดทำประชามติในวันที่ 2 กันยายน) วันเลือกตั้งก็สามารถเกิดได้เร็วที่สุดคือวันที่ 25 พฤศจิกายน ศกนี้

แน่นอนครับว่า กระแสข่าวนื้ทำให้ความเชื่อมั่นในสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มดีขึ้น ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นด้านต่างๆ เริ่มตามมา

////


"ถ้าการเมืองนิ่ง ความเชื่อมั่นจะกลับมาดีขึ้น และเศรษฐกิจจะพลิกฟื้นดีขึ้นในที่สุด”


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 มิถุนายน 2550 เวลา:19:10:16 น.  

 
คัดจากผู้จัดการรายวัน

ดิ้นเฮือกสุดท้ายของอดีต ส.ส.นกแล ก่อนชิ่งหนีไทยรักไทย ปลาย ก.ค.

โดย "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง 25 มิถุนายน 2550 18:15 น.




ภารกิจประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน ประจำ 26 มิถุนายน 2550 ให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของ อำนาจเก่าใน 2 ประเด็น และแนวโน้มสถานการณ์อีก 2 มุมมอง ดังนี้

เรื่องแรก - การขยายผล โยนข้อหาที่ทำให้ตีความได้ว่า..ไม่จงรักภักดี.. ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งจะแคนนอนไปถึง แกนนำ คมช.อีกหนึ่งทอด

เกมดังกล่าวถูกจุดมาตั้งแต่ ศุกร์ 22 มิถุนายน สืบเนื่องจากเทปลับที่อำนาจเก่าเล็งผลเลิศถึงขนาดผลักให้ฝ่ายตรงกันข้ามขาดความชอบธรรมและอยู่ตรงกันข้ามกับสถาบันที่ควรสักการะ

เกมดังกล่าวเป็นเรื่องลำบากใจหากอำนาจรัฐปัจจุบันตอบโต้ ทั้งๆ ที่อำนาจเก่าเองนั้นมีแผลมากมาย ไม่ว่าเรื่องการล่ารายชื่อถวายฎีกา การนำบทความสนับสนุนประชาธิปไตยเฉยๆ ในเว็บไซต์ของหนึ่งในแกนนำ นปก.

อย่างไรก็ตามเกมนี้มีแนวโน้มจุดไม่ติดในระดับกระแสใหญ่ เพราะมีเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่าในระยะที่จะถึงนี้

เรื่องที่สอง - แคมเปญคว่ำรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการผ่านแนวรบข้อมูลข่าวสารไปแล้ว อาทิ โฆษณาหนังสือพิมพ์เต็มหน้า ฯลฯ

อำนาจเก่า คาดหวังจะให้เรื่องนี้เป็นกระแสใหญ่ที่มีแนวร่วมโดยธรรมชาติจำนวนมาก ในทำนองต่างคนต่างตี

หวังผลต่ำสุด - เอาแค่มีผู้ไม่เอารัฐธรรมนูญใหม่จำนวนมาก ในสัดส่วนสำคัญ มาอ้างความชอบธรรมทางการเมืองต่อ ก็ถือเป็นชัยชนะได้

แนวโน้มสถานการณ์การเมืองในระยะต่อไป มีผู้ให้ความเห็นสรุปเป็น 2 แนวทางใหญ่

แนวโน้มแรก - ได้นำเสนอไปเบื้องต้นแล้วว่า ตลอดเดือนกรกฎาคมกระแสการคว่ำรัฐธรรมนูญจะเป็นกระแสหลัก โดยเฉพาะหากประเด็นการบรรจุพุทธศาสนาฯ ไม่สมประสงค์ของฝ่ายผลักดัน

ในระหว่างนั้นอำนาจเก่าจะเริ่มการเตรียมการสู่ถนนเลือกตั้ง ด้วยการมีพรรคของตนเอง อาศัยฐาน ส.ส.นกแลที่มีอยู่ในมือเป็นกำลังรบหลักในพื้นที่

ทั้งนี้ เพราะหลังการเลือกตั้ง เกมการเมืองเพื่อบรรเทาปัญหาคดีความให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องอาศัยอำนาจต่อรองทางการเมือง จำนวน ส.ส.ที่มีอยู่แม้ไม่มาก แต่ก็ยังมีช่องทางเล่นจาก “ไพ่ฝาก” หรือการต่อรองกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่เคยร่วมงานกันได้

อันดับแรก กลุ่มการเมืองไทยรักไทยในนามพรรคใหม่ จะต้องมี ส.ส.ในสภาไว้ก่อนเป็นเบื้องต้น

แนวโน้มที่สอง - เป็นมุมมองแย้งกับแนวทางแรกในรายละเอียด

นักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่า ตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม อำนาจเก่าจะไม่สามารถชูแคมเปญคว่ำรัฐธรรมนูญให้เป็นกระแสหลัก

เนื่องจากพื้นที่ข่าวสารและความสนใจทางการเมืองจะเทมาที่การเตรียมการเลือกตั้ง ของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ หลังจากที่ กติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ชัดเจนขึ้นมา

พื้นที่ข่าวสาร และความสนใจของประชาชน จะไหลมาที่การเตรียมเลือกตั้ง การไหลของส.ส. ตัวบุคคล ของแต่ละพรรคแต่ละกลุ่ม

เบียดกระแสคว่ำรัฐธรรมนูญให้เป็นกระแสรองไป

เรื่องนี้มีผลต่อการลงประชามติ เพราะทันทีที่กระแสเลือกตั้งเป็นกระแสหลักจะมีผลต่อการตัดสินใจรับร่างรัฐธรรมนูญ และกระแสประชาชนส่วนใหญ่จะปฏิเสธกลุ่มคัดค้านไปในตัว

แนวทางการวิเคราะห์สายนี้ ยังมองว่า การเลือกตั้งที่กำหนดไว้ปลายปี (ล่าสุดเลื่อนกลับไปธันวาคม) และเงื่อนไขกฎหมายของการบังคับให้สังกัดพรรค 90 วัน

จะบังคับให้ ส.ส.ที่ยังมีชื่ออยู่ในกลุ่มไทยรักไทยเดิม ต้องตัดสินใจในขั้นสุดท้าย ถึงอนาคตการเมืองของตน

ที่สุด จะมี ส.ส.นกแล จำนวนหนึ่งไหลออกจากกลุ่มไทยรักไทย ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เพราะไม่มั่นใจอนาคตทางการเมืองของพรรคใหม่

ซึ่งหากเป็นไปตามแนวทางนี้ กลุ่มอำนาจเก่าที่เคลื่อนไหวในแนวรบต่าง ๆ ดูเหมือนน่ากลัว พร้อมพลิกผัน แท้จริงเป็นแค่การดิ้นรนในระยะสุดท้ายเท่านั้น – ไม่มีหนทางใดที่จะสามารถพลิกกลับมาได้เปรียบ หรือ เอาชนะได้เลย.









โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 มิถุนายน 2550 เวลา:19:17:38 น.  

 




สวัสดีตอนสายๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ข้อความนี้..อาจไม่สำคัญ
เธอจะลบทิ้งมันก็ไม่ว่า
แต่ให้รู้ไว้ละกันว่าทุกเวลา
มีฉันคนหนึ่งที่ ห่วงใย คิดถึง เทอ



** มีความสุขกับคนที่คุณรักนะจ้า **




เรื่องการเมืองนั้นมันก็ไม่รู้จะว่างัยแล้วอะเนี่ย


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 26 มิถุนายน 2550 เวลา:16:20:16 น.  

 
มาส่งกำลังใจ ให้พี่ชายที่รักค่ะ


โดย: ประกายดาว วันที่: 27 มิถุนายน 2550 เวลา:10:14:02 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ห่างตาเหมือนใกล้ใจ
ห่างไกลเหมือนใกล้กัน
เพราะสองใจที่ผูกพัน
แม้ห่างกันบ้างไม่เป็นรัย



** มีความสุข สุขภาพแข็งแรงนะจ้า **



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 27 มิถุนายน 2550 เวลา:14:08:12 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

บทเรียน10ปีวิกฤตต้มยำกุ้ง เรียนรู้วิธีเยียวยาความเจ็บปวด ข้ามผ่านศก...สะท้อนปัญหาสังคม



ในโอกาสที่วิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก จนนำมาซึ่งการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ได้บรรจบครบรอบ 10 ปีในปีนี้ "มติชน" ได้สัมภาษณ์บุคคลสำคัญในวงการต่างๆ เกี่ยวกับบทเรียนในห้วง 10 ปีที่ผ่านมา



โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

"ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบทเรียนทางเศรษฐกิจมากพอควร แต่เราคงไม่ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นอีก เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา จะทำให้เราสามารถนำมาประยุกต์และแก้ไขปัญหาในปัจจุบันและอนาคตได้มากขึ้น

ช่วงปี 2549 ประเทศไทยผ่านปัญหาจากตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่แสดงให้รู้ว่าเราไม่สามารถจะเข้าไปทำอะไรได้ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ เพราะไม่ยั่งยืน และตอนนี้การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของไทยก็สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านตลาด ทั้งในภูมิภาคและตลาดโลกเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าวิกฤตเศรษฐกิจเช่นปี 2540 คงจะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทยอีก เพราะทุกภาคส่วนรู้จักการปรับตัว และไม่ต้องกังวลเรื่องภาคอสังหาริมทรัพย์ที่แม้จะอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างว่าจะเป็นตัวเร่งให้เกิดฟองสบู่ เพราะเท่าที่ตรวจสอบตอนนี้ พบว่ามีคนเปิดโครงการใหม่และมีอัตราการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าคนไทยจะไม่ทำอะไรที่ฝืนตลาดอีกแล้ว"



อัทธ์ พิศาลวานิช

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

"นับจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่รวดเร็วมากนัก แต่ถือว่าสามารถรับโลกาภิวัตน์ทั้งภาคการเงิน การลงทุน และการเปิดประเทศ โดยเฉพาะอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะไม่มาก แต่ก็มีแนวโน้มจะไปได้ดี ขณะที่การพัฒนาประเทศในภาคสังคมกลับตรงกันข้าม คือการกระจายรายได้ลดลง เนื่องจากประเทศไทยมีคนจนและคนรวยเพิ่มมากขึ้น

เช่นเดียวกับประสิทธิภาพการผลิตความเข้มแข็งของผู้ประกอบการยังไม่ดีขึ้น เพราะสิบปีผ่านไปประเทศไทยยังคงเป็นผู้รับจ้างการผลิต เน้นแต่สินค้าตามกระแส ไม่ได้คิดถึงการสร้างแบรนด์หรือพัฒนานวัตกรรมเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ไทยจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้งคงยังไม่เห็นชัดเจน แต่วิกฤตที่อาจจะเกิดคือวิกฤตสังคมมากกว่า

ผมคิดว่าเรายังนำประสบการณ์ในอดีตมาใช้ได้ค่อนข้างน้อย เห็นได้จากการที่ประเทศมีคนจนมากขึ้น ขณะที่คนรวยก็เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างรายได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดนานแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง เพราะนโยบายขาดความชัดเจนไม่ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็มีการเมืองเข้ามาแทรกทำให้ต้องยุติไป

ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งพัฒนาสำหรับประเทศไทย คือการศึกษาจะต้องต่อเนื่อง มีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลเป้าหมายการศึกษาก็เปลี่ยน นอกจากนี้ จะต้องไม่ใช่แค่สอนให้คนคิดอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักคิดและกล้าลงมือทำด้วย เพื่อให้ไทยสามารถก้าวสู่เวทีโลกได้ ขณะเดียวกัน ต้องปลูกฝังความเป็นชาตินิยมให้ช่วยกันกินช่วยกันใช้สินค้าไทยด้วย"



อิสระ บุญยัง

กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะอุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร

"บทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในปี 2540 ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่กว่า 3,000 ราย ล้มหายตายจากจำนวนมาก หลังวิกฤตมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์เหลืออยู่ในตลาดเพียง 300 บริษัทเท่านั้น ซึ่งทุกบริษัทได้บทเรียนกันทั้งหมด ทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ เพราะทำให้ทุกบริษัทมีความระมัดระวังตัวมากขึ้น เช่น เรื่องหนี้สินต่อทุน พบว่าปัจจุบันทุกบริษัทมีหนี้สินต่อทุนต่ำคือประมาณ 1 ต่อ 1 หรือต่ำกว่า 1 จากเดิมที่เคยพุ่งไปถึงระดับ 3 ต่อ 1 ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อก็มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อโครงการ จากเดิมที่เคยมีการปล่อยสินเชื่อจนทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นจุดสูงสุดที่ 170,000-180,000 ยูนิตนั้น เมื่อปี 2549 มีเพียง 70,000 กว่ายูนิตเท่านั้น ซึ่งสะท้อนว่า ทุกฝ่ายมีความระมัดระวัง ส่วนคนซื้อบ้านก็มีการเก็งกำไรลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็ค่อนข้างต่ำ และเงินในระบบล้น คนก็เลยหันมาลงทุนในทรัพย์สินเพื่อให้เช่ามากขึ้น"



สุภัค ศิวะรักษ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)

"จากบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ได้เห็นการพัฒนาของระบบธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ทั้งในเรื่องการบริหารความเสี่ยง นโยบายการป้องกันการกระจุกตัวของสินเชื่อในบางประเภทธุรกิจ ซึ่งธนาคารแต่ละแห่งดำเนินการปรับเปลี่ยนการบริหารสินเชื่อใหม่ โดยไม่ได้มองการบริหารเป็นรายเรื่อง แต่มองการบริหารเป็นพอร์ต มีการปรับปรุงเครื่องมือเครดิตสกอริ่ง เครดิตเรตติ้ง และมีเกณฑ์ในการจัดชั้นลูกหนี้ที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้สามารถวิเคราะห์ฐานะการเงินและแนวโน้มการชำระหนี้ของลูกค้าได้ละเอียดรอบคอบกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเกณฑ์การตั้งสำรอง การประเมินหลักประกันอย่างเป็นมาตรฐาน ขณะที่ลูกค้ามีความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจหรือการให้เครดิตกับบุคคลอื่นมากขึ้น ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดวิกฤตขึ้นอีกครั้งในอนาคตมีน้อยลง"



ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

"วิกฤตการณ์ในอดีตเกิดจากความเสี่ยงที่เกิดจากการไหลเวียนเงินทุนระหว่างประเทศที่มีอยู่สูงและรวดเร็ว ขณะที่ประเทศไทยเองขณะนั้นมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของตัวเองมากไปว่ามีความแข็งแกร่ง แต่ความจริงเราไม่มีความเข้มแข็งทางด้านการเงิน มีการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ มีการใช้นโยบายการเงินที่อิสระจากภายนอก มีพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง มีการลงทุนและการบริโภคเกินตัว และที่ผิดพลาดที่สุด คือเรามองไม่เห็นความเสี่ยง และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับภาระหนี้ต่างประเทศของเราเลย

อย่างไรก็ตาม ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเราได้ใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปมาก ในช่วง 5 ปีแรกเราสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และระบบการเงินไปได้มาก แต่ปัญหาด้านภาคอุตสาหกรรมที่แท้จริง (real sector) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) นั้น ใช้เวลากว่า 8 ปี จึงค่อย ๆ สะสางจนเอ็นพีแอลต่ำกว่า 10% ได้

การเกิดวิกฤตมันเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น แม้ว่าเราพยายามจะป้องกันไม่ให้เกิด แต่ต้องยอมรับว่ามันมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าเราไม่ติดตาม จัดทำข้อมูลให้ดีพอ และสร้างระบบป้องกันได้ทัน ซึ่งปัจจุบันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดวิกฤตได้ มี 2 ด้านใหญ่ ประกอบด้วย 1.ความเสี่ยงจากภายนอก คือความไม่สมดุลของระบบการเงินโลก และหากไม่ทำอะไร ตลาดก็จะต้องปรับสมดุลด้วยตัวเอง ทำให้เงินดอลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อตลาดเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย

2.ความเสี่ยงที่เกิดจากภายใน คือความเสี่ยงเท่าที่พอจะมองเห็นที่อาจจะมาจากภาระทางการคลังในอนาคตที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น โครงการประชานิยมต่างๆ ที่เวลาพรรคการเมืองที่ต้องการจะได้ชนะจากการเลือกตั้งจัดทำขึ้นมา แต่มันอาจจะสร้างภาระทางการคลังจำนวนมาก หากไม่มีระบบข้อมูลที่โปร่งใส และทำให้สาธารณะรับทราบว่าเวลานี้มีภาระทางการคลังเท่าไหร่แล้ว และมีความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะก่อให้เกิดวิกฤตขึ้นได้"


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 27 มิถุนายน 2550 เวลา:12:11:10 น.  

 
“อานันท์” เชื่อทหารเจตนาดี พร้อมคืนอำนาจให้ ปชช.

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2550 19:59 น.












คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น











2 อดีตนายกฯ ชี้ 75 ปี ประชาธิปไตยไทย ไม่เดินหน้า เหตุทุกองค์กรไม่รู้จักหน้าที่ตนเอง เปิดประตูนักธุรกิจการเมืองปล้นบ้าน จนเป็นที่มารัฐประหาร 19 ก.ย.“อานันท์” ระบุ เสาหลักประชาธิปไตยมั่นคงได้ ยึด 4 หลักการเป็นฐานค้ำจุน เชื่อ คมช.-รัฐบาล แม้ไม่ลึกซื้ง แต่ตั้งใจปฏิรูปการปกครองให้เข้าสู่ประชาธิปไตย ด้าน “ชวน” ย้ำเหตุแห่งวิกฤตบ้านเมืองมาจากการปล่อยคนโกงเข้าสภา เผย เวลาที่เหลืออยู่ คมช.- รัฐบาล ต้องสร้างคุณูปการใหญ่ รณรงค์ประชาชนไม่ซื้อสิทธิขายเสียง

วันนี้ (27 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในงานรำลึกท่านผู้หญิงพูนศุข พนมพงค์ 75 ปี ประชาธิปไตย - 73 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ได้จัดอภิปรายเรื่อง “ข้อคิดจากอดีตนายกรัฐมนตรีในวาระ 75 ปี ประชาธิปไตยไทย” โดย นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดี แต่คิดว่า 75 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยไทยลุ่มๆ ดอนๆ เดินหน้า 2 ก้าวถอยหลัง 7 ก้าว ซึ่งมีสุภาษิตว่า โรมไม่ได้สร้างมาเพียงวันเดียว ประชาธิปไตยก็ต้องใช้เวลา เราก้าวมาได้ไกลแต่ไปไม่ถึงไหน ก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง ทั้งนี้ เราก้าวหน้ามามากด้วยซ้ำ แต่เป็นแบบไม่รู้ตัว มีการตื่นตัวในเรื่องการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในเรื่องต่างๆ มีการเรียกร้อง การขอเข้าถึงข่าวสาร ความเสมอภาค แต่ยังไม่มากเท่าที่ควร

นายอานันท์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น ถ้ารัฐบาลหน้าหากไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ให้มาก ประชาธิปไตยไทยก็จะกระท่อนกระแท่นต่อไป ซึ่ง 4-5 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เสียหายต่อประเทศอย่างมาก คือ เราคิดว่าเงินซื้อและอำนาจเป็นสิ่งที่ซื้อได้ทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นความจริง ว่าซื้อทุกอย่างได้มากเหลือเกิน ซึ่งถ้าค่านิยมของคนไทยยังมองเรื่องเงินและอำนาจเป็นสำคัญก็ไม่มีทางส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

นายอานันท์ กล่าวว่า ปัญหาที่นำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารส่วนตัวไม่ได้มองว่าเกิดจากตัวระบบคือ รัฐธรรมนูญ 40 ไม่ดี แต่เกิดจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและตัวบุคคลมากกว่า โดยรัฐประหาร 19 ก.ย.นั้น แตกต่างจากรัฐประหารในอดีตที่ผ่านมา คิดว่าเกิดโดยอุบัติเหตุที่เหตุการณ์พาไป ซึ่งการจะไม่ให้มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีกก็อย่าปล่อยให้เรื่องของการเมือง การบริหารประเทศเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องเป็นเรื่องของประชาชนทุกคน รัฐธรรมนูญทุกฉบับในอดีตจะเขียนไว้เสมอว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งคำ ๆ นี้ในความเป็นจริง ไม่เคยปฏิบัติได้

“ประชาธิปไตยจะยั่งยืน มั่นคงได้ ต้องเลิกคิดว่าเราต้องอาศัยรัฐบาล รัฐธรรมนูญ แต่ต้องอาศัยประชาชนทุกคน ต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาเช่น รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาถ้าเรารู้ว่าองค์กรอิสระมีความสำคัญในการตรวจสอบ แล้วเราเลือกคนที่ดีเข้าไปทำหน้าที่ คดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นเรือจอดอยู่ตรงนั้นแล้ว จะไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารอย่างที่เกิดขึ้น การสร้างประชาธิปไตยก็เหมือนกับการสร้างบ้านต้องมีเสาเอก 4 เสา คือ 1. ต้องมีหลักนิติรัฐ นิติธรรม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สังคมจึงจะมีความยุติธรรมมากขึ้น ไม่มีประชาธิปไตยประเทศไหนที่ละเลยหลักนี้ 2. ต้องเป็นสังคมเปิดเผย ประชาชนต้องเข้าถึง ข้อมูลข่าวสาร รับรู้และมีส่วนร่วมทุกการตัดสินในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล 3. องค์กรตรวจสอบต้องประกอบด้วยบุคคลที่สุจริต โปร่งใส ไว้ใจได้ จึงจะสามารถค้ำจุนประชาธิปไตย และ 4. สร้างประชาสังคม ให้ประชาชนพึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาแค่ข้าราชการหรือศาล ทุกฝ่ายต้องมีปฏิสัมพันธ์ 4 หลักดังกล่าวเหมือนเสาบ้าน ถ้าดูแลให้ดีก็จะทำให้เสาต้นอื่นเป็นธรรมไปด้วย”อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนการทำงานของรัฐบาลและคมช.ในปัจจุบันยังคิดว่ามีความตั้งใจดีที่จะปฏิรูปการปกครองให้เข้าสู่ประชาธิปไตย แม้จะรู้สึกว่า บุคคลเหล่านี้ยังขาดความเข้าใจที่ลึกซื้งในเรื่องดังกล่าว แต่การนำเสียงท้วงติงมาปรับปรุงการทำงานก็ถือเป็นสิ่งที่ดี และมั่นใจว่าด้วยวิวัฒนาการทางการเมืองประชาชนจะไม่ยอมรับกับการสืบทอดอำนาจทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ดังนั้นรัฐบาลใหม่ต้องฉลาดพอในการจะทำให้การเมืองเป็นการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง มิใช่ประชาชนมีอำนาจแค่การหย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่ต้องมององค์กรภาคประชาชนเป็นพันธมิตรทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณก็มองเห็นตรงนี้และเอาภาคประชาชนบางคนมาเป็นพันธมิตรของตัวเอง

ด้านนายชวน หลีกภัย อดีตนายรัฐมนตรี กล่าวว่า วิกฤตที่นำมาสู่ปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 49 แต่เกิดขึ้นมาก่อนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ถ้าดูเหตุผลในการปฏิวัติจะเห็นว่าเหมือนกับสิ่งที่ตนเคยอภิปรายในคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราได้รัฐบาลที่มาจากการทุจริตการเลือกตั้งเพราะเมื่อทุจริตแล้วก็ต้องสร้างหลักป้องกันตัวเองในทุกองค์กร 75 ปีของประชาธิปไตยไทยที่ผ่านมา มีทั้งสิ่งที่ดีงาม และสิ่งที่เลวร้ายตามมา แต่สิ่งที่เลวร้ายมีมากกว่า จนกลายเป็นวิกฤติที่สุด ฝ่ายนิติบัญญัติพัง ฝ่ายบริหารคุมอำนาจคนเดียว องค์กรข้าราชการเป็นเครื่องมือบริษัท องค์กรอิสระเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ตรวจสอบไม่ได้ เหลือแต่องค์กรตุลาการ นอกนั้นสั่งได้หมด องค์กรสื่อทีวี วิทยุ ก็ถูกครอบงำทั้งหมด เหลือแค่สื่อสิ่งพิมพ์เพียงไม่กี่ฉบับ ที่สุดฐานที่ค้ำจุนความมั่นคงประชาธิปไตยก็พังทลายทั้งหมด จนเกิดวิกฤตินำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของไทย ดังนั้น ถ้าหากไม่อยากให้วิกฤติเกิดขึ้น ทุกองค์กรก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์

นายชวน ยังกล่าวอีกว่า การเมืองต้องการคนที่ตั้งใจเข้าไปทำงาน ไม่ใช่ต้องการคนที่รอจังหวะฉวยโอกาส ต้องการคนกล้าเข้าไปแลก เพราะถ้าไม่มีคนเช่นนี้ก็รักษาบ้านเมืองไว้ได้ยาก แต่การเมืองก็เหมือนทุกองค์การที่มีทั้งคนดี และไม่ดี แต่จะทำอย่างไรให้คนดีปกครองบ้านเมือง เหมือนดั่งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สำคัญคือจะทำให้ประชาชนรู้จักรักษาสิทธิของตนเองไม่ซื้อสิทธิขายเสียงได้อย่างไร เพราะถ้าเราไม่มีนักธุรกิจการเมือง นักธุรกิจสื่อ ก็ไม่มีคนหวังผลกำไร มีเพียงคุณธรรม จริยธรรมในวิชาชีพ บทเรียนที่ผ่านมาต้องไม่เสียเปล่า ถ้ารู้จักหยิบขึ้นมาแล้วสร้างเป็นภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน วิกฤติ 49 ไม่ใช่เกิดจากจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากความผิดเพี้ยนของสาระสำคัญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่นำเข้าสู่อำนาจเงินที่ซื้อได้ทุกอย่าง ดังนั้นการจะปรับแก้ต่าง ๆ จึงไม่ใช่การให้ความสำคัญกับหลักการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาคนควบคู่กันไปด้วย

“การจะสืบทอดอำนาจของคมช.คงจะหมดยุคไปแล้ว แค่จะทำให้มีอำนาจอยู่ก็ยังลำบาก ดังนั้นเวลาที่เหลืออยู่ จะทำอย่างไรให้เป็นคุณูปการกับประชาธิปไตยในอนาคตมากที่สุด เห็นว่าสิ่งที่ยังพอมีโอกาสแต่ยังไม่ได้ทำ คือการรณรงค์ให้ประชาชนเรียนรู้ประชาธิปไตยจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งเชื่อว่าจิตสำนึกของประชาชนยังมีอยู่ แต่มีการสร้างค่านิยมการซื้อเสียงกับประชาชน ทำให้ได้นักการเมืองแบบที่ผ่านมาครึ่งสภา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพร้อมกับควรทุ่มเทเวลาให้การแก้ไขปัญหาภาคใต้ เพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิต ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยคงไม่สามารถเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ แต่อยากขอให้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น และไม่ได้หวังว่าจะไม่เกิดปฏิวัติขึ้นอีก แต่หากทุกอย่างเป็นไปตามครรลองครองธรรม ก็ไม่มีเงื่อนไขมาอ้างในการยึดอำนาจได้ ”นายชวน กล่าว








โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 27 มิถุนายน 2550 เวลา:22:17:09 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณคนเดินดินฯ (ตรง ฯ ใช่กินข้าวแกงหรือเปล่าน๊า) อิอิ

เป็นบทความที่ดีมากอีกบทความหนึ่งค่ะ คุณเดินดินฯ
พุงไม่รู้ว่าจะคอมเม้นท์อะไรดี เพราะบทความ มีความหมายและข้อคิดดี มากๆ มากมายจนไม่รู้จะจับตรงไหนมาเม้นท์ดี

แต่พุงนั่งอ่านหมดน๊าคะ

เท่าที่พุงอ่านแล้วรู้สึกกลับมานึกถึงตัวเองได้ พุงแค่อยากแจมว่า เมื่อไหร่ที่พุงนึกถึงสิ่งที่พุงศรัทธา พุงจะมีความสุขใจมากๆ ในทุกขณะ แม้ยามขับรถ พุงจะมีพลังใจมากๆ ที่จะอยู่ได้อย่างมีความสุข แม้นว่าเวลานั้น พุงต้องขับรถอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่าพุงมีเรืองอะไรให้ต้องคิด กังวลกับชีวิต ชีวิตพุงไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ เพราะในแต่ละวันมันก็ย่อมผ่านไป และไม่รู้ว่าเวลาของชีวิตของเราจะหยุดที่ วันเวลาไหน แหะ แหะ พุงว่าพุง งง กับ คอมเม้นท์ตัวเองแล้วค่ะ


เอาเป็นว่า....ขอบคุณนะคะ ที่แวะไปทักทาย
ฮี่ฮี่ อย่า งง กับพุงน๊า


โดย: พลอยสีรุ้ง วันที่: 28 มิถุนายน 2550 เวลา:17:05:31 น.  

 
พี่ชายจ๋า

คิดถึงจัง
วันนี้วันพระ หนูไหว้พระ
อธิษฐาน ส่งความปรารถนาดีไปให้ พี่นะคะ

เพลงน่ารัก นะคะ ...

ยิ้มทั้งน้ำตา โอ
น้องพิมถนัด
เพลงนี้ พิมขอ เลยดีกว่า ....
จะสรุปเอาว่า เพลงของพิม


โดย: ประกายดาว วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:9:32:32 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


อยากจะส่งดอกไม้ไปให้
แทนความห่วงหา อาทร
แล้วเขียนคำ 'คิดถึง' สักคำหนึ่ง
แทนความรู้สึกซึ้งๆที่มี..อยู่ในใจ




** มีความสุขกับคนที่คุณรักนะจ้า **



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 29 มิถุนายน 2550 เวลา:13:36:07 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า..ที่ไม่อยากตื่นเลยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะแวะหา..ค่ะ
เมื่อวานเรามาฝากคอมเมนต์ไว้นะค่ะนิมันหายไปไหนนะ
ไม่เป็นไรค่ะขอให้รู้ว่ามิเคยลืมมิตรเช่นคุณนะ

ถึงเราจะไม่ใกล้กันในความห่างที่มีแต่รู้สึกมิตรภาพเสมอนะค่ะ

วันนี้อ่านที่คุณอัพบล๊อก..
เราว่าทุกอย่างของชีวิตก็เป็นแบบนี้นะค่ะ
มีขึ้นมีลง..อาจจะมีบ้างสำหรับการวางแผนที่ผิดพลาด
แต่ก็ไม่ใช่เพราะตัวเราเองเสมอนะค่ะ

ธุรกิจ..ในโลกปัจจุบัน..เราว่าทำยากกว่าอดีต
เราต้องรู้จังหวะฉกฉวยให้เร็วที่สุดเสมอค่ะ
วันนี้สดใสพรุ่งนี้ยังล้มพับได้

แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้ตลอดเวลาคือ
กำลังใจจากตัวเองค่ะ..และคนข้างกายที่เคียงข้างอย่างไม่หวั่นไหว
เราว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วนะค่ะ
อย่าท้อเมื่อรู้สึกเหนื่อย..
อย่าหลีกหนีเมื่อรู้สึกหมดพลังค่ะ
มันยิ่งจะล้มพับได้เร็วนะค่ะ

มีอีกหลายชีวิตที่ดูแย่กว่าเรามากเลยค่ะ
เราคิดเช่นนี้เสมอเมื่อใจอ่อนล้านะค่ะ
เรายังมีหลายทางให้เลือกหา..
เราคิดเสมอว่า..เราไม่มีมันตายค่ะ..ในโลกธุรกิจ

ขอให้คุณแกร่งเหมือนที่เคยมีนะค่ะ
สู้ๆๆๆ..ค่ะ..และขอนำบุญมาเยือนย้อนหลังมอบให้นะค่ะ
อนุโมทนาค่ะ





โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 30 มิถุนายน 2550 เวลา:9:12:53 น.  

 


โดย: jodtabean (loveyoupantip ) วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:4:00:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.