บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
31 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
การทำงานด้วยหัวใจ











เราแต่ละคนจะมีประสบการณ์ว่า ในหลาย ๆ ครั้ง เมื่อเราทุ่มเทตนเองทั้งหมดให้กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ จนสิ่งซึ่งมีความหมายที่สุดในขณะนั้นก็ได้แก่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ความคิดจากภายนอก ความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ และความรบกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ จะผ่านไปโดยที่เราไม่ให้ความสนใจเลย ความสนใจของเราทั้งหมดจะทุ่มเทอย่างเต็มที่กับแต่ละขั้นตอนของการทำงาน ชีวิตของเราทั้งหมดจะทุ่มเทให้แก่กระแสแห่งการทำงานให้สำเร็จ ในเวลาเช่นนี้เป้าหมายของเราจะเด่นและชัดเจน แต่สิ่งที่เราต้องการทำเพื่อจะบรรลุเป้าหมายนั้นจะชัดเจนด้วย

เมื่อเราเสร็จการทำงานเช่นนี้ ผลของงานนั้นก็จะแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนและความลึกซึ้งของการที่เราได้เข้าไปร่วมกับมัน และเราจะเบิกบานด้วยความสุขอันเกิดจากความสำเร็จ และความสุขนี้จะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเราเองมากขึ้น ความสุขที่เกิดขึ้นจะอยู่กับเรา จะให้กำลังใจแก่เรา จะจูงใจให้เราทำงานต่อไปในลักษณะเดียวกัน และยังสนับสนุนคุณภาพอันดีงามให้เกิดขึ้นอีกในงานอื่น ๆ ของเราด้วย

นี่คือการทำงานด้วยหัวใจ และเราแต่ละคนสามารถทำงานในลักษณะเช่นนี้ได้ เราจะเสริมสร้างคุณภาพนี้ได้ ด้วยการเปิดตัวเราให้กว้างเต็มที่ต่อสิ่งซึ่งอยู่ข้างหน้าเรา ยอมรับความต้องการของงานที่มีต่อเราด้วยความเต็มใจ ด้วยความเป็นสุข พลังงานอันอ่อนโยนของเราจะประคองเราให้ผ่านงานนั้นไปด้วยความมั่นใจ และจะเป็นแรงดลใจให้แก่ผู้อื่นซึ่งทำงานกับเราได้อีก การทำงานด้วยลักษณะเช่นนี้ก่อให้เกิดความสุขอย่างลึกซึ้ง แต่อะไรที่ขัดขวางเราไม่ให้ทำงานเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา


เมื่อเราเริ่มทำสิ่งใหม่ เรามักจะคาดว่าอุปสรรคต่าง ๆย่อมเกิดขึ้นได้ และเรามักจะคิดถึงข้อจำกัดหรือจุดอ่อนซึ่งเราต้องเผชิญ จุดอ่อนนั้นอาจจะจากตัวของเราเองหรือจากผู้อื่น แม้ว่าเรามีความกระตือรือร้นในงานแต่เราก็จะรู้สึกถูกบีบคั้นความรู้สึกกลัวว่าเราจะทำไม่สำเร็จจะซ่อนเร้นอยู่ภายใน ความกลัวนี้เองที่ขัดขวางการเลื่อนไหลอย่างอิสละของพลังงานและขัดขวางเราไม่ให้ซาบซึ้งกับคุณค่าของงานที่เราทำ

เนื่องจากเราไม่ให้พลังงานทั้งหมดแก่งานของเรา เราได้ทำลายความรู้สึกที่จะทำงานเต็มที่ไปเสีย เราจะพบว่าเราจะหยุดงานบ่อย ๆ เพื่อจะไปหาอะไรรับประทาน เพื่อจะไปหยิบเครื่องมือ เพื่อจะดื่มน้ำ หรือเพื่อจะไปเตือนผู้อื่นในเรื่องบางเรื่องแม้ว่าเราจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น แต่เราจะยังคงหันเหตนเองไปจากงานที่เราทำอยู่ เมื่อเราทำงานได้ล่าช้า เราก็พยายามจะหาทางที่เร็วที่สุดเพื่อทำให้มันเสร็จเพียงให้มันผ่านพ้นไปเสีย

เมื่อเราแสวงหาวิธีการที่ง่ายที่สุด เราก็จะทำสิ่งที่พึงกระทำได้เพียงอย่างหรือสองอย่าง แต่จะใช้พลังงานไปแสวงหาข้อแก้ตัวต่าง ๆ แทนที่จะใช้พลังงานนั้นในการทำงาน เนื่องจากเราให้ความสนใจต่องานแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เราจะมีความผิดพลาดบ่อย ๆ เข้าใจคำสั่งไม่ถูกต้อง ทำงานไม่เสร็จตามกำหนด เมื่อเรารู้สึกว่าทำงานได้ไม่ดี เราจะรู้สึกผิด และความรู้สึกผิดนี้เองที่จะครอบงำทุกอย่างที่เราทำ หากผู้อื่นวิจารณ์เรา ถามเราถึงผลงานที่เกิดขึ้น เราก็อาจจะแก้ตัวมากขึ้น เพื่อปกป้องความผิดพลาดของเรา

เมื่อเรามีความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้กับงาน เราจะให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยกับเวลาและพลังงานซึ่งเราใช้ไป ดังนั้นจึงไม่สามารถจะดื่มด่ำซาบซึ้งในประสบการณ์อันมีค่าซึ่งงานได้ให้แก่เรา งานจึงกลายเป็นหน้าที่ซึ่งเราทำอย่างไม่มีความสุข อย่างหงุดหงิดและไม่เป็นสุข เวลาจะเป็นน้ำหนักกดเราไว้ และเราจะสังเกตดูนาฬิกาเพื่อหวังจะให้มันหมดเวลาเร็ว ๆ ความสนใจของเราจะล่องลอยไป และการทำงานก็จะถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น หรือถูกผัดผ่อนจนกระทั่งมันถูกลืม


เมื่อเราไม่ให้พลังงานทั้งหมดแก่งาน ชีวิตของเราจะถูกกระทบกระเทือน ตาของเรา เสียงของเรา หรือการเคลื่อนไหวของเราจะบอกผู้อื่นว่าเรากักขังตัวเราเองไว้ แรงจูงใจของเราไม่คงที่ และคุณภาพต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงาน การสร้างสรรค์ในการทำงาน และความรู้สึกเบิกบานของเราจะถูกรบกวนด้วย เมื่อเราไม่ใช้พลังงานของเราอย่างเต็มที่ เราจะพบว่าความมุ่งมั่นในสิ่งที่ตั้งใจนั้นเป็นไปได้ยาก หรือแม้กระทั่งความรับผิดชอบในผลของงานก็ลดน้อยลง (มีต่อ)

....................................


คัดจาก "แห่งการงานอันเบิกบาน"

ผู้เขียน : ตาร์ถัง ตุลกู

ผู้แปล : โสรีช์ โพธิแก้ว

ขอขอบคุณองค์ความรู้ทั้งหมดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้

























บล็อกเมื่อวาน คลิกที่นี่


Create Date : 31 มกราคม 2549
Last Update : 31 มกราคม 2549 12:10:25 น. 11 comments
Counter : 1107 Pageviews.

 
ทำงานด้วยหัวใจ ถ้าใครรักในงานที่ทำก็ จะมีความสุขมากๆ ค่ะ


แต่สำหรับจุ......การทำงานด้วยหัวใจมีข้อจำกัดค่ะ


โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:12:34:38 น.  

 
เห็นด้วยอย่างแรงคะ เพาว่าถ้าเคนเราทำด้วยใจก็ดีทั้งนั้นแหละคะ


โดย: pigju IP: 203.156.84.111 วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:13:07:37 น.  

 
เห็นด้วยอย่างแรงคะ เพาว่าถ้าเคนเราทำด้วยใจก็ดีทั้งนั้นแหละคะ


โดย: pigju IP: 203.156.84.111 วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:13:07:37 น.  

 
เพลงเพราะมากค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:13:51:45 น.  

 
มาขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้ค่ะ..

เห็นด้วยกับข้อความข้างบนนะคะ
ไม่ว่างานอะไรก็ตาม
ขอให้เราทำมันด้วยใจ และทำอย่างเต็มที
งานทุกอย่างก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี


โดย: ยัยบี๋ วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:14:59:58 น.  

 
ทิ้งกันได้ไงค้า
ที่นี่น่ะ เป็นบ้านอีกหลังนึงเลยนะคะ
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่นี่น่ารักทั้งนั้น
จะทิ้งไปได้ยังไงคะ..


โดย: ยัยบี๋ วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:15:19:12 น.  

 
เอ่อ..เข้าใจผิดไปเปล่าคะ จุชอบกินเหล้า แต่ไม่ได้ติดเหล้าจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อบำบัดนะคะ

แต่ก็ขอบคุณค่ะ ที่แนะนำ


ส่วนเรื่องงาน จุว่าจุชัดเจนนะว่า มันมีข้อจำกัด ไม่ใช่ว่าไม่รักงานที่ทำ เพราะเพราะการทำงาน มีผู้ร่วมงาน ความรักที่เราให้ในงาน จึงมีข้อจำกัดตามสภาพแวดล้อมค่ะ คิดว่าทุกคนก็น่าจะพบกับเรื่องพวกนี้ ... ซึ่งไม่ใช่เกิดจากตัวเองค่ะ



โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:15:21:36 น.  

 
แน่นอนค่ะ .. ต้องทำงานด้วยหัวใจ


โดย: ป้ามด วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:15:41:55 น.  

 
ตัดมาจากเวบประชาไทครับ

บทความประเวศ วะสี: ปฏิจจสมุปบาทแห่งการฆาตกรรมชาติ



น.พ.ประเวศ วะสี


‘ปฏิจจสมุปบาท’ (ปะติดจะสะหมุบปะบาด) เป็นหมวดธรรมที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ส่วน “ฆาตกรรมชาติ” เป็นคำที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๙



‘ปฏิจจสมุปบาท’ เป็นหมวดธรรมะที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยที่ผลักดันกันต่อๆ ไป ๑๒ ขั้นตอนจนเกิดทุกข์ เริ่มตั้งแต่อวิชชา ดังนี้



ที่จริงเราได้ยินพระสวดในงานศพอยู่เสมอ แต่เราไม่เข้าใจ จึงขาดปัญญาทางธรรมไป ทีหลังเวลาฟังพระสวด คอยสังเกต ถ้าท่านสวดว่า “อวิชชา ปัจจยา สังขารา” นั่นแหละท่านเริ่มสวดบทปฏิจจสมุปบาทแล้ว



ถ้าเราเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ที่ผลักดันกันต่อๆ ไป จนทำให้เกิดทุกข์ เราก็รู้ว่าจะขจัดทุกข์ได้ ณ ขั้นตอนใดได้บ้างและอย่างไร จนถึงทำให้สิ้นทุกข์ได้ ฉันใด



ขณะที่หายนภัยแห่งการสิ้นชาติกำลังเกิดขึ้น ถ้าเราเข้าใจเหตุปัจจัยที่ผลักดันกันต่อๆ ไปสู่การสิ้นชาติ จะทำให้เราอยู่ในฐานะจะขจัดเหตุแห่งการสิ้นชาติได้ ฉันนั้น



ผมขอยืมคำทางพุทธมาใช้ เรียกห่วงโซ่แห่งเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การสิ้นชาติว่า ปฏิจจสมุปบาทแห่งการฆาตกรรมชาติ – มี ๙ ขั้นตอน ๑๐ หัวข้อ ดังนี้

ปฏิจจสมุปบาทแห่งการฆาตกรรมชาติ – มี ๙ ขั้นตอน ๑๐ หัวข้อ




ที่จริง มีเหตุปัจจัยและผลเป็นรายละเอียดมากกว่านี้ ที่เรียงลำดับมาอย่างย่นย่อเพื่อจำได้ง่าย แต่สามารถไปศึกษาให้ละเอียดพิสดารต่อไปได้ จะขอขยายความเพียงเล็กน้อยบางประเด็นเท่านั้น ดังต่อไปนี้



ทุนขนาดใหญ่เป็นแสนๆ ล้าน เราไม่เคยมีมาก่อน ทุนขนาดใหญ่อย่างนั้นมีฤทธิ์มาก สามารถทำอะไรก็ได้ ควรศึกษาให้รู้ว่าการสะสมทุนขนาดใหญ่นี้ไม่ได้มาโดยสัมมาชีพ แต่โดยให้สินบาทคาดสินบน ผูกขาด เอาเปรียบ ค้ากำไรเกินควร



ปรกติอำนาจรัฐกับอำนาจเงินจะต้องแยกจากกัน อำนาจรัฐจะได้ควบคุมอำนาจเงินไม่ให้ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรม เมื่อทุนขนาดใหญ่เข้ามายึดอำนาจทางการเมืองก็ทำให้อำนาจในสังคมเสียดุลอย่างรุนแรง ส่งคลื่นของความไม่ถูกต้องไปกระทบทุกอณูของสังคม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



เมื่อทุนขนาดใหญ่กับอำนาจทางการเมืองเข้าไปรวมกัน เขาก็ครอบงำเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่าย เข้าแทรกแซงทำให้องค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญอ่อนแอลง เข้าแทรกแซงสื่อทั้งหมดเพื่อทำลายภูมิคุ้มกัน หรือกลไกป้องกันตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบของประเทศให้อ่อนแอลง



คนเราถ้าสุจริตเสียอย่างจะไม่กลัวการตรวจสอบ เพราะสอบเมื่อไรก็จะเห็นแต่ความดีของตัว คนทุจริตจะเกลียดการตรวจสอบและคนแบบกล้าณรงค์และคุณหญิงจารุวรรณ จะพยายามหาทางกีดกันขับไล่ไสส่ง เพราะเป็นก้างขวางคอ



เมื่อทำให้กลไกตรวจสอบอ่อนแอ คอร์รัปชั่นต่างๆ ก็เกิดขึ้นอย่างมโหฬารที่เรียกกันว่าโคตรโกงบ้างและโกงทั้งโคตรบ้าง ตลอดไปจนคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย คือทำนโยบายผ่อนปรนกฎระเบียบ แก้ไขกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์มหาศาลเข้าสู่หมู่พวกของตน สภาพคอร์รัปชั่นกันทั้งชาตินี้จะเป็นโครงสร้างและนิสัยที่บ่อนทำลายประเทศไปอีกนาน ที่ฟิลิปปินส์ประธานาธิบดีมาร์คอสได้ก่อให้เกิดโครงการสร้างและนิสัยคอร์รัปชั่นทิ้งไว้ ซึ่งยังกัดกินประเทศให้ทรุดอย่างฟื้นตัวไม่ได้ แม้กระทั่งบัดนี้ หลังจากมาร์คอสตายไปนานแล้ว



คนไทยต้องช่วยกันศึกษาวิจัยให้ดีๆ ว่า ประเทศไทยกำลังจะเป็น “โรคมาร์คอส” หรือไม่



คนที่ได้เปรียบจะชอบขายรัฐวิสาหกิจ ผ่อนปรนกฎระเบียบหรือแก้ไขกฎหมาย ตกลงการค้าเสรี ให้ต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ โดยอธิบายข้อดีของการค้าเสรีการเงินเสรีด้วยประการต่างๆ ถ้าใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้าก็อย่าปลงใจเชื่อตรรกะเหล่านั้น



สังคมไม่มีตัวอย่างของระบบที่ดีที่สุด



ระบบที่ดีที่สุดคือระบบร่างกายมนุษย์ อันเป็นผลจากวิวัฒนาการมากว่าสามพันล้านปี เซลล์ในร่างกายของเราแลกเปลี่ยนกับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ปล่อยให้อะไรไหลเข้าออกโดยเสรี ถ้าไหลโดยเสรีมันจะตาย เซลล์ต้องคัดเลือกให้อะไรเข้าออกได้ไม่ได้เท่าไร เพื่อรักษาดุลยภาพของตัวเอง การรักษาดุลยภาพคือการรักษาความเป็นปรกติ และการมีชีวิต



เรื่องการแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากขึ้นและขายโครมได้เงินเข้าพกเข้าห่อ ๗๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษี เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นตัวอย่างอันโจ่งแจ้งให้ผู้คนได้ดูกัน



บัดนี้ ทุนต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการและทรัพย์สินในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งธนาคาร โรงแรม ศูนย์การค้า โทรศัพท์ ต่อไปก็ไฟฟ้า ประปา ที่ดิน ฯลฯ กิจการเหล่านี้ย่อมเพิ่มการขูดรีดคนไทย เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยเราไม่มีทางต่อสู้ ถ้าเราขัดขืนเขาก็จะทำร้ายด้วยประการต่าง ๆ รวมทั้งด้วยกำลังอาวุธ เป็นการชักศึกเข้าบ้านโดยแท้



คนไทยจะหมดอิสรภาพในการกำหนดอนาคตของตนเอง ก็เท่ากับสูญเสียอธิปไตย คนไทยจะทำงานหนักและเหนื่อยเหมือนวัวเหมือนควาย เพื่อให้ต่างชาติและคนไทยบางส่วนเอาส่วนเกินไปหมด



การค้าเสรี แม้จะมีผู้อ้างข้อดีเป็นอเนกประการ แต่ที่แน่ชัดก็คือทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยและระหว่างประเทศจนกับประเทศรวยห่างมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความไม่เป็นธรรม การทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายวัฒนธรรม ทำลายศีลธรรม ความรุนแรง และสงคราม



ในขณะที่เศรษฐกิจพอเพียง เน้นที่การพออยู่พอกินและการมีไมตรีจิตต่อกัน ความพอดี ความสมดุล การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ศาสนธรรม หรือความดี อีกนัยหนึ่ง เศรษฐกิจพอเพียงถือการอยู่ร่วมกันด้วยสันติระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อมเป็นตัวตั้ง อะไรที่ไม่เอาการอยู่ร่วมกันด้วยสันติเป็นตัวตั้ง แต่เอาอย่างอื่น เช่น ตลาดเสรีก็ดี การเงินเสรีก็ดี เป็นตัวตั้ง ในที่สุดจะนำไปสู่ความล่มสลายของระบบทั้งหมด



ในบทวิเคราะห์การเมืองของไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๙ ใช้คำว่า “ฆาตกรรมชาติ” ถ้าเราเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแห่งการฆาตกรรมชาติ ก็จะเข้าใจทิศทางการไปสู่การสิ้นชาติ รู้ว่าใครขายชาติ และจะกู้ชาติได้อย่างไร



ขอให้คนไทยช่วยกันศึกษาปฏิจจสมุปบาทแห่งการฆาตกรรมชาติ กันอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ถ้าเราเข้าใจ มีปัญญา หลุดออกจากอวิชชา เราจะเกิดญาณปัญญารู้ว่าจะขจัดเหตุแห่งทุกข์ของชาติได้อย่างไร



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:17:45:00 น.  

 




สวัสดีตอนเย็นๆของ อุดรธานี นะจ้า



คิดถึง คิดถึง คิดถึง .......

ไม่รู้ว่าเธอจะคิดเหมือนกันบ้างไหม

ถ้าอยากรู้ว่าฉันคิดถึงใคร

กลับไปอ่านเริ่มต้นไหม่ แล้วต่อท้ายด้วยชื่อเธอ



..มีความสุขมากๆของค่ำวันนี้นะจ้า..



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:18:05:14 น.  

 

หุหุ บล็อกวัยรุ่นขึ้นทุกวันเลยนะคะ
แต่สาระยังคงเดิม และตัวหนังสืออ่านง่ายขึ้นค่ะ


โดย: p_tham วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:0:50:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.