บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
29 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
วิกฤตจะไม่คงอยู่ตลอดไป...ถ้าใจเราไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ (1)






วิกฤตจะไม่คงอยู่ตลอดไป...หากใจเราไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

หลายครั้งในชีวิตที่ประสบกับวิกฤต
และรูสึกอยากจะโยนผ้ายอมแพ้
แต่สำนึกในใจบอกว่า "เราจะต้องลุกขึ้นสู้"
ปัญหาเพียงแค่นี้เล็กน้อยมาก เคยผ่านมาก็หนักกว่านี้มาก

หลายครั้งถามหาความมั่นคงในชีวิต
ทำไมชีวิตมันช่างโหดร้ายเช่นนี้
ปัญหาความรัก--ปัญหางานอาชีพ--ปัญหาความคิดร้อยแปด
เคยเข้ามาในชีวิตพร้อม ๆ กัน
ในขณะที่เราไม่มีอะไรเลยในชีวิต
แต่สุดท้ายเมื่อตัดสินใจเดินหน้า
และทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
เรียนรู้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
ศักยภาพที่เรามองไม่เห็นในตัวก็แสดงออกเต็มที่
และทำให้ความมั่นใจในตนเองมีมากขึ้น

อดีต ปัจจุบัน อนาคต
คือกาลเวลาที่เราจะต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง
บทละครแห่งชีวิตที่ยาวนานยังไม่จบ
หากเรายังไม่สิ้นลมหายใจ
ก็ต้องปลุกปลอบกำลังใจเราให้ต่อสู้อยู่เรื่อยไป
ด้วยวิธีคิดวิธีการทำงานที่ถูกต้อง
ด้วยความเชื่อมั่นในประเทศชาติที่เราอาศัยอยู่
ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป


ชีวิตนี้กำหนดได้ด้วยมือเรา!!!





@@ลิ้งบล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่ครับ@@




@@ลิ้งบทความ---> "การนับทรัพย์สินแบบปฏิวัติ--ดร.ไสว บุญมา(ตอนแรก) คลิกที่นี่ครับ@@

@@ลิ้งบทความ---> "การนับทรัพย์สินแบบปฏิวัติ--ดร.ไสว บุญมา (ตอนจบ) คลิกที่นี่ครับ@@


Create Date : 29 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 7:34:18 น. 11 comments
Counter : 765 Pageviews.

 


โดย: รักดี วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:12:14:38 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

โพลใหม่ชี้"เดนมาร์ก"สุขสุด ภูฏานอันดับ8-ไทยลุ่ย76



มหาวิทยาลัยอังกฤษเผยผลสำรวจชี้คนเดนมาร์กมีความสุขที่สุดในโลก ส่วนเอเชีย"ภูฏาน-บรูไน"อยู่อันดับ 8 และ 9 ด้านไทยอันดับ 76 แพ้มาเลย์-ฮ่องกง-อินโดฯ อ้างประเทศ ปชต.ในยุโรปคว้า 7 ใน 10 ดินแดนมีความสุข ยิ่งมีจีดีพีสูง-สาธารณสุขดียิ่งมีความสุข ขัดแย้งกับผลสำรวจของนิว อีโคโนมิกส์ ฟาวน์เดชั่นก่อนหน้านี้

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ว่า มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ของอังกฤษ ได้เปิดเผยผลสำรวจล่าสุด โดยระบุว่าชาวเดนมาร์กเป็นชนชาติที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ สวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 3 ออสเตรีย อันดับ 4 ไอซ์แลนด์ อันดับ 5 บาฮามาส อันดับ 6 ฟินแลนด์ อันดับ 7 สวีเดน อันดับ 8 ภูฏาน อันดับ 9 บรูไน และอันดับ 10 แคนาดา ทั้งนี้ โดยวัดจากสุขภาพ ความร่ำรวย การศึกษา ความมีอัตลักษณ์ คุณภาพของภูมิทัศน์

ข่าวระบุว่า ผลการสำรวจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมีการเผยแพร่ผลสำรวจก่อนหน้านี้ของสถาบันทางวิชาการของอังกฤษคือ นิว อีโคโนมิกส์ ฟาวน์เดชั่น ช่วงต้นเดือนที่ระบุว่าวานูอาตู ประเทศหมู่เกาะเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิกคือประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก

รายงานข่าวระบุว่า มหาวิทยาลัยเลสเตอร์เป็นผู้จัดทำ เวิลด์ แมพ ออฟ แฮปปี้เนสส์ หรือแผนที่แห่งความสุขในโลกขึ้น โดยพบว่า 7 ใน 10 ดินแดนที่ประชาชนมีความสุขที่สุดในโลกล้วนอยู่ในยุโรป และเป็นประเทศประชาธิปไตยทั้งสิ้น

การสำรวจครั้งนี้นอกเหนือจาก 10 อันดับแรกประเทศที่ติดอันดับประชาชนมีความสุขที่สุดในโลกในลำดับต้นๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาอันดับที่ 23 เยอรมนีอันดับที่ 35 อังกฤษอยู่ที่อันดับที่ 41 ฝรั่งเศสที่ 62 ส่วนประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดอันดับสูงสุดคือ ภูฏานในอันดับ 8 และบรูไนที่อันดับ 9 ตามมาด้วยมาเลเซียที่อันดับ 17 ซาอุดีอาระเบียอันดับที่ 31 คูเวตอันดับที่ 38 กาตาร์อันดับ 45 ฮ่องกง 63 อินโดนีเซีย 64 ไทยติดอันดับที่ 76 ฟิลิปปินส์ที่ 78 จีนที่ 82 ญี่ปุ่นที่ 90 อินเดียที่ 125 ปากีสถานที่ 166 และรัสเซียรั้งท้ายที่อันดับ 167

นายเอเดรียน ไวท์ นักสังคมจิตวิทยา ซึ่งสำรวจเรื่องดังกล่าวระบุว่า เมื่อถามผู้คนในประเทศต่างๆ ว่ามีความสุขกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนหรือไม่ ประชาชนที่อยู่ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดี ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ต่อหัวสูง และมีระบบการศึกษาที่ดีและทั่วถึงมีแนวโน้มที่จะมีความสุขที่สุด ขณะที่ความล้มเหลวของชีวิตสมัยใหม่ และความกังวลเรื่องอายุ กลับเป็นสิ่งที่มีความสำคัญน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเรื่องสุขภาพพลานามัย ฐานะการเงิน และความจำเป็นเรื่องการศึกษา ในประเทศอื่นๆ ในโลก

ข่าวระบุว่า ผลการวิเคราะห์ของนายไวท์มีพื้นฐานจากผลการศึกษาค้นคว้าในหัวข้อต่างๆ กว่า 100 หัวข้อที่สอบถามผู้คนทั่วโลกราว 80,000 คน


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:12:30:11 น.  

 
สวัสดีครับคุณรักดี

วันนี้เริ่มด้วยหัวข้อที่อาจจะหนัก ๆ แต่ก็จะพยายามโพสต์ให้ดีที่สุดหลาย ๆ ตอนจบครับ ช่วงนี้งานยุ่งมาก ๆ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:12:38:07 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

เศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชพาไทยรอด



เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการประชุมวิชาการเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ภายใต้หัวข้อ "ใต้ร่มพระบารมีพระบรมธรรมิกมหาราชา" โดย ดร.สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ ดร.กนกศักดิ์ แก้วเทพ และ ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา จากคณะเศรษฐศาสตร์ นำเสนอผลการศึกษาเรื่อง "เศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชา"

ดร.วรเวศม์กล่าวว่า การเข้ามามีบทบาทของพระมหากษัตริย์ในเชิงเศรษฐศาสตร์เป็นไปในลักษณะของเศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชา (Benevolent King) แยกเป็นในส่วนการปกครองนั้น ระบอบประชาธิปไตยยังมีช่องโหว่เนื่องจากเอื้อประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก จนลืมคนเสียงข้างน้อยที่เสียประโยชน์หรือได้รับประโยชน์บางอย่างไม่เต็มที่ เกิดเป็นปัญหา "ทรราชประชาธิปไตย" คือกลุ่มคนที่มีสมาชิกมากจะได้รับการตอบสนองที่รวดเร็วกว่าคนกลุ่มน้อย แม้ในเวลาที่คนกลุ่มน้อยคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ตาม บทบาทของเศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชาจึงช่วยลดความไม่เท่าเทียมของสังคมต่างๆ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ดร.วรเวศม์กล่าวต่อไปว่า ผลจากการสืบค้นประโยชน์สุขของคนทุกกลุ่มโดยการประกอบพระราชกรณียกิจและเสด็จประพาสท้องที่ต่างๆ ในตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ในหลวงทรงให้น้ำหนักกับประโยชน์สุขของคนที่ด้อยโอกาสมากกว่าคนกลุ่มอื่น ทรงมีวิสัยทัศน์ในการคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนรุ่นหลัง เห็นได้จากที่โครงการหลายโครงการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติซึ่งถือได้ว่าเป็นการจัดสรรทรัพยากรข้ามเวลา เพราะสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นสมบัติของคนรุ่นลูกหลานในอนาคตด้วย

ดร.กนกศักดิ์กล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่า พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 จากการศึกษาดังกล่าวพบว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในขณะที่รัฐบาลของไทยในอดีตที่ผ่านมายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้มากเท่าที่ควร เพราะยึดเอาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายสูงสุดในการพัฒนาประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยนับวันยิ่งห่างออกจากการพึ่งพาตนเองมากขึ้น ทำให้ประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540

ด้าน ดร.สุทธิพันธ์กล่าวว่า จากการที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในโลกเริ่มให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ถือเป็นทิศทางที่ดีที่จะทำให้เศรษฐกิจพอเพียงสามารถอยู่คู่ไปกับเศรษฐกิจระบอบตลาดได้ต่อไป การจะให้อยู่คู่กันได้ยังจะต้องปฏิวัติความคิดโดยคำนึงถึงต้นทุนด้านธรรมชาติมากขึ้น ต้องตระหนักให้ได้ว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เช่นเดียวกับความสุข การพัฒนาจิตใจ ความซื่อสัตย์สุจริต อดออม หรือกล่าวได้ว่าเป็นภาวะจิตนิยมมากกว่าวัตถุนิยมเหมือนในอดีต รัฐบาลจะต้องตระหนักในการดำเนินนโยบาย อย่ามุ่งเน้นเอาคะแนนนิยมมากจนเลยเถิดและทำให้เกิดผลกระทบด้านอื่น


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:01:17 น.  

 
คัดจากมติชนสุดสัปดาห์

บทความพิเศษ

จันทน์กะพ้อ...ร่วงพรู

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย ในพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2549 โดยให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 และให้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2549 เป็นต้นไปนั้น

ตามความรู้สึกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสมาชิกพรรคไทยรักไทย ย่อมยินดีอย่างยิ่ง

ยินดีที่ดูเหมือน "เกม" กลับมาอยู่ในมือของตนเองตามที่ต้องการแล้ว

อันทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณระงับความรู้สึก "ยินดี" เอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเข้าใจว่า "ฟ้าเปิด" จึงรีบชิงเสนอให้ที่ประชุมศาลฎีกา สรรหา กกต. ให้ครบ 5 คนเพื่อที่จะเดินหน้าเลือกตั้งตามที่ต้องการ

เช่นเดียวกับ 3 กกต. ที่ยืนกรานหัวชนฝา "ไม่ลาออก" มาตลอด ก็ย่อมรู้สึกไปในทางเดียวกัน นั้นคือเมื่อมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ก็มีความหมายว่า ตนเองจะต้องได้ดูแลจัดการเลือกตั้งต่อไป

ไม่ต้องลาอออกตามที่หลายฝ่ายกดดัน

ทั้งนี้ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและ กกต. อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากกับคำแถลงของ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ด้วยคงมองว่าเป็น "หลักการทั่วไป"

โดย น.พ.สุรพงษ์ระบุว่า นายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ ได้อัญเชิญพระราชกระแสประกอบ พ.ร.ฎ. ดังกล่าวเพื่อเรียนต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรงเพื่อให้เร่งรัดดำเนินการสนองพระราชกระแสโดยด่วน 2 ประเด็น

คือ 1.เหตุผลที่ทรงลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.ฎ. นั้นก็เพราะมีพระราชประสงค์จะเห็นประเทศชาติกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

และ 2.ทรงมีพระราชประสงค์ให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีขึ้นในคราวต่อไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ และยุติธรรมอย่างแท้จริง

แต่หากเมื่อไปพิจารณา พ.ร.ฎ.เลือกตั้งแล้ว

ไม่ได้มีเพียงเนื้อหา พ.ร.ฎ. ที่กำหนดวันเลือกตั้งเท่านั้น

หากแต่มีหมายเหตุต่อท้าย พ.ร.ฎ. ด้วย ซึ่งน่าสังเกตว่าโดยทั่วไป มักจะไม่ค่อยมี "หมายเหตุ" ต่อท้ายกฎหมาย เช่นคราวนี้

ซึ่งทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและ กกต. ควรต้องเฉลียวใจ

แต่อาจเพราะความ "ยินดี" จึงอาจทำให้มองข้ามไป

ทั้งนี้ หมายเหตุได้ระบุว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2549 ให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรและให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 นั้น

"แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 9/2549 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 วินิจฉัยว่า การดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 นั้นเป็นการเลือกตั้งที่ทำให้เกิดผลของการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรมและไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 มาตรา 3 มาตรา 104 วรรคสาม และมาตร 144"

ซึ่งเป็นการ "ยืนยัน" และย้ำ "อีกครั้ง" ว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ดำเนินการ "กกต." ชุดนี้แหละ เป็นการดำเนินการที่

1) การเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม

2) ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

3) เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ถือเป็นความผิดที่ "ร้ายแรง" ยิ่ง



และความผิดที่ร้ายแรงนี้ แปรสู่การลงโทษอย่างเป็นรูปธรรมในวันที่ 25 กรกฎาคม เมื่อศาลอาญาอ่านคำพิพากษาที่ นายถาวร เสนเนียม แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้อง กกต. ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

โดยศาลอาญาได้ยืนยันถึงการที่ กกต. จัดการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มิใช่เป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

สอดคล้องกับหมายเหตุต่อท้าย พ.ร.ฎ. ทุกประการ

ทั้งนี้ การประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลอาญาระบุไว้คือ

1. สั่งให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ใน 38 เขต 15 จังหวัด ในวันที่ 23 เมษายน 2549 โดยการเปิดรับสมัครใหม่ในวันที่ 8-9 เมษายน ทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 (มาตรา 7/2) ที่ให้อำนาจ กกต. ในการย่นหรือขยายระยะเวลาหรือการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งเท่านั้น

2. การเปิดรับสมัครใหม่กำหนดให้ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้หมายเลขเดิมคือ เบอร์ 2 ขณะที่ผู้สมัครจากพรรคใหม่ได้หมายเลขใหม่ เป็นการเสียเปรียบ ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม

3. ทำหนังสือเวียน ลงวันที่ 10 เมษายน 2549 ไปยัง กกต.เขต กำหนดให้ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งหนึ่ง สามารถเวียนเทียนไปสมัครใหม่ในอีกเขตหนึ่งได้ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยต้องแข่งขันกับการได้คะแนนเสียงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ที่บัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถสมัครได้เพียงเขตเดียว

4. สั่งให้รับสมัครผู้สมัครจากพรรคเล็กใหม่ใน จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 19-20 เมษายน 2549 โดยอ้างว่ามีการขัดขวางการรับสมัครและมีการจลาจลซึ่งขัดกับข้อเท็จจริง เป็นการหลีกเลี่ยงมิให้ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยต้องแข่งขันกับการได้คะแนนเสียงร้อยละ 20

5.การกระทำของ กกต. ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นเป็นการกระทำที่เชื่อมโยงกันมาโดยตลอด แสดงให้เห็นเจตนากระทำผิดดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง

และที่สุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และ นายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต. ก็ถูกพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา 4 ปี

ขณะเดียวกัน ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี

ถือเป็นคำพิพากษาลงโทษที่ถือว่า "หนักและรุนแรง" ยิ่ง



ไม่ใช่เพียงแค่นั้น

หลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว กกต. ทั้งสาม ยื่นคำร้องขอประกันตัว

ปรากฏว่า ไม่ได้รับการอนุมัติ

ซึ่งน่าพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลยิ่ง

โดยศาลอาญาระบุว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามเป็น กกต. ต้องมีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 แต่การจัดเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 และการเลือกตั้งที่ต่อเนื่องมา โดยจำเลยทั้งสาม กลับถูกพรรคการเมืองหลายพรรคและประชาชนส่วนหนึ่งต่อต้าน

นอกจากนี้ ยังมีแพทย์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และประชาชนหลายสาขาอาชีพทำการประท้วงด้วยการฉีกบัตรเลือกตั้งโดยเปิดเผย

ประกอบกับหลายเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวพรรคเดียวได้คะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 20 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติของสังคม

แทนที่จำเลยทั้งสามจะใส่ใจรีบหาทางแก้ไขความไม่พอใจของประชาชน

จำเลยกลับเดินหน้าจัดเลือกตั้งต่อไปทั้งที่ยังไม่มีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งหลายเขตอย่างเป็นทางการจนเกิดการหมุนเวียนผู้สมัครทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อการจัดเลือกตั้งของจำเลยทั้งสามมากขึ้นตามลำดับ

จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีวัยวุฒิและคุณวุฒิเคยดำรงตำแหน่งระดับสูงมาก่อนย่อมตระหนักดีว่า กกต. เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อประชาชนจำนวนมากรวมทั้งพรรคการเมืองไม่ไว้วางใจในความเป็นกลาง ความสุจริตและเที่ยงธรรมของจำเลยทั้งสามแล้วย่อมกระทบกระเทือนถึงการจัดการเลือกตั้งทุกระดับ

การที่จำเลยทั้งสามยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่อไปโดยไม่ไยดีต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา และไม่ตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า จึงส่อพิรุธและชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์และเชื่อได้ว่า หากศาลอาญาสั่งอนุญาตให้ปล่อยจำเลยทั้งสามระหว่างอุทธรณ์ เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับไปปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ส.ส. อีกก็น่าจะเกิดความไม่เรียบร้อย สุจริตและเที่ยงธรรมเหมือนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อประโยชน์สุขและความสงบเรียบร้อยของสังคมจึงเห็นสมควรให้รีบส่งคำร้องขอประกันตัวพร้อมสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป

ซึ่งเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัย

ปรากฏว่า สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลอาญา โดยระบุว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่ามูลเหตุแห่งคดีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ในการดำเนินการเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่เป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นับแต่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน มีปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากการทำหน้าที่ของจำเลย ยังคงปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในความเป็นกลางทางการเมืองตลอดมา

โดยความเป็นทางการเมืองอันเป็นที่ประจักษ์เป็นคุณสมบัติสำคัญ กกต. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 ที่ระบุว่าพฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า หากจำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเตรียมการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 15 ตุลาคมต่อไป ซึ่งอาจก่อความให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อการเลือกตั้งอันจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

จึงให้ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลย

จะเห็นว่า คำพิพากษาลงโทษและไม่ให้ประกันของศาลนั้น ได้ระบุความผิดของ กกต. อย่างชัดเจน และชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรมที่จะดำเนินการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งต่อไปอย่างสิ้นเชิง



สําหรับ กกต. แล้ว บรรยากาศเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ห่างกันไม่ถึงสัปดาห์ ย่อมแตกต่างกันราว "ฟ้า" กับ "ดิน"

เพราะวันที่ 21 กรกฎาคม หลังมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง เหมือนการพลิกสถานะเป็นต่อ

แต่พอวันที่ 25 กรกฎาคม หลังมีคำพิพากษา เหมือนความหายนะ เพราะไหนต้องโทษจำคุก ไหนไม่ได้ประกัน และต้องพ้นสภาพการเป็น กกต. ภายในพริบตา

ย่อมเป็นภาวะพลิกผันอย่าง "รุนแรง"

สำหรับชาวสวนเมืองจันท์ อย่าง พล.ต.อ.วาสนา ย่อมมีประสบการณ์กับภาวะของ ดอกจันทน์กะพ้อ ที่วันหนึ่งบานขาวสะพรั่งไปทั้งต้น แต่ภายในวันเดียวก็พร้อมที่จะร่วงพรูลงสู่ดินจนหมดสิ้น

เป็นสภาวะ "พลิกผัน" ในชั่วข้ามวัน ที่ยากจะทัดทาน นอกจากทำใจยอมรับสภาพ

การฝืน "เพื่ออยู่" อย่างสุดฤทธิ์ จนกลายเป็นการดื้อดึงนั้น ที่สุดก็พิสูจน์ว่าไม่อาจต้านทาน "ภาวะที่ต้องเป็นไป" ได้

เป็นภาวะที่เป็นไป ที่ละเอียด ลึกซึ้ง เป็นระบบ

และเมื่อปรากฏผล ก็จะเป็นไปอย่าง "เด็ดขาด-ฉับพลัน" เหมือนอย่างที่ 3 กกต. เผชิญอย่างเจ็บปวด

จากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย ใน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง-หมายเหตุต่อท้าย พ.ร.ฎ.-พระราชกระแสประกอบ พ.ร.ฎ.-คำพิพากษาของศาล ล้วนมีความสัมพันธ์-เกี่ยวเนื่อง อย่างยากปฏิเสธ

ซึ่งไม่ใช่ 3 กกต. เท่านั้นที่ได้รับผลแห่งการการทำของตน

พ.ต.ท.ทักษิณที่เคยรู้สึกเหมือน กกต. คือเกม "เลือกตั้ง" มาอยู่ในมือตัวเองแล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่ กลับกลายเป็นเรื่องอื่นที่ "พลิกผันเหนือความคาดหมาย"

ในอนาคตอันใกล้นี้ การ "ยุบพรรค" อาจเป็นประเด็นที่ต้องจับตากันเป็นพิเศษ!


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:07:53 น.  

 
ใช่เลยค่ะ..............ชีวิตกำหนดได้ด้วยมือเรา

ถ้าหากไม่รู้จักถดถอย....ด้วยพลังใจที่ล้นเปี่ยม

จากตัวเราผู้กำหนดโชคชะตา..ของตัวเอง.....





โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:11:26 น.  

 
ช่ายแล้วจ้า กำหนดด้วยสองมือของเราเอง



โดย: Malee30 วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:57:19 น.  

 
สวัสดีค่ะ ไม่ยอมแพ้ที่จะไปในทางที่ดีค่ะ ขอบคุณบทความสาระข้อคิด ..

สบายดีนะคะ..


โดย: ป่ามืด วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:05:35 น.  

 
ครับ ชีวิตกำหนดได้ด้วยมือเรา


โดย: Pekky (Culture) IP: 124.120.242.200 วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:0:53:04 น.  

 
คัดจากไทยรัฐ

ข่าวการเมือง(วิเคราะห์)



ยกเครื่ององค์กร สู้มารการเมือง

ต้องถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติม

กำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549

โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2549 เป็นต้นไป

พร้อมทั้งมีพระราชกระแสประกอบการออกพระราชกฤษฎีกา แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้ง เป็นหมายเหตุสำคัญ 2 ข้อ

1. เหตุผลที่ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกานั้น ก็เพราะมีพระราชประสงค์อยากให้ประเทศชาติ กลับไปสู่ความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

2. มีพระราชประสงค์ให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีขึ้นในคราวต่อไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์และยุติธรรม อย่างแท้จริง

นี่คือพระราชกระแสอันทรงคุณค่า

ชี้หนทางสว่างในการนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการเมือง

และมาถึงวันนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า

สิ่งอุดตัน

ที่เป็นอุปสรรคต่อการที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์และยุติธรรมอย่างแท้จริงตามพระราชประสงค์

ได้ถูกทะลวงออกไปแล้ว

เมื่อศาลอาญาได้มีคำพิพากษาว่า กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เหลือ 3 คน ประกอบด้วย

พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต.

มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง

ในกรณีจัดการเลือกตั้งรอบสอง 38 เขตใน 15 จังหวัดภาคใต้ ที่มีผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยลงสมัครคนเดียว และได้คะแนนไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

โดยได้ออกหนังสือเวียนแจ้งให้ ผอ.กกต.เขตเลือกตั้ง ดำเนินการรับสมัครผู้สมัคร ส.ส. ที่เวียนเทียนย้ายเขตมาลงสมัครได้

ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้สมัครพรรคไทยรักไทยให้มีคู่แข่งในการเลือกตั้ง อันเป็นการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่ต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยส่งคนลงสมัครเพียงพรรคเดียว

ตัดสินลงโทษจำคุก กกต.ทั้ง 3 คน คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี

โดยในเบื้องต้นไม่อนุญาตให้ประกัน

ส่งผลให้ กกต.ทั้ง 3 คน

ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 3 คืน พร้อมได้ทำหนังสือลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

และต่อมาศาลได้เมตตาอนุญาตให้ประกันตัว ตามคำร้องขอของจำเลยที่ให้เหตุผลว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ

ทั้งนี้ เมื่อ กกต.ทั้ง 3 คนพ้นสภาพไปแล้ว

สถานการณ์จึงก้าวไปสู่กระบวนการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ เข้ามาทำหน้าที่ดูแลจัดการเลือกตั้ง

ซึ่งโดยปกติการสรรหา กกต.จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 138 (1) และ (2) คือ

ให้มีคณะกรรมการสรรหาที่ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง ตัวแทนอธิการบดี และตัวแทนพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาฯ

สรรหาบุคคลที่สมควรได้รับเลือกเป็น กกต.ส่งให้วุฒิสภา 5 คน

และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดำเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กกต.เข้ามาอีก 5 คน

รวมเป็น 10 คน

เพื่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเลือกให้เหลือ 5 คน เข้าไปทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง

แต่ในการสรรหาคณะกรรมการ กกต.ในครั้งนี้ กระบวนการได้มาของ กกต.จะแตกต่างไปจากปกติ

เนื่องจากไม่สามารถตั้งคณะกรรมการสรรหาที่มีตัวแทนพรรคการเมืองซึ่งมี ส.ส.ในสภาฯ ขึ้นมาทำหน้าที่ได้

เพราะเป็นช่วงยุบสภา

ดังนั้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (3) จึงให้เป็นหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่จะต้องดำเนินการ

สรรหาบุคคลผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กกต.

จำนวนทั้งสิ้น 10 คน

เพื่อเสนอให้วุฒิสภาลงมติเลือกเข้าไปเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง 5 คน

โดยขณะนี้ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ได้เดินเครื่องในการสรรหา กกต.ใหม่แล้ว

ด้วยการออกประกาศระเบียบว่าด้วยการสรรหาผู้ สมควรเป็น กกต.

เปิดให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กกต. ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคมถึงวันที่ 2 สิงหาคม

และนัดประชุมใหญ่ศาลฎีกาในวันที่ 10 สิงหาคม

เพื่อลงมติสรรหาผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กกต.จำนวน 10 คน และจะส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ จากการที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้สรรหาบุคคลที่สมควรได้รับเลือกเป็น กกต.ทั้งหมด

ทำให้เชื่อได้ว่า คณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่จะได้รับความเชื่อถือจากสังคมในเรื่องความบริสุทธิ์เที่ยงธรรม มากกว่า กกต.ที่เพิ่งพ้นสภาพไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับขั้นตอนการพิจารณาและลงมติเลือกของวุฒิสภา

ล่าสุด นายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา ได้เรียกประชุมคณะที่ปรึกษากฎหมาย และเลขาธิการ กกต.

เพื่อหารือเกี่ยวกับสภาพอุปสรรคปัญหาและกรอบการทำงานของ กกต.ในการเตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม

รวมทั้งขั้นตอนของวุฒิสภาในการพิจารณาและลงมติเลือกกรรมการ กกต.

มีแนวโน้มว่าอาจไม่ทันวันที่ 24 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งมีผลใช้บังคับ

เพราะกระบวนการมีหลายขั้นตอน

ไล่ตั้งแต่การขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อเรียกประชุมวุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ และความประพฤติผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กกต.ทั้ง 10 คน

จากนั้นคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติและความประพฤติฯ จะต้องไปดำเนินการตรวจสอบ รวมทั้งเปิดให้แสดงวิสัยทัศน์

ก่อนเสนอรายงานให้ที่ประชุมวุฒิสภาประกอบการพิจารณาลงมติเลือก ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน

ดังนั้น การได้ กกต.ชุดใหม่ อาจเหลื่อมเวลาออกไปจากวันที่ 24 สิงหาคม ที่พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งมีผลใช้บังคับ

ส่งผลให้เกิดความฉุกละหุกในการจัดเตรียมการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคม

จากสภาพการณ์ดังกล่าว “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ขอชี้ว่า ถึงแม้เราจะมีคณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่

ที่เชื่อถือได้ว่าจะทำหน้าที่ด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม

แต่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติ คณะกรรมการ กกต. ชุดใหม่ จำเป็นที่จะต้องมีต้นทุนเวลา

ในการเข้ามาวางระบบ วางมาตรการ และวางตัวบุคลากรเป็นมือเป็นไม้ในการดูแลจัดการเลือกตั้ง

ทั้งเจ้าหน้าที่ในส่วนกลาง โดยเฉพาะฝ่ายสืบสวนสอบสวน กกต.เขต กกต. จังหวัด

ต้องยกเครื่ององค์กรกันขนานใหญ่

เพื่อให้การดูแลจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบ ร้อย บริสุทธิ์และยุติธรรมอย่างแท้จริง ตามพระราชประสงค์ ข้อ 2

ดังนั้น ถ้าคณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่ มีความจำเป็นที่จะต้องขอขยายวันเลือกตั้ง ออกไป

ก็ควรได้รับการขานรับจากรัฐบาลรักษาการ ที่มีอำนาจในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งใหม่

ในทางตรงกันข้าม ถ้าบีบให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ รวบรัดเร่งจัดการเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดปัญหา

สับสนอลหม่าน

ไม่สามารถสยบวิชามารการเมืองได้

เหนืออื่นใด การเลือกตั้งจะเกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริงได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กกต.เพียงฝ่ายเดียว

เพราะต้องไม่ลืมว่า

การเลือกตั้ง คือการแข่งขันเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐ

แม้คณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมเพียงใดก็ตาม

แต่ถ้าพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ลงเลือกตั้ง

ยังไม่เลิกพฤติกรรมเก่าๆ

ใช้อิทธิพล ใช้อำนาจรัฐ ใช้เงินซื้อสิทธิซื้อเสียง ใช้สารพัดวิชามาร

เพื่อให้ตัวเองชนะเลือกตั้ง

เข้าไปกุมอำนาจรัฐ

ในขณะที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ยังมีพฤติกรรมซ้ำซาก เห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ

ขายสิทธิ ขายเสียง

การเมืองไทยคงไม่มีทางหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ และความวุ่นวาย

แต่ถ้าพรรคการเมือง นักการเมือง มีสำนึก สู้กันอยู่ภายใต้กฎกติกา แพ้ชนะกันด้วยความบริสุทธิ์

ประชาชนรู้จักปรับพฤติกรรม ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีสติ เลือกตั้งกันอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม

ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ที่เป็นพระราชประสงค์ข้อที่ 1 ก็จะตามมา.

"ทีมการเมือง"




โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:59:00 น.  

 
บล๊อควันนี้มีครบทั้งพอเพียง การบ้านการเมืองและข่าวสารเลยนะครับ


โดย: นายเบียร์ วันที่: 30 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:49:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.