Group Blog
 
 
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
24 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
ความน่าเสียดายหลายเรื่อง



ไปอ่านพบเรื่อง //www.friendjob.com มีเรื่องที่น่าสนใจครับ ก็อยากหยิบมาฝาก
เอาไว้เพื่อเตือนสติเราท่านมนุษย์ทำงาน ที่ยังคงเวียนว่ายในสารบบของการทำงานรับเงินเดือนเป็นเดือนๆ ไป
เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า
คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด
คนที่ไม่เคยลำบาก ไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร
คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้น ทรมานเพียงใด
คนที่ไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ

เรื่องบางเรื่องในชีวิตเราอาจจะมีโอกาสทดลอง หรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้
เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตมาได้แล้ว ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ไห้ ลำบากอีกครั้ง
แต่…..เรื่อง บางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว
เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิต จึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้น ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี

และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง สำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือน
คือประสบการณ์ชีวิตหรือข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง

ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิม กับคนรุ่นก่อนๆ
จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆ อดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่า
คนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นพี่ที่ผ่านๆ มา เขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก “เสียดาย” อะไรบ้าง
หรือพูดง่ายๆ คือเรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่า ถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา


เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน

ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน
มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก
เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย
คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว
มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนาน ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที
เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว

ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงาน มักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน
ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น
เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร
เพราะกายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว

เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่า งานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่
บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่
สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชัน กลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ
อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน
และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ
และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง
เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่า การใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว



เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย

มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไป เพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป
คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว
ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ)
เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็ว ชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว
ทั้งๆ ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่
ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ
เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง
ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว
เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน
คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงาน เขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงาน
เพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา
แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย
นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง
อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว
หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอ ต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน
และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่ง
ก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น



เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ

ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่า เกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้
เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อน
และรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป
เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิมคือ รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน)
ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย
เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น

อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่า
ถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้น ระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน
เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง
เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว
ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง
และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี
จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว



เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน

มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน
บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น
ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงาน เป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก
เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนา หรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย

ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
และเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้
คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด
ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว
ปัญหาคนเก่าหายไป แต่….ปัญหา คนใหม่ก็เกิดขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนน ที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก
แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่
ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิต และเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน
และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้
เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น



เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย

ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง
ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย
เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ
แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี
แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก
เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี
เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform)
และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต
เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน
เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น



เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ

“เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี” เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ
ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย
เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อย
และภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงาน
และจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ



เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย

มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร
จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ
ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ

พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง
วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน
รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปี
บางคนเป็นสิบปีมารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร
และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร



เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป

คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย
ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กร ที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย
แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดาย
เหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว

คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน
พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ
ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก)

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัว และอายุงาน
โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป


ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง
แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า “ เสียดาย” ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป
อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่า เราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้น เรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ หรือไม่
ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้


เป็นอย่างไรบ้างครับ
คงได้แง่คิดหลายเรื่องที่จะนำมาทบทวน การใช้ชีวิตการทำงานของเราท่านได้มากโขพอสมควร
ขอขอบคุณผู้เขียนเรื่องนี้ใน //www.friendjob.com ที่กรุณาเขียนเรื่องดีดี เตือนใจไว้ทุกวี่วัน


เขียนโดย ชัชวาลย์
ที่มา : //www.jobpub.com
ภาพจาก : //people.tribe.net/danielisaacbriggs


Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 20:52:24 น. 0 comments
Counter : 824 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.