WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 

การชงกาแฟคั่วบด


  1. การดื่มกาแฟจากแหล่งกำเนิด (Single
    Origin Test)
    เป็นการดื่มกาแฟเพื่อลิ้มรสชาติกาแฟธรรมชาติจากถิ่นกำเนินการแฟแท้ เช่น
    บลูเมาเท่น จาก จาไมก้า การชงใช้ผงกาแฟคั่วบดผ่านน้ำร้อน ไม่ใส่นม น้ำตาล
    ครีม เรียกว่ากาแฟดำ (Black coffee)

  2. การดื่มการแฟปรุงแต่ง (Coffee Drink
    Menu) เป็นเครื่องดื่มกาแฟชนิดต่างๆ ที่มีการนำ
    กาแฟมาเข้าสูตรกับส่วนผสมต่างๆ เช่น ครีม นม ช็อคโกแลต น้ำเชื่อม ผลไม้
    สุราบางชนิด ทำให้เกิดรสชาติต่างๆ เช่น คาปูชิโน่
    (Cappuccino)
    ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 1 shot นมร้อน ( ราว 150-170
    องศาเซลเซียส ) และนมที่เป่าจนเป็นฟอง (Foamed Milk)
    อย่างละหนึ่งส่วนโดยฟองนมอยู่บนสุดโรยผงโกโก้หรือผงอบเชยเล็กน้อย
    ลักษณะของฟองที่พูนเป็นยอดอยู่บนปากถ้วยเป็นที่มาของชื่อคาปูชิโน่
    เพราะดูแลเหมือนส่วนของจีวรที่พับมาคลุมศีรษะเป็นหมวกของพระคาปูชิน
    ในนิกายโรมันคาทอลิค คาเฟ่มอคค่า (Caffe Mocha) ประกอบ
    ด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ นมร้อนและน้ำเชื่อมช๊อคโกแลตหรือซ๊อคโกแลตร้อน อย่างละ 1
    shot ราดด้วยวีปครีมแล้วโรยด้วยผงซ๊อคโกแลตก็ได้ คำว่า Mocha
    หมายถึงช๊อคโกแลต คาเฟลาเต้ (Caffe Latte) คือ
    กาแฟผสมนม ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 1 shot ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 1
    shot กับนมอุ่นร้อนจากไอน้ำ 2 ส่วน เติมรสชาติด้วยน้ำตาล คำว่า Latte
    ในภาษาอิตาเลี่ยน หมายถึง นมโดยทั่วไปใช้กับเครื่องดื่มผสมกาแฟและนม คาเฟ่เมริกาโน่ (Caffe Americano) คือกาแฟเอสเพรสโซ่
    1 shot เติมน้ำร้อนจนเต็มถ้วย กาแฟขนาดปกติหรือใหญ่กว่า
    กาแฟชนิดนี้นิยมดื่มกันในประเทศสหรัฐอเมริกา เอสเพรส
    โซมอคดิอาโต้ (Espresso Macchiato)
    คือเอสเพรสโซ่ 1 shot
    เติมด้วยฟองนมอัตราประมาณ 15 มิลลิลิตรต่อ 1 ช้อนโต๊ะของฟองนม เอสเพรสโซ่คอนอนานญา (Expresso Con Panna) คือเอสเพ
    รสโซ่ 1 shot แต่งหน้าด้วยวิปครีม เอสเพรสโซ่คอร์เรต
    โต (Exresso corretto)
    คือกาแฟเอสเพรสโซ่ฉาบด้วยเครื่องดื่มแอลกฮอล์
    คฟเฟ รอแยล (Coffe royale) คือ
    กาแฟดำหนึ่งถ้วย นำน้ำตาลก้อนวางลงบนช้อนกาแฟถือไว้เหนือถ้วยกาแฟ
    เทเหล้าเบอร์เบิ้นลง 1 ออนซ์บนน้ำตาล ให้เหล้าลงไปในกาแฟ
    จุดไฟบนน้ำตาลจนไหม้หมด คนกาแฟให้เข้ากัน กาแฟโซดา
    (Coffee Soda)
    เติมน้ำแข็งลงในแก้ว เทกาแฟครึ่งถ้วยใส่โซดา
    หรือโคลาลงหนึ่งในสี่ถ้วย ประดับด้วยมะนาวฝาน กาแฟ
    โบราณ
    ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่นิยม กาแฟไทยคั่วแก่เข้ม
    เมื่อนำมาชงน้ำร้อนผ่านกาแฟในถุงชง เติมน้ำตาลและน้ำแข็งเป็นโอเลี้ยง
    รสชาติเข้มข้น แต่เมื่อนำกาแฟดำร้อนเติมนม ข้นหวาน ได้เป็นกาแฟเรียกว่า
    โกปี้หรือโอยัวะ รสชาติเข้มข้น ทั้งขม หวานมัน
    ในแถบภาคใต้นิยมดื่มเป็นอาหารเช้ากับขนมหวาน กาแฟดำผสมนมข้นหวาน
    เติมน้ำแข็งดื่ม ราดด้วยนมสด จะได้กาแฟเย็นรสชาติหวานเย็นชื่นใจ เรียกว่า
    กาแฟเย็น




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 17:45:15 น.
Counter : 1598 Pageviews.  

การชงกาแฟ





 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 17:43:27 น.
Counter : 393 Pageviews.  

เสาหลัก 4 ต้น ในการชงกาแฟ

ถ้าถามบัณฑิต อึ้งรังษี ถึงทางสู่คาร์เนกี้ ฮอลล์ เขาคงตอบว่า ซ้อม ซ้อม
และซ้อม การชงกาแฟก็ไม่ต่างกันครับ
หากต้องการชงกาแฟให้ได้ดีมีทางเดียวคือต้องฝึกฝนและชงบ่อยๆ
คุณบัณฑิตซ้อมอย่างหนักบนพื้นฐานของความรู้ทางด้านดนตรีอย่าง
เต็มเปี่ยม
การซ้อมเป็นการเปลี่ยนพื้นความรู้นั้นออกมาเป็นวิญญาณทางดนตรีที่อยู่เหนือ
ความเป็นเหตุเป็นผล
แต่ผลลัพธ์คือกลุ่มเสียงที่สามารถปลุกเรียกวิญญาณของผู้ฟังให้หลุดลอยไป
อย่างที่เขาต้องการได้



คราวนี้ก่อนที่เราจะก้มหน้าก้มตาชงกาแฟ เราควรจะต้องมีพื้นฐาน
ความเข้าใจ
หรือหลักคิดไว้บ้างทั้งที่ความจริงแล้วในการชงกาแฟมีราย
ละเอียดมากมายเหลือเกิน มากจนชวนท้อใจ แต่ไม่เป็นไรครับ เราอาจเริ่มจากหลัก
4 ข้อที่เสมือนเสาหลักสำคัญของบ้านแห่งความเข้าใจในการชงกาแฟ
ที่ผมจะโปรยไว้แล้วค่อยไปเก็บรายละเอียดที่เหลือภายหลัง


เสาต้นที่ 1  อัตราการชง (brew ratio)


หมายถึง อัตราส่วนของผงกาแฟบดกับน้ำกาแฟที่ชงออกมาได้ เช่น brew ratio
ของการชงแบบ drip จากมาตรฐานของสมาคมกาแฟพิเศษแห่งสหรัฐฯ ให้ไว้ที่
กาแฟบดปริมาณ 55 กรัม ต่อน้ำกาแฟที่ชงได้ 1000 กรัม เอา 55 หารด้วย 1000
ทำให้เป็นร้อยละด้วยการคูณ 100 จะได้ brew ratio เท่ากับ 5.5 %  
เมื่อหันมาชงแบบเอสเปรสโซ หากเราใช้กาแฟ 7 กรัม โดยทั่วไปชงออกมาได้น้ำกาแฟ
14 กรัม หมายถึง brew ratio เท่ากับ 50%  เราเข้าใจง่ายๆ นะครับว่า ยิ่ง
brew ratio มาก(กาแฟมาก น้ำน้อย) กาแฟก็ยิ่งเข้มข้นนั่นเอง


เสาต้นที่ 2 อุณหภูมิในการชง (brew
temperature)


ในที่นี้ผมหมายถึงอุณหภูมิของน้ำที่ใช้สกัดกาแฟ
เราสามารถสกัดกาแฟด้วยอุณหภูมิของน้ำต่างๆ กัน ตั้งแต่น้ำที่เย็นเจี๊ยบ
จนถึงน้ำที่อุณหภูมิใกล้จุดเดือด
อุณหภูมิที่ต่างกันจะสามารถสกัดกาแฟได้ต่างกัน
เราอาจชดเชยได้ด้วยเวลาที่ใช้ในการสกัดเช่นหากน้ำอุณหภูมิต่ำอาจต้องใช้เวลา
ในการสกัดนานกว่า ทั้งนี้ brew temp
เป็นอุณหภูมิที่ใช้ตั้งแต่เริ่มสกัดจนการสกัดกาแฟจบสิ้น หรืออาจเรียกว่า
เป็น temperature profile ก็ได้ซึ่งโดยทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
เริ่มที่อุณหภูมิต่ำแล้วค่อยเพิ่มสูงขึ้น ที่เรียก rising profile หรือ
เริ่มที่อุณหภูมิสูงแล้วค่อยลดต่ำลงที่เรียก falling profile
และอีกแบบคือรักษาอุณหภูมิเท่ากันตลอดการคั้น ที่เรียกว่า flat profile


เสาต้นที่ 3 อัตราการคั้น (extraction rate
หรือ extraction time)


นั่นก็คือ เวลาทั้งหมดที่เราปล่อยให้น้ำอยู่ร่วมกับกาแฟ
โดยธรรมชาติหากให้อยู่ด้วยกันนานน้ำก็จะสกัดกาแฟออกมาได้มาก
ดังเช่นในกรณีของการสกัดกาแฟด้วยวิธีเอสเปรสโซ extraction time
ที่แนะนำโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 วินาที ต่อน้ำกาแฟ 25-35 ml


เสาต้นที่ 4 ความหยาบละเอียดของผงกาแฟบด (
grind size)


โดยธรรมชาติอีกเช่นกันครับ ที่กาแฟที่ละเอียดกว่าจะถูกสกัดได้มากกว่า
ผงกาแฟที่บดขนาดต่างกันย่อมให้รสชาติกาแฟต่างกันเสมอ
และที่สำคัญคือเราต้องไม่บดกาแฟละเอียดจนหลุดรอดตะแกรงที่เราเลือกใช้


เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ สั้นๆ ง่ายๆ
แต่ถือเป็นหลักคิดสำคัญที่ตัวผมเองต้องใช้ตลอดเวลา
เวลาที่เรายืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟแบบใดก็แล้วแต่
คงเหมือนคุณบัณฑิตที่กำลังยืนอยู่หน้าวงออเครสต้าที่ต้องควบคุมเสียงอันหลาก
หลายให้ออกมาสอดประสานคล้องจองเป็นหนึ่งเดียวและน่าฟัง
การชงกาแฟเราต้องชดเชยสิ่งต่างๆ
ที่กล่าวไปเพื่อให้ออกมาอย่างสมดุลย์กลมกลืน ผมยกตัวอย่างเช่นการชงกาแฟ
ด้วย vac pot
ที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว
นั่นก็มีวิธีคิดไม่หนีจากหลักการที่กล่าวไป นั่นคือผมต้องทดลอง
หาสัดส่วนของปริมาณกาแฟกับปริมาณน้ำ
ผมต้องทดลองบดกาแฟที่ความหยาบละเอียดต่างกัน
ผมต้องทดลองเลี้ยงน้ำไว้กับกาแฟในเวลาที่ต่างกัน การทดลองต่างๆ
ให้ผลลัพธ์คือรสชาติต่างกันทั้งหมด
ผมต้องตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางในการชงอย่างไรจึงจะได้กาแฟที่ตัวผมเองพอใจ
ที่สุด


เสาทั้งสี่ต้นได้ถูกเอาขึ้นไปแล้ว
ส่วนหลังคานั้นก็คือทักษะในชิมทดสอบที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน
เมื่อได้ฝึกฝนจนชำนาญแล้วจะพบว่าเราสามารถชงกาแฟได้อร่อยขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
จนบางครั้งก็ดูเหมือนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ความสามารถแบบนี้ที่ทางธรรมอาจเรียกว่าเกิด “ปัญญา” หรือ intuition
ส่วนตัวผมชอบเรียกความรู้สึกรู้ในการชงกาแฟแบบนี้ว่ามี gut feeling





 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 17:39:32 น.
Counter : 386 Pageviews.  

เทคนิคการชงกาแฟ





































































การชงกาแฟเป็นศาสตร์และศิลป์เช่นเดียวกับวาดภาพหรือเขียนภาพ
ทำอย่างไรจึงจะชงกาแฟให้ได้อรรถมากขึ้นนอกเหนือจากมีเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีจาก
แหล่งปลูกที่ดี, ผ่านขบวนการแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟดิบที่ถูกต้อง
การคั่วและการบดที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ใช้ (เครื่องชงกาแฟ)

วิธีพื้นฐานที่ทำให้กาแฟอร่อยได้ คือ


1. อุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีความสะอาดไม่มีสิ่งตกค้างใด ๆ
อยู่ภายในของอุปกรณ์แต่ละชิ้น ควรล้างเครื่องชงด้วยน้ำ
ผสมน้ำสมสายชูอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง


2. ใช้เมล็ดกาแฟคั่วสดที่มีคุณภาพ


3. ใช้น้ำสะอาด ไร้กลิ่น รส


4. ควรบดเมล็ดกาแฟคั่วแล้วให้เท่ากับปริมาณ 2 ช้อนชา/น้ำ 60 ออนซ์
ที่จะใช้และชงทันที

5. ควรชงกาแฟในน้ำร้อนที่เกือบเดือด (90 – 98 องศาเซลเซียส) ถ้าชงในขณะ

ที่น้ำร้อนเดือดจะทำให้รสชาติเสียไปและถ้าหากชงในขณะที่น้ำร้อนยังไม่ได้ที่
ก็จะทำให้ได้รสชาติกาแฟที่จืดชืด เพราะกาแฟจะถูกสกัดออกมาไม่หมด



6.
อุ่นถ้วยกาแฟที่จะใส่กาแฟด้วยการใส่น้ำร้อนในถ้วยกาแฟแล้วเทออก ซึ่งจะ
ช่วยให้กาแฟหลังชงและรินลงในถ้วยกาแฟร้อนนาน



7.
ควรคนน้ำกาแฟก่อนเสิร์ฟ



8.
ในกรณีที่ชงกาแฟไว้ในปริมาณมากกว่าที่จะดื่มหมด ควรเก็บไว้ในกระติกน้ำ
ร้อนที่ป้องกันการสัมผัสกับออกซิเจน ซึ่งจะทำให้เสียรสชาติและไม่ควรอุ่น
กาแฟบนเครื่องอุ่นกาแฟเกิน 20 นาที จะมีผลให้กลิ่นหอมรสชาติระเหยไป



9. ให้ดื่มกาแฟหลังชงหรือปรุงแต่งแล้ว
จะได้อถรรถของการดื่ม และไม่ควรเอกาแฟที่ชงแล้วและเย็นมาอุ่นใหม่แล้วดื่ม



เครื่อง
ชงกาแฟ





1. Ibrik เป็นเครื่องกาแฟแบบดั่งเดิมของชาวตุรกี คือ
Ibrik ที่ทำด้วยทองแดงหรือทองเหลือง รูปร่างด้านบนจะโค้งแคบและกว้าง
ส่วนสูงมีด้ามจับยาว Ibrik วิธีการใช้เครื่องต้มกาแฟแบบ Ibrik คือ
การต้มน้ำจนร้อนจึงใส่กาแฟที่บดแล้วลงในเครื่องชง แล้วต้มให้เดือดอีกครั้ง
นอกจากกจะได้กาแฟที่เข้มข้น ดื่มคู่กับขนมหวานจัด


วิธีการใช้ : เทน้ำใส่ลงใน Ibrik (ประมาณ
90 มิลลิลิตร/การชงกาแฟ 1 ถ้วย) จนเดือดและใส่ผงกาแฟบดประมาณ 2
ช้อนชาพูน ปล่อยให้กาแฟพออุ่นแล้วต้มใหม่อีกครั้ง
จะได้กาแฟที่เข้มข้นและมีฟองเล็กน้อย รินกาแฟลงถ้วยแล้วเสิร์ฟ

2. French Press เป็นเครื่องชงกาแฟที่นิยมและใช้งานง่าย
ทำด้วยแก้วใสมี ฝาปิด มีตะแกรงและก้านดึงกรองกากกาแฟ
อยู่ภายในแก้วซึ่งทำด้วยโลหะไม่เป็นสนิม ราคาของเครื่องจะถูกหรือแพง
ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ ขนาด และประเทศผู้ผลิต

วิธีการใช้ : เท
ผงกาแฟที่บดปานกลางลงในเหยือกแล้ว เทน้ำร้อนที่ต้มจนเกือบเดือด
ลงบนผงกาแฟให้ทั่ว ทิ้งไว้ 3 – 5 นาที วางตะแกรงกรองลงไปก้นเหยือกแก้ว
จะได้น้ำกาแฟอยู่ด้านบนแล้วรินลงถ้วยกาแฟเสิร์ฟ



3. Drip Coffee Makers
เป็นเครื่องชงที่ทั้งง่ายและประหยัดเวลาและยังชงได้มากกว่า 1 ถ้วยต่อครั้ง
จึงเป็นที่นิยมในร้านกาแฟและสำนักงานหรือส่วนตัว
โดยแบ่งเป็นเครื่องชงที่ใช้น้ำร้อนเทผ่านกาแฟคั่วบดผ่านกระดาษกรองลงสู่
ภาชนะรองรับ กับแบบเครื่องชงที่ใช้ไฟฟ้า (Electric Drip Machine)
เครื่องชงที่เทน้ำร้อนลงบนกาแฟคั่วบดและผ่านกระดาษกรอง
จะมีลักษณะส่วนบนคล้ายกับถ้วยกาแฟและมีหูจับด้านข้าง
ส่วนด้านล่างจะแคบแบบโดยมีฐานเครื่องชงเป็นแป้นเรียบกลม
ด้านในจะมีรูให้น้ำผ่านได้ 

วิธีการใช้ : ใส่กระดาษกรองลงในเครื่องชง
ก่อนเทกาแฟคั่วบดใส่ประมาณ 1 – 2 ช้อนชาพูน วางเครื่องชง
ลงบนถ้วยกาแฟหรือเหยือกแก้วใสที่สามารถรับปริมาณน้ำกาแฟได้ประมาณ 1 – 2
แก้ว



4. Neopolitan
drip Pots หรือ Reversible Drip Pots
เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ทำด้วยโลหะอลูมิเนียม แบ่งเป็น 3
ส่วน ส่วนล่างใส่น้ำดิบ ส่วนกลางใส่ผงกาแฟ
คั่วและส่วนบน
สำหรับต้มผสมน้ำกับกาแฟคั่ว
วิธีการทำงานคล้ายคลึ่งกับแบบอัตโนมัติแตกต่างกัน
เพียง
แค่น้ำเดือดจะไหลออกทางโพยกาเพื่อไปผสมกับกาแฟในหม้อกรอง
จากน้ำเดือดและดันผสมกับ
ผงกาแฟคั่วบดแล้วก็คว่ำด้านบนลง
รอให้น้ำที่ต้มเดือดผสมกาแฟ จนได้ที่ (2 - 3 นาที) ก็คว่ำเครื่อง
ลง
น้ำกาแฟจะไหลลงสู่ส่วนล่างสุด เพื่อนำไปดื่มได้

5. Percolator
เป็นเครื่องต้มกาแฟรูปทรงคล้ายเหยือก ภายในเหยือกจะมีตะแกรงใส่ผงกาแฟคั่ว


แบบหยาบและมีท่อน้ำสำหรับต้มน้ำเพื่อลวกผงกาแฟคั่วผ่านรูตะแกรง
ส่วนด้านนอกเหยือกด้านบน

มีฝาปิด ด้านข้างด้านหนึ่งมีโพยกาให้น้ำออกอีกด้านหนึ่งมีหูจับ
 

วิธีการใช้ : เท
น้ำไส้ลงในเหยือกประมาณครึ่งเหยือกหรือระดับแนวโพยกา จากนั้นเทผง
กาแฟคั่ว

แบบบดหยาบลงบนตะแกรงภายในเหยือก ปิดฝาเหยือกแล้วนำไปต้ม
เมื่อน้ำเดือดไอน้ำระดับน้ำผ่าน
ท่อขึ้นมาเหนือรูตะแกรงที่มีผงกาแฟคั่วอยู่ด้านบน
จะลวกกาแฟและซึมผ่านตะแกรงลงไป

ส่วนล่างของ
เหยือกจนกว่าจะได้น้ำกาแฟต้มที่เข้มข้นจนยกลงแล้วเสิร์ฟ

6.
Cold – Water Method (การชงกาแฟแบบใช้น้ำเย็น)
เป็นการชงที่เหมาะสำหรับการทำกาแฟเย็น
กาแฟผสมเหล้าและผสมอาหารบางประเภท ข้อดีของการชง
กาแฟแบบ
นี้ คือ จะได้ผลดีกับกระเพาะอาหาร
เนื่องจากน้ำมันธรรมชาติถูกสกัดออกมาในปริมาณน้อย
ทำให้
ความเป็นกรดน้อย และเมื่อชงแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานหลายสัปดาห์


วิธีการใช้
:
ใส่กาแฟบด
(แบบบดค่อนข้างหยาบ) ลงในภาชนะชงในอัตราส่วนกาแฟบด 500 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
คนให้เข้ากันปล่อยทิ้งไว้ 10 – 12 ชั่วโมง
หลังจากนั้นก็รินน้ำกาแฟลงใส่ภาชนะอีกใบหนึ่ง โดยจะ
กรองในช่วงนี้หรือจะผ่านกรองช่วงที่จะชงดื่มก็ได้ แล้วเก็บไว้ในต็เย็น
เมื่อจะดื่มให้เทน้ำกาแฟเย็นลง ในถ้วยกาแฟประมาณ ?
ถึงครึ่งถ้วยแล้วเติมน้ำร้อนลงไปจนเกือบเต็มถ้วยดื่มได้ทันที

7. Vacum Method เป็นการชงกาแฟแบบลักษณะสูญญากาศ
ประกอบด้วยถ้วยแก้วใส 2 ใบ คือ ถ้วยแก้ว
บนใส่ผงกาแฟคั่ว
บดและถ้วยแก้วใบล่างใส่น้ำที่จะใช้ต้มกาแฟ มีลักษณะค่อนข้างกลม
ส่วนบนถ้วยแก้ว มีปากถ้วยกว้างประมาณ 1 นิ้ว
เพื่อใช้เป็นฐานต่อก้นถ้วยแก้วส่วนบน โดยมีขาตั้งที่มีด้ามจับมือถือ
ด้ามยึดถ้วยแก้วส่วนล่าง


วิธีการใช้ :
เทน้ำใส่ถ้วยแก้วส่วนล่างที่ยึดติดกับด้ามจับที่มีฐานตั้งจากนั้น
ใส่ผงกาแฟคั่วบดลงบนถ้วยแก้ว ส่วนบน
ซึ่งถ้วยแก้วจะมีแผ่นกรองและมีสายโซ่เพื่อต่อยึดติดกับขอบถ้วยส่วนล่าง
ที่ใส่น้ำ จุดตะเกียง แอลกอฮอล์ท่อก๊าสขนาดเล็ก
เพื่อใช้เป็นแหล่งให้พลังงานความร้อน เมื่อน้ำเดือดก็จะมีแรงอัดไอน้ำดูด
น้ำจากถ้วยแก้ว
ส่วนล่างขึ้นถ้วยแก้วด้านบนโดยจะผ่านกรองและกาแฟคั่วบดละเอียด
จนน้ำถ้วยแก้ว ส่วนล่างน้ำหมด น้ำกาแฟที่ผสมกับกาแฟคั่วบด ประมาณ 1 – 2
นาที ก็จะไหลกลับลงสู่ถ้วยกาแฟ ส่วนล่างจนหมดเช่นกัน
ก็จะได้กาแฟรสชาติเข้มข้น ากนั้นจึงเอาถ้วยแก้วส่วนบนออก ใช้มือจับที่ด้าม
จับยกเสิร์ฟได้เลยแต่มีข้อควรระวัง คือ อย่าให้ถ้วยแก้วทั้ง 2 ส่วน
กระทบกับน้ำเย็นเพราะจะทำให้แก้ว
แตกได้

8. Espresso & Cappuchino Machine

เป็นการชงกาแฟที่ต้องใช้ทั้งน้ำและแรงดันไอน้ำอัดผ่านผงกาแฟคั่วบดอย่างรวด
เร็ว จะได้น้ำกาแฟที่มีความหอมและเข้มข้นและเมื่อมาตีกับน้ำร้อนกับ

ใส่ฟองนมที่เป่าด้วยเครื่องอัดไอน้ำหรือ Wip Cream ใ ส่บนกาแฟร้อน
ก็จะเรียกกาแฟรสนุ่มนี้ว่า Cappuchino และเมื่อเสิร์ฟ
อาจจะโรยด้วยผงโกโก้ หรือผงอบเชย (Cinnanon) ปนครีม
หรืออาจจะใส่แท่งอบเชยในถ้วยกาแฟหรือบนจานรองเพื่อใช้คนกาแฟ
จะทำให้มีกลิ่นหอมและชวนดื่มมากขึ้นสำหรับคนที่ชอบ  




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 17:37:34 น.
Counter : 386 Pageviews.  

รวมเคล็ดลับ การชงกาแฟสดแบบต่างๆ


บทความชุดนี้อยู่ในชุด "ร้านกาแฟ" ตั้งใจว่าจะมี 5 ตอนจบครับ



1. มาชงกาแฟสดดื่มเองกันเถอะ ตอน 1 : เมล็ดกาแฟ



2. มาชงกาแฟสดดื่มเองกันเถอะ ตอน 2 : เครื่องชงกาแฟสดแบบต่างๆ 



3. มาชงกาแฟสดดื่มเองกันเถอะ ตอน 3 : การชงกาแฟสดแบบต่างๆ -->
คุณอยู่ที่นี่



4. มาชงชา/กาแฟโบราณดื่มเองกันเถอะ



5. เล่าประสบการณ์เปิดร้านกาแฟเล็กๆ



 



จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ แก้วช็อต เล็กๆ ใบนี้







สมัยพวกผมทำร้าน ใช้แก้วชงยากันเลย สรุปก็คือ แก้วแบบไหนก็ได้ครับที่เล็กๆ
เพื่อนำมาใช้ตวงกาแฟและนม



กาแฟสด จะมีสูตรพื้นฐาน 4 สูตร (ขออภัยถ้าสะกดผิด) คือ



1. espresso



2. cappuccino



3. latte



4. mocca 



จุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งคือ espresso ภาษาอิตาลีแปลว่าด่วน
(ใช่แล้วมันคือคำว่า express) ก็คือ น้ำกาแฟ 1 ช็อต แค่นี้แหละครับ
เสร็จแล้ว espresso แต่เวลาเราดื่ม ปกติเราจะดื่มแบบ 2 ช็อต หรือว่า double
เพื่อให้ปริมาณมันเท่าๆ กับสูตรอื่น



ต่อมา cappuccino คือ espresso 1 ช็อต นม 1 ช็อต และฟองนม ซึ่งฟองนมเกิดจาก
การเขย่านมพร่องมันเนยกับน้ำแข็งจนเป็นฟอง หรือใช้เครื่องทำฟองนมก็ได้
(ใช้เครื่องดีกว่าเพราะสวยกว่าและไม่เมื่อย)
นมธรรมดาก็ใช้ได้แต่นมพร่องมันเนยจะทำให้เกิดฟองได้ดีกว่าครับ



และ latte คือ espresso 1 ช็อต นม 2 ช็อต และฟองนม latte
ก็คือกาแฟนมที่ใส่นมมากเป็นพิเศษนั่นเอง
รสจะอ่อนเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกาแฟแรงๆ  



ส่วน mocca คือ espresso 1 ช็อต นม 1 ช็อต และผงโกโก้ หรือช็อกโกแลต
นอกจากนี้ mocca ยังเป็นชื่อท่าเรือ ของเมล็ดกาแฟในอดีตด้วย



จะเห็นได้ว่าในสูตรไม่มีการพูดถึงกาแฟเย็น (iced) และน้ำตาล
เพราะกาแฟเย็นก็เพียงแต่ใส่น้ำแข็งและน้ำตาลเพื่อไม่ให้กาแฟจืดเมื่อต้อง
เจือจางกับน้ำ
หรือถ้าเราอยากดื่มกาแฟร้อนที่มีรสหวานก็ย่อมใส่น้ำตาลได้อยู่แล้วครับ





 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 17:34:30 น.
Counter : 454 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.