|
ว่านรางเงิน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hippeastrum reticulatum (L.Herit) Harl. วงศ์ AMARYLLIDACEAE ชื่อสามัญ Star Lily
ลักษณะ พืช ไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดิน ใบ ใบเดี่ยว ออกจากหัวใต้ดิน รูป แถบกว้าง 3.5 - 4 เซนติเมตร ยาว 25 - 35 เซนติเมตร ปลายแหลม เส้นกลางใบเป็นแถบสี นวล ดอก สีชมพูอมส้มอ่อน ออกเป็นช่อ แทงขึ้นจากหัวใต้ดิน มักมี 4 ดอก กลีบดอกรูประฆังโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 2 - 2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 6 กลีบ มีลายสีเข้ม เมื่อบาน เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 - 8 เซนติเมตรเกสรตัวผู้ 6 อัน ผล กลม หรือรี เมล็ดแบน สีดำ นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิด บราซิล ชอบแดดจัด ออกดอก ฤดูร้อน ขยายพันธ์ หัวใต้ดิน ด้วยการแยกหัว แยกหน่อปลูก วิธีปลูก ใช้ดินร่วน 3 ส่วน ทราย 1 ส่วน ใบก้ามปูผุๆ 2 ส่วน คลุกเคล้า ให้เข้ากัน แล้วค่อยปลูก หมั่นรดน้ำเช้าเย็น จะเจริญงอกงามดี ใบมีสรรพคุณทางยาพอกแก้ฟกช้ำบวม และต้มดื่มแก้ร้อนใน ต้นรางเงิน หรือ ว่านรางเงิน บางคนจัดเป็นไม้จำพวกว่านหรือไม้มงคล เป็นว่านที่มีสรรพคุณ ทางด้านเมตตามหามงคล ปลูกไว้กับบ้านเรือน ที่พักอาศัย สถานที่อาคารร้านค้า จะเป็นเสน่ห์เมตตา เป็นศิริมงคล แก่สถานที่นั้นๆ ทำให้เป็นที่ต้องตาต้องใจ มีความเจริญก้าวหน้า
Create Date : 30 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 18:24:32 น. |
Counter : 615 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ว่านชักมดลูก
ว่านชัก มดลูก" เป็นพืชในสกุลเดียวกับขมิ้นชัน Curcuma comosa เป็นว่านชักมดลูก พันธุ์พื้นเมืองของไทย บางตำราเรียกว่า ว่านชักมดลูกตัว เมีย ส่วน Curcuma xanthorrhiza เป็นว่านชักมดลูกอีกชนิดหนึ่งแต่เป็นพันธุ์ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย
บางตำราเรียกว่าว่านชักมดลูกตัวผู้ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์จะคล้ายคลึง กัน แต่C.xanthorrhiza เส้นกลางใบมีสีน้ำตาลอมแดง ขณะที่ C.comsoa เส้นกลาง ใบไม่มีสีน้ำตาลอมแดง
|
|
ตามตำรายาแผนโบราณว่า เหง้า รสฝาดเฝื่อน ชักมดลูกให้เข้าอู่ แก้มดลูกพิการ แก้ปวดมดลูก แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ยอย แก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน ปรุงยาแก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ แก้โรคมะเร็ง และฝีภายในต่างๆ
สำหรับรายงานการวิจัยว่านชักมดลูกในส่วนที่ตรงกับ สรรพคุณยาไทยนั้น เป็นงานวิจัยฤทธิ์ของว่านชักมดลูกชนิด C.comosa โดยพบว่า
* เมื่อฉีดสารสกัดเหง้าว่านชักมดลูกเข้าช่องท้องของหนูขาวเพศเมียที่ยังไม่โต เต็มที่ และถูกตัดรังไข่ออก พบว่าสารสกัดด้วยเฮกเซนมีฤทธิ์แรงที่สุดในการเพิ่มน้ำหนักมดลูก และปริมาณไกลโคเจน และยังทำให้เกิดการหนาตัวของเยื่อบุผิวช่องคลอด
โดยมีฤทธิ์น้อยกว่าฮอร์โมนเอสตราไดออล ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง แต่สามารถเสริมฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสตราไดออลต่อมดลูกของหนูได้ แสดงให้เห็นว่าว่านชักมดลูกมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของ เพศหญิง
++ สารสกัดเหง้าของเอธานอลสามารถลดฤทธิ์ของสารหลายชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นให้ มดลูกหดตัว เช่น qzytocin, acetylcholine, serotonin ฤทธิ์นี้อาจช่วยอธิบายสรรพคุณของว่านชักมดลูกในการบรรเทาอาการปวดมดลูกได้
++ การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดของว่านชักมดลูกทั้งสองชนิด มีฤทธิ์การกระตุ้นการหลั่งน้ำดี และลดคอเลสเตอรอลและไดรกรีเซอไรค์ในเลือดได้ จากการที่ว่านชักมดลูกมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำดี จึงไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาท่อน้ำดีอุดตัน หรือเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และไม่ควรใช้ว่านชักมดลูกติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือในขนาดสูง เพราะจะทำให้มีอาการปวดท้องได้
*** เหล่านี้เป็นข้อมูลที่คาดว่าจะเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจก่อนบริโภคได้ ที่สำคัญอยากเตือนว่าก่อนจะบริโภคสมุนไพรชนิดใด ควรตั้งคำถามกับตัวเองเสียก่อนว่า จะกินทำไม่ ต้องการกินเพื่ออะไร มีความจำเป็นหรือไม่
สรุป ว่าควรถามใจตัวให้แน่นอนก่อนดีกว่า ว่ากันอย่างนั้นเถอะ เพราะว่านชักมดลูกเป็นฮอร์โมนจริงๆ การบริโภคในปริมาณที่เกินความจำเป็นอาจเกิดปัญหาได้ เช่น ช่องคลอดมีเลือดออกไม่หยุด ปวดหลัง ปวดท้อง อาการดังกล่าวเป็น
การบอกเล่าจากผู้บริโภคว่านชักมดลูกเป็นเวลานานหารือมาที่เรา แค่เขากินเพื่อความสวยงาม
ดังนั้นจึงขอย้ำว่าการบริโภคอยากให้เน้นเพื่อเป็นยารักษาให้ตรงอาการ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ และไม่ควรกินพร่ำเพรื่อ หรือมุ่งเฉพาะเพียงแค่ความสวยงาม หรือผลเรื่องสมรรถภาพทางเพศและการนำไปใช้ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้รู้ จริง (ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ) |
Create Date : 30 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 18:19:06 น. |
Counter : 510 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สมุนไพร ฮว่านง็อก
สมุนไพรฮว่านง็อก เป็นต้นสมุนไพรถือกำเนิดในประเทศเวียดนามผู้นำเข้ามาใช้เป็นกลุ่มทหารผ่าน ศึกสมัยสงครามเวียดนามกระถางแรกมีราคาถึง 70,000 บาท (เจ็ดหมื่นบาท) นำมากินใบสด ๆ แก้โรคต่าง ๆ มากมายและเห็นผลเร็ว รู้จักกันในรุ่นของทหารผ่านศึกรุ่นนั้นรุ่นเดียวผู้เขียนได้ข้อมูลและมีความ สนิทชิดชอบกับทายาทของนายทหารผู้นั้น ซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม (ปัจจุบันอายุ 68 ปี) จึงได้ถามประวัติความเป็นมา การใช้และสรรพคุณซึ่งท่านใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัวท่าน เช่น ภรรยาของท่านเป็นเบาหวานกินใบสมุนไพรฮว่านง็อกไม่นานก็หายซึ่งจะแจกแจงราย ละเอียดต่อไป
ลักษณะของต้น
เป็นต้นไม้ชนิดใบอ่อนปลายแหลม ส่วนล่างของใบจะหยาบสีเขียวเข้ม ด้านบนสีเขียวอ่อนเป็นต้นไม้ที่มีใบมากสักหน่อย แตกกิ่งก้านทรงพุ่มได้ดีการขยายพันธุ์เพียงตัดยอดปักชำลงดินก็เกิดรากตั้ง ตัวได้เร็ว ย้ายลงปลูกในกระถางใส่ปุ๋ยพรวนดินรดน้ำก็จะเจริญงอกงาม
วิธีใช้
ส่วนสำคัญคือ ใบใช้เคี้ยวกินสด ๆ หรือคั้นและกรองเอาน้ำข้น ๆ รับประทานหรือต้มเป็นน้ำแกงรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกและรากไม้สามารถต้มกลั่นเป็นสุราได้ด้วย ใบไม้ไม่มีกลิ่นและรส สามารถต้มเอาน้ำใส ๆ ดื่มได้ส่วนการรับประทานมากหรือน้อย อยู่ที่ธาตุ หนัก-เบา ของแต่ละคนโดยทั่วไปจะรับประทานกัน 1-4 ใบ คนที่มีอาการหน้ามืดตาลายหลังรับประทาน 15 นาทีจะหาย ให้รับประทานติดต่อกัน 7 วัน วันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร
จากหลักฐานคนไข้รายหนึ่งหลังจากรักษาโรคมะเร็งตับจากยานานาชนิดไม่หาย เมื่อได้รับประทานใบสดของต้นฮว่านง็อกคนไข้มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไม่น่า เชื่อ จากการมีไข้สูงถึง 40 องศา ลดลงเหลือ 37 องศา การเจ็บปวดลดลงมาก ผิวหนังเคยเหลืองก็ลดลง หน้าท้องแฟบลงตัวเบาทำให้คนไข้ลุกขึ้นมาสนทนาได้
ทำไม คนไข้จึงฟื้นตัวเร็วขนาดนั้นหลังจากรับประทานได้ 20 นาที ยาได้ออกฤทธิ์ รับประทาน 5 ใบ จะลดความเจ็บปวดได้ 3 ชั่วโมง รับประทาน 7 ใบ ลดได้ 5 ชั่วโมงเสมือนหนึ่งยาวิเศษเพราะคนไข้โรคตับได้เจ็บป่วยมาถึงวาระสุดท้าย แล้วกลับฟื้นและมีความหวัง ต้นฮว่านง็อกเป็นต้นไม้ใบยาที่มีคุณค่าสูงส่งเป็นของขวัญจากสวรรค์ มอบให้แก่มวลมนุษย์ ก่อนหน้านี้เรียกว่าต้นลิงเพราะพวกลิงอยู่ในป่า เมื่อเป็นอะไรมันจะกินใบของต้นไม้ชนิดนี้ ทำให้หายได้ในทุก ๆโรค ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น HOAN-NGOC เนื่องจากมีเด็ก 2 คน ทะเลาะวิวาทและตีกันจนทำให้ลูกอัณฑะหายไป เมื่อรับประทานใบไม้นี้ทำให้ลูกอัณฑะกลับคืนเป็นปกติ
สรรพคุณของต้นสมุนไพร (จากเอกสาร ฮานอย 2-9-1995 ถ่ายทอดจากต้นฉบับจริง) 1. รักษาคนสูงอายุ ปวดเมื่อยตามร่างกายทำงานหนัก เกิดประสาทหลอน 2. รักษาเป็นไข้หวัด ความดันโลหิตสูงท้องไส้ไม่ปกติ 3. รักษาอาการมีบาดแผล เคล็ด ขัด ยอก กระดูกหัก 4. รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ 5. รักษาอาการโรคกระเพาะอาหารโรคเลือดออกในลำไส้เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ 6. รักษาอาการคอพอกตับอักเสบ 7. รักษาอาการไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นข้น 8. รักษาอาการโรคมะเร็งปอด มีอาการปวดต่าง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รับประทานต่อไป 100-200 ใบ อาการจะหายขาด 9. รักษาโรคตาทุกชนิด เช่น ตาแดง ตาต้อตาห้อเลือด 10. รักษาอาการมดลูกหย่อนของหญิงคลอดบุตรใหม่ ได้ผลดีช่วยให้มดลูกเข้าอู่ 11. รักษาโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำโรคประสาทอ่อน ๆ (เพื่อเป็นการสนับสนุนเหตุผลโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้เขียนก็เป็นจึงกินเข้าไปครั้งละ 5 ใบ เช้า-เย็น 1 วัน อาการหน้ามืดหนักหัวหายไป รู้สึกสบายเบาสมอง) 12. สามารถใช้กับสัตว์ได้จากเอกสารระบุว่าใช้กับไก่ชนหลังจากชนไก่แล้ว ต้องการให้ไก่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บให้ไก่กินใบของต้นสมุนไพรฮว่านง็อกจะฟื้น ตัวได้เร็ว
รายละเอียดในการใช้รักษาแต่ละโรค
1. โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้งรับประทานติดต่อกันไปจนครบ 50 ใบ 2. โรคเลือดออกในลำไส้ รับประทานใบสด 7-13 ใบ หรือคั้นเอาน้ำ วันละ 2 เวลา 3. โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่เป็นบิดรับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง รับประทานติดต่อกันไปประมาณ 100 ใบ 4. โรคตับอักเสบ คอพอก รับประทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 3 ครั้งรับประทานติดต่อกันไปจนครบ 150 ใบ 5. โรคไตอักเสบ ปวดเป็นประจำรับประทานครั้งละ 3-4 ใบ วันละ 3 ครั้ง รับประทานไปจนครบ 30 ใบ 6. อาการท้องไส้ไม่ปกติ รับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย 7. ปวดเมื่อยตามร่างกายรับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย 8. อาการปัสสาวะแสบ ปัสสาวะเป็นเลือดรับประทาน 14-21 ใบ โดยการคั้นเอาน้ำข้น ๆ รับประทาน 9. โรคตาแดง รับประทาน 7 ใบ และบด 3 ใบ ปิดที่ตา เวลานอน 1 คืน จะหาย 10. โรคความดันสูงจะลดทันทีเมื่อรับประทาน 5-9 ใบ (ผู้เขียนได้ทดลองด้วยตนเองดีสมราคาคุย) 11. แก้โรคเบาหวานผู้ชายรับประทานวันละ 7 ใบ ผู้หญิงรับประทานวันละ 9 ใบ ภายใน 90 วัน หาย 12. ใช้กับสัตว์ เช่น ไก่เหงา เป็นอหิวาต์ หรือนิวคาสเซิล ให้ไก่กิน 2-3 ใบไก่ชนหลังจากการชนแล้วให้กิน 2-3 ใบ (น่าจะประยุกต์ใช้กับสัตว์อื่น ๆได้) 13. สตรีหลังคลอด รับประทานวันละ 1 ใบรับประทานทุกวันจะทำให้ฟื้นสุขภาพได้เร็ว
อนึ่งการรับประทานหรือกินใบสมุนไพร ให้กินก่อนอาหารเสมอ
Create Date : 30 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 18:10:47 น. |
Counter : 1006 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ว่านไก่ฟ้าพญาแล
Create Date : 30 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 18:02:45 น. |
Counter : 391 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ว่าน''สี่ทิศ'' ไม้มงคลเสริมดวงชะตา
ชื่อวิทยาศาสตร์: Hippeastrum johnsonii.
วงศ์: AMARYLLIDACEAE(วงศ์พลับพลึง)
ชื่อสามัญ: Wan-See-Til
ชื่ออื่นๆ: -
ลักษณะทั่วไป:
ว่านสี่ทิศเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์พลับพลึง มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีลักษณะคล้ายกับหอมหัวใหญ่ ส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินเป็นส่วนของก้านใบ และตัวใบเท่านั้น ลักษณะของใบเป็นสีเขียว รูปหอกยาวเรียว ปลายมน ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-5 ซม. และยาวประมาณ 25–30 ซม. ก้านดอกจะแทงสูงขึ้นจากกอ มีความประมาณ 25-30 ซม. ดอกออกตรงปลายก้านดอก มีสีชมพูตรงปลายดอก ดอกแยกออกเป็น 6 กลีบ เมื่อบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 6-8 ซม. และจะทยอยกันบานทีละ 4 ดอก จึงนิยมเรียกกันว่า “ว่านสี่ทิศ”
การปลูกว่านสี่ทิศ :
ควรปลูกในดินปนทราย ให้น้ำ และความชื้นปานกลาง ว่านสี่ทิศเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบแสงแดดมาก จึงควรต้องปลูกในที่แจ้ง จึงจะเจริญเติบโตและมีดอกได้ดี
การขยายพันธุ์ :
ขยายพันธุ์โดยแยกหน่อ หรือแยกหัวไปปลูกใหม่
ความเชื่อเกี่ยวกับว่านสี่ทิศ :
เชื่อกันว่าถ้าเลี้ยงว่านสี่ทิศให้ออกดอกพร้อมกันได้ทั้งสี่ดอกหรือสี่ทิศ ผู้เลี้ยงจะมีโชคลาภ และหากว่าในช่วงที่ว่านสี่ทิศกำลังออกดอกทั้งสี่อยู่นั้น ผู้เลี้ยงคิดจะทำอะไร ก็จะประสบความสำเร็จทุกประการ แต่ถ้าหากว่า ว่านสี่ทิสออกดอกไม่ครบทั้งสี่ดอก หรือออกดอกแค่ 2 หรือ 3 ดอก ก็จะไม่เป็นผลดีแก่ผู้เลี้ยงเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดแก่ ผู้เลี้ยง
Create Date : 30 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 17:57:09 น. |
Counter : 590 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|