WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 

สมุนไพร รักษาโรคกระเพาะอาหาร

//learners.in.th/file/kanyazz/202.jpg

โรคกระเพาะอาหาร


    โรค กระเพาะอาหาร (peptic ulce)
หมายถึงอาการปวดแสบ ปวดต้อ ปวดเสียด หรือจุกแน่น ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่
(เหนือสะดือ) เวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ ๆ
สาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะคือ ความเครียด (วิตกกังวล คิดมาก
เคร่งเครียดกับการงาน การเรียน) พฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดเวลา
และการรับประทานอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เช่น เหล้า
เบียร์ แอสไพริน (ยาแก้ปวด ยาซอง) ยาแก้ปวดข้อ ยาชุด
หรือยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์ เครื่องดื่มชูกำลัง ที่เข้าสารคาเฟอีน
เป็นต้น


การรักษาโรคกระเพาะ โดยการรับประทานยา และดูแลสุขภาพ ของตนเอง ดังนี้
      ก.
รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
      ข. รับประทานอาหาร 3 มื้อตามปกติ
(ถ้าปวดมากในระยะแรก ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม)
อย่ารับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด


ไม่จำเป็น
ต้องแบ่งรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยมื้อขึ้นดังที่เคยแนะนำกันในอดีต
เพราะยิ่งรับประทานมากนอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้นแล้ว (ต้องคอยลดความอ้วนอีก)
ยังอาจจทำให้อาการกำเริบได้ง่ายอีกด้วยคนที่เป็นโรคกระเพาะบางครั้งอาจ
รู้สึกหิวง่ายก็ควรรับประทาน ยาลด กรดแทนนมหรือข้าว


       ค. งดเหล้า เบียร์ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม
และบุหรี่เพราะจะทำให้โรคกำเริบได้
       ง. ห้ามรับประทานยาแอสไพริน
ยาแก้ปวดข้อ ยาที่เข้าเตรียรอยด์
(ในรายที่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้รักษาโรคอื่น ควรปรึกษาแพทย์)
       จ.
คลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน
ว่ายน้ำ รำมวยจีน โยคะ เต้นแอโรบิก) หรือทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ
หรือเจริญภาวนาตามศาสนาที่ตัวเองนับถือ
คนที่เป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด การปฏิบัติในข้อนี้
จะมีส่วนช่วยให้โรคหายขาดได้


ยาสมุนไพรที่ใช้
รักษาโรคกระเพาะอาหาร
คือ


1. ขมิ้นชัน
         ชื่อ
วิทยาศาสตร์    Curcuma longa Linn., Curcuma domesticaVal.
         ชื่อ
ท้องถิ่น          ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว
(เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น(ใต้) ตายอ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร) สะยอ
(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
         ลักษณะของพืช
                 
ขมิ้นมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ประเทศอินเดีย จีน และหมู่เกาะ
อินเดียตะวันออกปัจจุบันมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ
อย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อน ขมิ้นเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน
อายุหลายปี ถึงฤดูแล้งใบจะโทรม
เมื่อย่างเข้าฤดูฝนเริ่มแตกใบขึ้นมาใหม่เนื้อในของเหง้ามีสีเหลืองเข้มจนถึง
สีแสดเข้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะ ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านยาว ใบเหนียว
เรียวและปลายแหลม กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอกเป็นดอกช่อ
มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน กลีบประดับสีเขียวอมชมพู
ดอกบานครั้งละ 3-4 ดอก ผลรูปกลม มี พู


         ส่วนที่ใช้เป็นยา          เหง้าแห้ง
         ช่วงเวลาที่
เก็บเป็นยา    เก็บเมื่อขมิ้นอายุราว 7-9 เดือน
         รสและสรรพคุณยา
ไทย รสฝาด กลิ่นหอมแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม ท้องร่วง
         ข้อมูล
ทางวิทยาศาสตร์
                 เหล้า
ขมิ้นมีน้ำมันหอมระเหยประมาณร้อยละ 22-6 เป็นน้ำมันสีเหลือง มีสารหลายชนิด
คือ Turmerone, Zingiberene, Borneol เป็นต้น และมีสารสีเหลืองส้ม คือ
เคอร์ควิมิน (Curmumin) ประมาณร้อยละ 1.8-5.2


                 การ ศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า
ขมิ้นมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขับน้ำดี
และฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบได้
โดยที่ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเกิดจากสารเคอร์คิวมิน ขนาด 50
มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำให้เกิดการกระตุ้น การหลั่ง mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ
แต่ถ้าใช้ขนาดสูงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้
ส่วนฤทธิ์ลดการอักเสบเกิดจากสารเคอร์คิวมินและน้ำมันหอมระเหย
ทำให้ขมิ้นมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้


                 ฉวี วรรณ พฤกษ์สุนันท์ และคณะ (2529)
ศึกษาผลของยาแคปซูลขมิ้นในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องเนื่องจากแผลเปื่อยใน
กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กดูโอนินั่ม
โดยดูการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังภายในกระเพาะอาหารและสำไส้เล็กดูโอนินั่ม
ด้วยกล้องส่องตรวจ (Endoscope) ในผู้ป่วยชาย 8 ราย หญิง 2 ราย อายุระหว่าง
16-60 ปีผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อย10 ราย นี้เป็น D.U. 2 ราย มีขนาดแผล
0.5-1.5 ซม. โดยให้รับประทานขมิ้นชันขนาดแคปซูลละ 250 มก.ครั้งละ 2 แคปซูล
ก่อนอาหาร 3 มื้อ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง และก่อนนอน ปรากฏผลว่า
แผลของผู้ป่วยหายเรียบร้อยดี 6 ราย คิดเป็น 60 % ในระยะเวลา 4-12 สัปดาห์
ในจำนวนนี้ถ้าแสดงผลการหายของแผลเรียบร้อยภายในเวลา 4 สัปดาห์ ได้เป็น 50%


                   อัญชลี อินทนนท์ และคณะ (2529)
ได้ทำการทดลองใช้ขมิ้นรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องซึ่งเชื่อว่าเป็นอาการ
ของโรคแผลเปปติค (Peptic Ulcer) โดยเปรียบเทียบกับการใช้ไตรซิลิเกต
(Trisiligate) ซึ่งเป็นยาลดกรดขององค์การเภสัชกรรม ได้ผลดังนี้
คืออาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยขมิ้นชัน ครบ 12 สัปดาห์ จำนวน 15 ราย
คิดเป็น 60% หายปกติ 1 ราย คิดเป็น 58 % อาการดีขึ้นมาก
หลังรักษาด้วยไตรซิลิเกต 5 ราย คิดเป็น 50 % หายปกติ 4 ราย คิดเป็น 40 %


                   ขมิ้น เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง
การศึกษาพบว่าขมิ้น ไม่มีพิษเฉียบพลันและไม่มีผลในด้านก่อกลายพันธุ์
และในการวิจัยทางคลินิกของ ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์และคณะ (2529)
ได้ศึกษาเคมีเลือดผู้ป่วยที่รับการ ทดลองจำนวน 30 คน
ก่อนและหลังรับประทานขมิ้นติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์
ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในผลเคมีเลือดที่บ่งถึงการตรวจหน้าที่ตับและไต
และฮีมาโตโลยี ส่วนผลแทรกแซง พบอาการท้องผูก ราย แพ้ยามีผื่นที่ผิวหนัง 2
ราย


         วิธีใช้
                   ขมิ้น
ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารโดยการนำเหง้าแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก)
หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด
ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคปซูล เก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด
รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน


                   บาง คนรับประทานขมิ้นแล้วอาจมีอาการแพ้ขมิ้น
เช่นคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นต้น
หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน


ยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร


2 กล้วย
     ชื่อ
วิทยาศาสตร์    Musa sapientum Linn.
     ชื่อท้องถิ่น            -
     ลักษณะ
พืช
              กล้วย
เป็นพืชเมืองร้อนและเป็นพืชที่คุ้นเคยกับคนไทยมาช้านาน
เพราะเกือบทุกส่วนของกล้วยมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน
กล้วยเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นตรง รูปร่างกลม มีกาบใบหุ้มซ้อนกัน
ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ขอบใบขนานกัน ช่อดอกคือหัวปลี มีลักษณะห้อยหัวลงยาว 1-2
ศอก มีดอกย่อยออกเป็นแผง กลายเป็นผลติดกัน เรียกว่าหวี
เรียงซ้อนและติดกันที่แกนกลางเรียกว่าเครือ
ส่วนที่ใช้เป็นยา
ผลกล้วยดิบหรือผลห่าม


      ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา     เก็บผลกล้วยช่วงเปลือกเป็นสีเขียว
ต้นกล้วยจะให้ผลเมื่ออายุ 8-12 เดือน
     รสและสรรพคุณยาไทย  รสฝาด
ฤทธิ์ฝาดสมาน
     ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
                 กล้วย
ดิบประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิด คือ Tannin , Serotonin, Norepinephnine,
Dopamin และ Catecholamine
สารเหล่านี้อยู่ในเนื้อและเปลือกของกล้วยสำหรับกล้วยสุกมี pectin ,
Essential oil, Norepinephrine และกรดอินทรีย์หลายชนิด


                  ปี คศ. 1964 Best และคณะ
ได้พบว่าผงกล้วยดิบมีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะหนูขาว ซึ่งเกิดจากการให้
aspirin โดยสามารถใช้ทั้งป้องกันและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้
ในการป้องกันจะใช้ขนาด 5 กรัม ส่วนการรักษาใช้ขนาด 7กรัม
และถ้าเป็นสารสกัดด้วยน้ำจะมีฤทธิ์แรงเป็น 800 เท่าของผงกล้วย
ผู้วิจัยเข้าใจว่ากล้วยดิบไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารพวก
mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ กล้วยจะดีกว่ายาพวก Aluminium hydroxide,
Cimetidine หรือ Postaglandin
ซึ่งมีฤทธิ์เฉพาะป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเท่านั้น
แต่ไม่สามารถรักษาแผลที่เกิดแล้วได้


      วิธีใช้
                  นำ
กล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้งในอุณหภูมิ 50
องศาเซลเซียส และบดเป็นผง
วิธีรับประทานโดยการนำผงกล้วยดิบครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล
ชงน้ำหรือผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มหรือนำผงกล้วยดิบมาปั้นลูกกลอน
รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน
รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น
น้ำขิง พริกไทย เป็นต้น
สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน,
“ยาสมุนไพร สำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน”


 







 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 16:09:21 น.
Counter : 464 Pageviews.  

สมุนไพร

//herb.kapook.com/wp-content/uploads/2009/02/chinese_herb_medicine.jpg
 สมุนไพร

คำนี้ฟังดูคุ้นเคยกันจังเลยนะคะ ก็พืช ผัก ใกล้ตัวของเรานั่นเอง
แต่จะมีใครรู้มั่งว่า สมุนไพร นั้นคืออะไร แล้วมีอะไรบ้าง
และอะไรที่อยู่รอบตัวเราที่เป็น สมุนไพรบ้าง
ถ้าอยากรู้วันนี้เราก็จะมาไขข้อสงสัยของเพื่อนๆ กัน
พร้อมแล้วก็ลุยกันเลย…..


           สมุนไพร
หมายถึง “พืชที่ใช้ทำเป็น
เครื่องยา”
ส่วน ยา

สมุนไพร
หมายถึง “ยา

ที่ได้จากส่วนของพืช สัตว์ และแร่ ซึ่งยังมิได้ผสมปรุง หรือ แปรสภาพ”

ส่วนการนำมาใช้ อาจดัดแปลงรูปลักษณะของสมุนไพรให้ใช้ได้สะดวกขึ้น เช่น
นำมาหั่นให้มีขนาดเล็กลง หรือ นำมาบดเป็นผง เป็นต้น
ยังมีสัตว์และแร่ธาตุอื่นๆ อีกที่นำมาใช้ทำเป็นยาสมุนไพร ได้แก่ เขา หนัง
กระดูก ดี หรือเป็นสัตว์ทั้งตัวก็มี เช่น ตุ๊กแก ไส้เดือน ม้าน้ำ ฯลฯ


 


        สมุนไพร
แบ่งตามหลักวิชาออกเป็น 2 สาขา คือ สมุนไพรแผนโบราณ และสมุนไพร

แผนปัจจุบัน


           สมุนไพรแผน
โบราณ
คือ พืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ ที่แพทย์แผนโบราณ
และประชาชนนำมาใช้เป็นอาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือเครื่องสำอาง สำหรับป้องกัน
รักษาโรค บำรุงสุขภาพ หรือเสริมสวย
ตามหลักวิชาของแพทย์และเภสัชกรรมไทยแผนโบราณแผนโบราณ หรือจากความรู้
และประสบการณ์ที่บรรพบุรุษในอดีตเคยใช้สืบต่อกันมา


           สมุนไพรแผน
ปัจจุบัน
คือ พืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ ที่แพทย์แผนปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์ หรือนักโภชนาการนำมาศึกษาค้นคว้า ทดลอง วิจัย
แล้วสกัดเอาสารบางชนิดจากพืช สัตว์ หรือแร่ะาตุ ออกมาใช้เป็นอาหาร
เครื่องดื่ม ยา หรือเครื่องสำอาง สำหรับป้องกัน รักษาโรค บำรุงสุขภาพ หรือ
เสริมสวย ตามหลักและกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยข้อมูล ความรู้พื้นฐาน
หรือประสบการณ์เดิมของแพทย์และเภสัชกรแผนโบราณ
หรือประชาชนที่เคยรู้และเคยใช้กันมาตั้งแต่อดีตเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัย
ว่า ในพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุนั้นๆ
มีสารเคมีอะไรจึงมีสรรพคุณตามที่คนโบราณกล่าวไว้
โดยนำมาทดลองทั้งด้านเภสัชวิทยาและทางคลีนิค คือ
ทดลองใช้กับสัตว์และคนที่เจ็บป่วย


           สมุนไพรแผนโบราณในประเทศไทยแบ่งออกเป็น
2 ประเภท


           คือ สมุนไพรไทยแผน
โบราณ
และสมุนไพรจีนแผนโบราณ


           สมุนไพรไทยแผน
โบราณ
คือ
สมุนไพรที่มีอยู่ในประเทศไทยและบางชนิดก็ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ
ซึ่งแพทย์และเภสัชกรไทยแผนโบราณนำมาปรุงเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ยา
หรือเครื่องสำอาง สำหรับป้องกัน รักษาโรค บำรุงสุขภาพ รักษาโรค บำรุงสุขภาพ
หรือเสริมสวย ตามทฤษฎี หรือหลักวิชาของแพทย์และเภสัชกรรมไทยแผนโบราณ


           สมุนไพรจีนแผน
โบราณ
คือ สมุนไพรที่มีอยู่ในประเทศจีน
ที่แพทย์และเภสัชกรจีนแผนโบราณนำมาปรุงเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ยา
หรือเครื่องสำอาง สำหรับป้องกัน รักษาโรค บำรุงสุขภาพ หรือเสริมสวย
ตามทฤษฎีหรือหลักวิชาาของแพทย์และเภสัชกรรมจีนแผนโบราณ


          หลักสรรพคุณสมุนไพรไทย เราจะทราบว่า
สมุนไพรชนิดใด มีสรรพคุณอย่างไร เราจำเป็นต้องรู้ของสมุนไพรว่ามีรสอะไร
ถ้าเรารู้รสของสมุนไพรแล้ว เราก็จะทราบสรรพคุณของมัน
เพราะรสของสมุนไพรจะแสดงสรรพคุณเอาไว้ รสของสมุนไพรแบ่งออกเป็น 9 รส คือ


           1. รสฝาด ชอบสมาน ใช้สมานแผล แก้บิด
คุมธาตุ แก้ท้องเสีย

           2. รสหวาน ซึบซาบไปตามเนื้อ
ทำให้ร่างกายชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย ทำให้ชุ่มคอ แก้ไอ

           3. รสเมาเบื่อ แก้พิษ แก้พยาธิ
แก้สัตว์กัดต่อย ขับพยาธิ แก้โรคผิวหนัง

           4. รสขม แก้ทางโลหิตและดี แก้ไข้ เจ็บคอ
ร้อนใน กระหายน้ำ เจริญอาหาร

           5. รสเผ็ดร้อน แก้ลม บำรุงธาตุ
ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร

           6. รสมัน แก้เส้นเอ็น บำรุงเส้นเอ็น
แก้ปวดเมื่อยร่างกาย แก้ไขพิการ แก้ปวดเข่าปวดข้อ

           7. รสหอมเย็น ทำให้ชื่นใจ บำรุงหัวใจ ชูกำลัง
แก้อ่อนเพลีย แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ

           8. รสเค็ม ซึบซาบไปตามผิวหนัง รักษาโรคผิวหนัง
รักษาเนื้อไม่ให้เน่า แก้ประดง ลมพิษ

           9. รสเปรี้ยว กัดเสมหะ แก้เสมหะพิการ แก้ไอ
ช่วยให้ระบายขับถายเมือกมัน แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
ทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้








 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 16:05:30 น.
Counter : 648 Pageviews.  

สมุนไพรรักษาโรค จากเห็ดหลินจือ

//www.uppic.net/in/news_img_33173_1.jpg
นักวิจัยจากแดนซามูไรวิเคราะห์สารชีวภาพในเห็ดหมื่นปี
พบคุณสมบัติต้านไวรัสเอดส์-ไวรัสตับ เหมาะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 นาย
มาซาโอะ ฮัตโตริ นักวิจัยจากสถาบันการแพทย์ธรรมชาติ มหาวิทยาลัยโทยาม่า
และทีมวิจัยพบสารออกฤทธิ์ใหม่ ๆ
หลังจากตรวจวิเคราะห์เห็ดหลินจือและเห็ดหมื่นปี
ซึ่งสารประกอบบางชนิดมีฤทธิ์ในการต้านหรือยับยั้งเชื้อไวรัสเอชไอวีและไวรัส
ตับอักเสบซีสามารถต่อยอดไปใช้ได้จริง

 เห็ดหลินจือเป็นยาพื้น
บ้านอย่างหนึ่ง และเป็นอาหารสุขภาพที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลก
เห็ดหลินจือมีสารโพลีแซคคาไรด์ ไตรเตอร์เปนส์ และสเตอรอยด์
และทีมวิจัยของมาซาโอะตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะออกฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสและได้
เช่นกัน

 “เรานำเห็ดหลินจือจากจีนและเวียดนาม มาโขลกละเอียด
แล้วสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม นำไปแยกด้วยวิธีโครมาโตกราฟี
แล้วใช้เครื่องสเปกโตรสโครปิกตรวจสอบโครงสร้างสารที่พบจากสารสกัดเห็ดหลิน
จือ ในขณะเดียวกันก็นำสปอร์จากเห็ดสายพันธุ์เห็ดหมื่นปี (A.cinnamomea และ
G.lucidum) มาทำละลายด้วยคลอโรฟอร์มและน้ำร้อน
เพื่อหาสารออกฤทธิ์ต้านเชื้อเอดส์และไวรัสตับอักเสบซีมาเปรียบเทียบกัน”
นายมาซาโอะอธิบาย

 ผลการตรวจสอบพบว่า
ในเห็ดหลินจือที่ได้จากเวียดนาม พบสารตัวใหม่ที่ชื่อว่า กาโนมัยซิน วัน
(Ganomycin I)
อยู่ระหว่างการตรวจสอบโครงสร้างที่จะสามารถต้านเชื้อไวรัสเอดส์และยับยั้ง
เชื้อตับอักเสบซี ในขณะที่เห็ดหลินจือจากจีนก็พบสารใหม่
แต่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบปฏิกิริยาทางชีววิทยาเช่นกัน

 เมื่อมา
ดูสารออกฤทธิ์ในสปอร์ของเห็ดหมื่นปี 2 สายพันธุ์คือ A.cinnamomea และ
G.lucidum
มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถออกฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสของโรคที่กล่าวข้างต้น
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทยาม่า จึงทำการทดสอบ
โดยนำสารสกัดจากสปอร์เห็ดหมื่นปี G.lucidum มาสกรีนเทสต์ พบว่า
ไตรเตอร์เปนส์ประเภทลาโนสเตน สามารถยับยั้งเชื้อเอดส์ระยะที่ 1
ในขณะที่กาโนเดอเรียล เอฟและกาโนมอนอนเทรียล
สามารถยับยั้งเชื้อเอชไอวีพร้อมกับทำปฏิกิริยาให้เซลล์เอ็มที-4 แตกสลายไป

 ขณะ
ที่สารสกัดจากสปอร์เห็ดหมื่นปี A.cinnamomea นั้น
นักวิจัยพบกรดมาเลอิคและอนุพันธ์กรดซัคซินิค ที่ชื่อว่า แอนโทรดินส์ เอ-อี
ซึ่งเมื่อนำไปทดสอบในหนูทดลอง กรด 2
ชนิดเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญในร่างหนูทดลองพบว่าสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสตับ
อักเสบซี ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการเกิดแผลในตับอีกด้วย




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 16:01:12 น.
Counter : 518 Pageviews.  

สมุนไพร "พลูคาว" (ผักคาวตอง)

//www.herblpg.com/thai/images/plants/plookao_400x348.jpg
สรรพคุณ : แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคันตามผิวหนัง
แก้อาการอักเสบในทางเดินปัสสาวะ แก้ไอ ขับเสมหะ หลอดลมอักเสบ
และรักษาโรคปอด

ผลิตภัณฑ์สมุนไพร "พลูคาว" มี 3 ชนิด คือ


1. ยาชงสมุนไพร "พลูคาว" 1 ซอง (บรรจุ 20 ซองเล็ก) ราคา 50 บาท

--------------------------------------------


2. ยาแคปซูล "พลูคาว" 1 ขวด (บรรจุ 50 แคปซูล) ราคา 100 บาท

(ทะเบียนตำรับยาแผนโบราณเลขที่ G 173/50)

--------------------------------------------


3. ยาแคปซูล "พลูคาว" 1 ขวด (บรรจุ 100 แคปซูล) ราคา 200 บาท

(ทะเบียนตำรับยาแผนโบราณเลขที่ G 173/50)

--------------------------------------------







 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 15:57:57 น.
Counter : 505 Pageviews.  

จิเจียเหมายี่

//gotoknow.org/file/kitikant_kpp/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.jpg
วิธีรับประทาน

        รับ
ประทานใบสด รับประทานวันละ 1 ครั้ง  ประมาณ 2-5 ใบ ควรรับประทานในตอนเช้า
ช่วงเวลาตี 5 - 7 โมงเช้า 
ส่วนโรคกระเพาะให้รับประทานในช่วงที่ปวดอาการจะหายไป หลังจากนั้นรับประทาน
1-2 สัปดาห์   เมื่อหายจากอาการต่างๆสามารถรับประทานใบยาจินเจียเหมายี่ 
ช่วยบำรุงสุขภาพ


       
นอกจากรับประทานสดแล้ว ยังมาทำเป็นอาหารสุขภาพได้เช่นนำมาทำแกงจืด  
หรือนำใบแก่มาปั่นบีบน้ำยาใส่ขวดใส่ตู้เย็นใช้ทาแผลงูสวัด สะเก็ดเงิน  
ใบนำมาตำพอกบาดแผลหรือพอกหัวริดดวงทวาร 


         อาหารแสลงที่ควรระวัง  หน่อไม้   สาเก  หูฉลาม 
สุรา


    ต้น
ยาจินเจียเหมายี่ ประมาณ 1ปีกว่าจะตาย
เมื่อต้นโตเต็มที่จะออกดอกสีเหลืองไม่มีฝักหรือเมล้ด  ขยายพันโดยการปักชำ 
ต้นชอบน้ำ ต้องการแสงแดดพอสมควรชอบดิร่วน







 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 15:54:30 น.
Counter : 479 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.