WishRich
Group Blog
 
All Blogs
 
คราม

//csamunpri.com/herbals/wp-content/uploads/2009/09/kram1.jpg




คราม สมุนไพร ดอกของคราม มีขนาดเล็กคล้ายดอกถั่ว
ออกเป็นช่อที่ซอกใบ มีสีเขียวอ่อนอมครีม เริ่มบานมีสีแดงหรือชมพู



ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Indigfera tinctoria L.


ชื่อสามัญ : Indigo


ชื่อวงศ์ :
LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE


ชื่อพื้นเมือง : คราม
(ไทย), คาม (เหนือ,อีสาน)  ครามย้อม (กรุงเทพฯ)  ครามป่า (เชียงใหม่),
ครามเถื่อ (เงี้ยว-เชียงใหม่), ครามใหญ่ (อุบล)


ลักษณะทางพฤษศาสตร์ :


ต้น ครามเป็นไม้เนื้ออ่อนกึ่ง
เลื้อยพักอาศัยการพาดเกาะตามสิ่งที่อยู่ใกล้เพื่อทอดลำต้น
มีการแตกกิ่งก้านสาขาไม่มากนัก


ใบ ใบครามมี
ลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อยรูปวงรีแกมขอบขนาน ก้วาง 0.8-1
ซม. ยาว 1.5-3.5 ซม.


ดอก
มีขนาดเล็กคล้ายดอกถั่ว ออกเป็นช่อที่ซอกใบ  มีสีเขียวอ่อนอมครีม
เริ่มบานมีสีแดงหรือชมพู


ฝัก ลักษณะคล้ายฝักถั่วแต่
เล็กกว่า  ออกเป็นกระจุก   ขนาดความยาวของฝัก 5-8 เซนติเมตร


ผล มีลักษณะเป็นสีน้ำตาล
แตกฝักได้


เมล็ด
ขนาดเล็กสีครีมอมเหลือง หรือ น้ำตาลอ่อน รูปทรงกระบอกอยู่ภายในฝัก  ประมาณ 8
– 10 เมล็ด เมล็ดสีครีมอมเหลือง เป็นพรรณไม้ในเขตร้อนชื้นกระจายพันธ์อยู่
แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า ลาว ฯลฯ
เจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งแจ้งในธรรมชาติ
เมล็ดที่ร่วงหล่นจะงอกเป็นต้นเจริญเติบโตในหน้าฝน
และเมล็ดจะแก่ในช่วงฤดูหนาว จะมีช่วงวงจรชีวิตอยู่ในเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม
แต่สามารถเก็บเมล็ดนำมาปลูกเลี้ยงได้ตลอดปี


การขยายพันธ์ :

การเก็บฝักแก่ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนโดยจะเก็บฝัก
มาพึ่งแดดอ่อนให้แห้ง ประมาณ 2 – 3 แดด เพื่อเก็บรักษาไว้เพาะพันธุ์
การขยายพันธุ์จะทำได้โดยการแกะเมล็ดออกจากฝัก
แล้วนำไปเพาะในกระบะเพาะแล้วแยกปลูก หรือสามารถเพาะกล้าในถุงปลูกขนาดเล็ก
เมื่อต้นกล้าแข็งแรงแล้วจะมีใบอ่อน 3 – 5 ใบ ก็นำปลูกในหลุม หรือแปลงปลูก




คราม สมุนไพร ฝักของคราม
ลักษณะคล้ายฝักถั่วแต่เล็กกว่า ออกเป็นกระจุก ขนาดความยาวของฝัก 5-8
เซนติเมตร



ข้อมูลการเพาะเลี้ยง
:


การเตรียมหลุม/แปลงปลูกและการปลูก

เตรียม แปลงหรือหลุมปลูก โดยย่อยดินให้ร่วนซุยคลุกด้วยปุ๋ยคอด
หรือปุ๋ยมักพอประมาณแล้วจึงนำต้นกล้าจากกระบะเพาะ หรือถุงเลี้ยงกล้าลงปลูก
ในการย้ายกล้าควรมีดินติดกล้าให้มาก
พยายามอย่าให้รากขาดมากจะทำให้ต้นกล้าเหี่ยวเฉาง่าย และควรย้าย
ปลูกในช่วงอากาศและแสงแดดไม่ร้อนจัดหลังจากปลูกให้ลดน้ำให้ชุ่มหรือถ้าแสง
แดดจัดควรพลางแสงในช่วง 2 – 3 วันแรก เพื่อให้ตั้งตัวได้เร็วขึ้น


การดูแลรักษา

ครามเป็นพืชที่ชอบเจริญเติบโตในที่แจ้งน้ำไม่ท่วมขังควรให้น้ำปานกลางโดย
ปกติสามารถเติบโตได้ดีเป็นธรรมชาติแต่ถ้าปลูกในแปลงเกษตร
อาจชิดกันผิดธรรมชาติไป ก็ควรให้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักเพิ่มธาตุอาหาร
เพื่อให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น


ศัตรูพืชและการป้องกัน

ในด้านศัตรูพืช ครามที่นำมาปลูก
มักจะเกิดปัญหาเรื่องยอดและใบหงิกงอ สาเหตุเกิดจากเพลี้ยอ่อน
ดูดน้ำเลี้ยงที่บริเวณยอดทำให้ใบหงิกม้วนงอก ต้นทรุดโทรม เก็บผลผลิตได้น้อย
การกำจัดอาจใช้พืชสมุนไพร เช่น น้ำหมักใบยาสูบ หรือ
น้ำสบู่เข้มข้นฉีดพ่นและไล่เพลี้ยก่อน
ถ้ามีปริมาณมากและรุนแรงอาจใช้สารฆ่าแมลงเช่น เซฟวิน 85 ฉีดพ่น 1 – 2 ครั้ง
จากนั้นใช้สมุนไพรฉีดช่วยภายหลัง


การเก็บเกี่ยวและการรักษาหลังเก็บ
เกี่ยว


คราม นิยมเก็บเกี่ยวส่วนของใบและกิ่ง ในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง สิงาคม
ซึ่งจะเลือกเก็บ เฉพาะใบที่แก่จัด มีสีใบเข้ม
ในการเพาะปลูกเลี้ยงจะสามารถเก็บได้ 3 ครั้ง ในช่วงฤดูฝน
จะเก็บครามในช่วงเดือนมิถุนายน –กรกฎาคม เพื่อนำมาหมัก
และเก็บหัวครามเข็มข้นตามกรรมวิธีการมัก
ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมา
หัวครามจะมีลักษณะคล้ายดินโคลนมีน้ำเงินเข้ม
หล่อเลี้ยงด้วยน้ำเล็กน้อยเพื่อป้องกันหัวครามแห้งเกินไป
โดยจะนำหัวครามเข็มที่ได้ใส่ลงไปในปีบขนาด 20 ลิตร
ซึ่งภายในบรรจุด้วยถุงพลาสติกเพื่อเก็บไว้จำหน่าย ในปัจจุบัน (ปีพ.ศ. 2547)
ราคาหัวครามประมาณกิโลกรรมละ 200 บาท
ซึ่งหัวครามนี้สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานปี


กรรมวิธีทำหัวคราม :



  1. นำต้นห้อม,ต้นครามที่ตัดแล้วมามัดรวมกันเป็นกำ ขนาดกำละประมาณ
    2 กำมือ

  2. นำต้นห้อม,ต้นครามที่มัดเรียบร้อยแล้วมาใส่ในหม้อ
    เติมน้ำเปล่าพอให้ท่วม โดยเฉลี่ยจะใช้น้ำประมาณ 10
    ลิตรต่อการแช่ห้อมหรือคราม 1 กิโลกรัม ให้มัดห้อมหรือครามจมอยู่ในน้ำ
    โดยอาจใช้ก้อนอิฐทับไว้ให้จมอยู่ใต้น้ำ ปิดฝาหม้อให้เรียบร้อย
    ทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3 วัน ให้ต้นห้อม ,ต้นครามเน่าเปื่อย
    ให้สีครามละลายออกมาในน้ำ

  3. กรองเอาต้นห้อม, ต้นครามและเศษชิ้นส่วนต่างๆออกเหลือไว้แต่น้ำ
    คราม

  4. ทำการ “ซวก”
    โดยใช้ชะลอมที่สานด้วยไม้ไผ่จนกระทั่งน้ำในหม้อเกิดเป็นฟองอากาศสีครามผุด
    ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

  5. ละลายปูนขาวหรือปูนแดงกับน้ำเปล่า
    คนเพื่อไม่ให้ปูนจับตัวเป็นก้อนเติมลงไปในน้ำครามซึ่งก็จะใช้ปูนขาประมาณ
    200 กรัมต่อน้ำคราม 10 ลิตร

  6. ซวกต่อไปจนกระทั้งฟองอากาศยุบตัวลง จึงทิ้งไว้ประมาณ 1
    คืนเพื่อรอให้เกิดการตกตะกอนของเนื้อคราม

  7. เมื่อน้ำครามตกตะกอนเทน้ำข้างบนที่เป็นสีเหลืองทิ้งไปเหลือ
    เฉพาะแต่น้ำครามขุ่นก้นหม้อ

  8. นำน้ำครามมากรองด้วยผ้าขาวบาง
    น้ำที่เหลือจากการกรองเททิ้งไปเหลือไว้เฉพาะตะกอนที่ติดอยู่กับผ้าขาวบาง

  9. ตะกอนที่ได้คือเนื้อครามที่จะใช้เป็นส่วนผสมที่สำคัญที่ทำให้
    เกิดสีในการย้อมผ้า เนื้อครามที่ได้นี้สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 1 – 2 ปี
    โดยการบรรจุในไหที่ปิดสนิท

สรรพคุณของสมุนไพร :



  • ใบ เป็นยาดับพิษ
    แก้ไข้ตัวร้อนและแก้ปวดศีรษะ

  • ลำต้น เป็นยาแก้กระษัย
    แก้ไข้ตัวร้อน แก้ปวดศีรษะ

  • เปลือกใช้แก้พิษงู
    แก้พิษฝีและแก้บวม

  • ถ้าถูกมีดบาดหรือเป็นแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก สามารถนำเนื้อครามทา
    เพื่อสมานแผลได้ ผ้าที่ย้อมครามก็มีคุณสมบัติทางยาเช่นกัน
    เพียงนำผ้าครามไปนึ่งให้อุ่น ประคบตามรอยช้ำก็สามารถบรรเทาอาการได้

ประโยชน์ด้านอื่นๆ :



  1. ในด้านความสวยความงามนั้น น้ำคั้นจากใบสดของครามช่วยบำรุงเส้น
    ผม ป้องกันผมหงอก สารสกัดครามทั้งต้น (ยกเว้นใบ)
    เป็นส่วนผสมในสีที่ใช้ย้อมผม

  2. ครามเป็นพืชที่มีการนำมาใช้ย้อมสีมากที่สุด
    เนื่องจากเป็นพืชให้สีน้ำเงินใช้ในการย้อมฝ้ายได้ผลดี
    ทั้งนี้การย้อมครามส่วนใหญ่อยู่ในสภาพน้ำย้อมเป็นด่าง
    การย้อมเส้นไหมจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมและติดสีไม่ดี
    การย้อมเส้นไหมพบมากในจังหวัดสุรินทร์ มีการย้อมครามอย่างแพร่หลาย
    สีน้ำเงินที่ได้จากครามจัดเป็นแม่สีที่สามารถใช้ร่วมกับสีหลักอื่นๆ
    ได้หลากหลายสี วิธีการย้อมเส้นไหมด้วยคราม
    เตรียมน้ำครามเหมือนกับการเตรียมน้ำครามเพื่อย้อมฝ้าย
    โดยนำต้นครามสดทั้งใบและกิ่งมาแช่ในโอ่งเติมน้ำปูนขาว (ปูนจากเปลือกหอย)
    แล้วกดทับให้ครมจมน้ำ ไม่ใช้ทำปฏิกิริยากับอากาศ และพลิกกลับครามทุกวัน นาน
    4 วัน หรือจนสังเกตเห็นน้ำที่หมักครามมีสีเหลืองแล้วกรองเอาแต่น้ำคราม
    ในการนำน้ำครามย้อมเส้นไหม ควรปรับค่าความเป็นกรดด่างให้เหมาะสมประมาณ 9.7
    โดยใช้น้ำด่างธรรมชาติและน้ำมดแดง
    จากนั้นนำเส้นไหมมาย้อมแบบย้อมเย็นนากรย้อมครามอีกวิธีหนึ่ง
    เป็นวิธีย้อมที่รวดเร็วได้แก่การนำเอาครามเปียก ก้อนครามหรือผงคราม
    มาย้อมเส้นไหม โดยใช้สารละลายด่างโซดาไฟ ละลายเนื้อครามแล้วเติมสารพวก
    Reducing agent เช่น การน้ำตาลร่วมกับผงเหม็น (Sodium hydrosulfite) จนน้ำครามเป็น
    สีเขียวเหลือง และมีฟองสีน้ำเงิน ปรับความเปนกรดด่าง
    โดยการเติมกรดน้ำส้มให้ pH น้ำย้อมอยู่ในระดับ 6.1-6.5
    แล้วนำเส้นไหมมาย้อมด้วยกรรมวิธีการย้อมเย็น นานประมาณ 1 ชั่งโมง
    เมื่อครบนำเส้นไหมาล้างด้วยน้ำสะอาด
    จากนั้นนำเส้นไหมามาย้อมทับอีกครั้งจะได้สเนไหมสีน้ำเงินหรือสีฟ้าเข้ม

  3. คุณสมบัติพิเศษอีกประการที่มีงานวิจัยทั้งในอเมริกา และญี่ปุ่นก็คือ
    ผ้าที่ย้อมจากครามสามารถป้องกันผิวของผู้สวมใส่จากรังสีอัลตรา
    ไวโอเลตได้

ถิ่นที่อยู่ : พรรณ
ไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคเหนือ
และได้พบว่าปลูกกันเพื่อเอาไว้ทำครามย้อมผ้า พบที่พะเยาตอนใกล้กับอำเภองาว







Create Date : 03 กรกฎาคม 2553
Last Update : 3 กรกฎาคม 2553 14:56:00 น. 0 comments
Counter : 964 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

WishRich
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานครับ
Friends' blogs
[Add WishRich's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.