"ความสามัคคีปรองดอง เป็นกำลังอย่างสูงสุดของชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ความสามัคคีของคนในชาติ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค และทำให้สังคมไทย ร่มเย็นเป็นสุข" พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
สนใจลงโฆษณา ในพื้นที่ข้างบน ติดต่อ email : nana_sara1000@ymail.com
Home Lover’s Corner นานา สาระ๑๐๐๐ นานา สารพัด พระพุทธประวัติ ภาคพิเศษ
Travel Around the World Real Estate Buyer's Guide สุขภาพกาย สุขภาพใจ Pets & Animals
ปางพระพุทธรูปตามพุทธประวัติ Horoscope 12 ราศี พระพุทธศาสนา World of Beautiful Musics
พระพุทธรูปปาง : ทรงตรัสรู้ และ พระพุทธรูปปาง : ถวายเนตร


แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา
พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี

เมื่อพระยามารมากล่าวตู่ว่า "โพธิบัลลังก์" เป็นสมบัติของตนนั้น พระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า "โพธิบัลลังก์" บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ดังนั้น "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้…ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี…" แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม ซึ่งน้ำนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า "ทักษิโณทก" อันได้แก่น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา








ปฐมสมโพธิกล่าวว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร…หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร…พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"









ถ้าจะถอดความเป็นธรรมาธิษฐาน กล่าวคือ มารนั้น คือ กิเลสในใจคน เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสติปัญญาที่เป็นเครื่องรู้บาปบุญคุณโทษ กิเลสยินดีในการทำชั่วของคน เห็นใครทำดีจึงขัดขวาง พระมหาบุรุษก่อนที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ในพระทัยยังมีกิเลสอยู่ แต่เป็นกิเลสที่กำลังจะหลุดจากขั้วพระทัย กิเลสนี้ คือ ความห่วงใย คิดถึงความหลัง คิดถึงความสุขในราชสมบัติ และบ้านเมือง แต่ก็ทรงชนะกิเลสนี้ได้ด้วยบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา




บารมีนั้น คือ ความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดังเช่นแม่พระธรณีนี้





ทรงชนะมาร

เมื่อจะทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) มีพระยามารชื่อ วัสสวดี ทรงช้างคีรีเมขล์ ยกพลโยธามารมาผจญพระพุทธองค์ พระพุทธองค์มิได้ทรงหวั่นไหวพระทัย ทรงเสี่ยงพระบารมี 10 ทัศ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นเครื่องคุ้มครอง และอ้างพระธรณีเป็นพยานในการบำเพ็ญบารมีของพระองค์แต่อดีตกาลมา พระธรณีจึงสำแดงร่างเป็นนารีปรากฏขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ แล้วบีบมวยผมมีน้ำหลั่งไหลออกมาท่วมพื้นปฐพี ช้างคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์ ก็คุกเข่าลง เหล่ามารทั้งหลายต่างพากันหนีกระจัดกระจายไปยังทิศานุทิศไม่มีซ้ำ ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะและผ้าที่นุ่งห่ม หนีไปเฉพาะทิศทั้งหลายตรงหน้า พระยามารวัสสวดีกับหมู่โยธามารจึงพ่ายแพ้ ยอมนอบน้อมแก่พระพุทธเจ้า


เหล่ามารทั้งหลายต่างพากันหนีกระจัดกระจายไปยังทิศานุทิศ






ในลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลายเห็นมารและพลมารหนีไปแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว สิทธัตถะกุมารมีชัยชนะแล้ว พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด ดังนี้ พวกนาคก็ประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ พวกเทวดาก็ประกาศแก่พวกเทวดา พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม พวกวิชชาธรก็ประกาศแก่พวกวิชชาธร ในมือต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น มายังโพธิบัลลังก์ของพระมหาบุรุษ เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือ ต่างร่วมบูชาด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้เป็นต้น ได้ยืนกล่าวสดุดีประการต่างๆ ขณะเมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่ว่า พระมหาบุรุษทรงขจัดมารและพลมารได้แล้ว


เหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาล ต่างร่วมบูชาด้วยดอกไม้ของหอม กล่าวสดุดีพระมหาบุรุษ








การได้ชัยชนะต่อเหล่ามารก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ทำให้พระองค์ตั้งจิตมั่นเป็นสมาธิได้ลึกและแน่วแน่นับแต่บัดนั้น เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นการเบิกทางไปสู่การตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะในราตรีนั้น ซึ่งตรงกับวันวิสาขะปุรณมี ดิถีเพ็ญเดือน ๖ แห่งปีก่อนพุทธศก ๔๕ (และชาวพุทธเรายึดถือเอาวันนี้เป็นวันวิสาขะบูชา เพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึงวันคล้ายตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในทางศาสนาพิธี) ทรงพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา เรื่องนี้ถ้ากล่าวโดยธัมมาธิษฐาน (คือกล่าวตามสภาวะ) ก็มีความหมายว่า พระพุทธเจ้ามีชัยชนะแก่กิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง






พระพุทธรูปปาง : ทรงตรัสรู้

ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ทวยเทพต่างร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชา

เมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง ราตรีเริ่มย่างเข้ามา พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่งไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่าเข้าฌาน แล้วทรงบรรลุญาณ เป็นลำดับ

(ฌาน คือ วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ คือ ให้จิตแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่อย่างปุถุชนธรรมดา ส่วนญาณ คือ ปัญญาความรู้แจ้ง เปรียบให้เห็นความง่ายเข้าก็คือ แสงเทียนที่นิ่งไม่มีลมพัด คือ "ฌาน" แสงสว่างอันเกิดจากแสงเทียนเท่ากับปัญญา – ญาณ )










พระมหาบุรุษทรงบรรลุญาณที่หนึ่งในตอนปฐมยาม (ประมาณ ๓ ทุ่ม) ซึ่งเรียกว่า "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงอดีตชาติหนหลังทั้งของตนและคนอื่น พอถึงมัชฌิมยาม (ประมาณเที่ยงคืน) ทรงบรรลุญาณที่สอง ที่เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความจุติ คือ ดับและเกิดของสัตว์โลก ตลอดถึงความแตกต่างกันที่เรียกว่า "กรรม" พอถึงปัจฉิมยาม (หลังเที่ยงคืนล่วงแล้ว) ทรงบรรลุญาณที่สาม คือ "อาสวักขยญาณ" หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความสิ้นไปของกิเลส และอริยสัจ ๔ คือ ความทุกข์ เหตุเกิดของความทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์











ทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวง มิได้ทรงละว่า “เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน) แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”

การได้บรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้นเรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนี้ พระนามว่า สิทธัทถะก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ตอนก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี ได้กลายเป็นพระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไป ทรงมีพระนามใหม่ว่า "อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" แปลว่า พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง

เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง กวีจึงแต่งความเป็นปุคคลาธิษฐานเฉลิมพระเกียรติพระพุทธเจ้าว่า นำสัตว์ มนุษย์นิกร และทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ หายทุกข์ หายโศก สิ้นวิปโยคจากผองภัย สัตว์ทั้งหลายต่างมีเมตตาจิตต่อกันทุกถ้วนหน้า เว้นจากเวรานุเวร อาฆาตมาดร้ายแก่กัน ทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชา และกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า.









พระพุทธรูปปางนี้เหมือนปางสมาธิ แต่ต่างจากปางสมาธิเพชร







ทรงเสวยวิมุตติสุข

หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้พระศรีมหาโพธิ์ ทรงเสวยวิมุตติสุข (ความสุขเกิดแต่ความสิ้นอาสวะ) เป็นเวลา 7 วัน ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับและถอยกลับ ตลอดยาม 3 แห่งราตรี ทรงเปล่งอุทาน ยามละครั้ง ดังนี้



ปฐมยาม ทรงเปล่งอุทานว่า "เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้แจ้งธรรมว่าเกิดแต่เหตุ"

มัชฌิมยาม ทรงเปล่งอุทานว่า "เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย" (ว่าเป็นเหตุสิ้นแห่งผลทั้งหลายด้วย)

ปัจฉิมยาม ทรงเปล่งอุทานว่า "เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดความมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น"

จากนั้นเสด็จลงจากบัลลังก์ไปประทับทางทิศอีสานแห่งต้นศรีมหาโพธิ์







พระพุทธรูปปาง : ถวายเนตร

ทรงเสวยวิมุตติสุข ณ อนิมิสเจดีย์ ในสัปดาห์ที่สอง


เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ และประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ ณ ใต้ต้นมหาโพธิ์ ครบ 7 วันแล้ว ในสัปดาห์ที่ 2 จึงเสด็จลุกจากพุทธบัลลังก์ใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ทรงพระดำเนินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อได้ระยะพอควรกับการทอดพระเนตร ก็ทรงหันกลับมายืนพิจารณาต้นโพธิ์ที่ได้ตรัสรู้นั้น ทรงลืมพระเนตรโดยมิได้กระพริบเลยตลอดสัปดาห์ เพื่อทบทวนความทรงจำต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วโดยลำดับ ความหมุนเวียนผันแปรอันเกิดขึ้นตามอำนาจของสังขารจักรก็มาหยุดลงแค่นี้ ต้นมหาโพธิ์ต้นนี้เป็นที่ให้กำเนิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัจจธรรมอันบริสุทธิ์ สามารถชำระล้างกิเลสนานาชนิดของสัตว์โลกได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ ทรงพอพระทัยในการตรัสรู้นี้เป็นอย่างยิ่ง สถานที่นี้จึงเรียกว่า อนิมิสเจดีย์

การที่ทรงลืมพระเนตรเพ่งดูพระมหาโพธิ์พฤกษ์ โดยมิได้กระพริบพระเนตรเป็นเวลาเจ็ดวัน ตั้งแต่แรม 8 ค่ำเดือนวิสาขะ นั้นเรียกว่า “ทรงถวายเนตร”









พระพุทธรูปปางถวายเนตรทำเป็นพระรูปยืน พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานทับกันอยู่หน้าพระเพลา พระหัตถ์ขวาประกบทับพระหัตถ์ซ้าย ลืมพระเนตรทั้งสอง อยู่ในพระอาการสังวร พระพุทธรูปปางถวายเนตรนี้ นิยมสร้างเป็นพระพทธรูปที่สักการบูชาประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ และบูชาตามพิธีทักษา




Create Date : 10 มีนาคม 2552
Last Update : 10 มีนาคม 2552 18:37:19 น. 3 comments
Counter : 5346 Pageviews.

 
ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับข้อมูลที่มีสาระมากๆ เช่นนี้ครับ

ทำให้ผมรับรู้ในหลายๆเรื่องมากขึ้นครับ
ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาทั้งสิ้นครับ


ขอบคุณครับ


โดย: คมสัน บุญสา IP: 118.174.89.139 วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:11:12:35 น.  

 
ขอบคุณมากครับ


โดย: นัชท์ชา IP: 114.128.208.14 วันที่: 7 มีนาคม 2553 เวลา:1:20:27 น.  

 
อยากทราบว่าปางอะไรที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถชนะกิเลสได้ทั้งปวงคับ


โดย: นัดที IP: 159.192.223.180 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา:12:42:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

travelaround
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]





ยินดีต้อนรับทุกท่านที่แวะเข้ามาชม blog มีข้อคิดเห็น เชิญ comment มาได้นะครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ทันทีครับ แต่ถ้าไม่ทราบ ต้องขอเวลา จะค้นคว้ามาให้อ่านกัน ท่านที่จะถามคำถาม หรือติดต่อเรื่องบทความ ได้ทาง Email :- d_sign_place@yahoo.com ครับ


เรื่องต่างๆที่ผมได้เขียนหรือรวบรวม เรียบเรียงมานี้ ยินดีให้ทุกท่านได้อ่านเป็นวิทยาทานและเพื่อการศึกษา ถ้าจะนำไปโพสต่อใน website สาธารณะ หรือ website อื่นใดที่ไม่ใช่ทางพาณิชย์ กรุณาระบุที่มา คือ https://www.travelaround.bloggang.com และนามปากกาผู้เขียนคือ TraveLArounD ด้วย

แต่ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการนำไปใช้ ในเชิงพาณิชย์ หรือโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง จะถูกดำเนินคดี ตามกฏหมายลิขสิทธิ์

ส่วนบทความหรือภาพถ่ายใดๆ ที่ได้นำมาจาก website อื่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเรื่องนั้นๆ เป็นการถ่ายทอดจากวิจารณญาณแล้วว่า มีความถูกต้องเป็นจริง มากที่สุด และได้นำมาจาก website ที่เป็นสาธารณะ ถ้าเรื่องราวหรือภาพของท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้ ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของท่าน กรุณาแจ้งมาทาง email :– nana_sara1000@ymail.com ผมจะทำการลบข้อมูลหรือภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ออกทันที

Acknowledges that I try to write or report accurately but postings may contain fact , speculation or rumor. I find images from the Web that are believed to belong in the public domain. If any stories or images that appear on the site are in violation of copyright law, please email to :- nana_sara1000@ymail.com and I will remove the offending information as soon as possible.


Website counter
: Users Online









ที่ดินเชียงใหม่ ทางไปแม่ริม ใกล้ศาลากลาง และสนามกีฬา 700 ปี ติดน้ำปิง ในหมู่บ้านเพชรริมปิง พื้นที่ 667 ตารางวา @ 14,000.- บาท สภาพแวดล้อมดี สนใจติดต่อ โทร. 0859559950



DESIGN PLACE CO.,LTD. รับออกแบบ และตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัย ในแบบไทย และไทยร่วมสมัย



มรดก ฉบับที่ 1

มรดก ฉบับที่ 2

มรดก ฉบับที่ 3

มรดก ฉบับที่ 4

มรดก ฉบับที่ 5

มรดก ฉบับที่ 6

มรดก ฉบับที่ 7

ช่วยสนับสนุนการจัดทำ BLOG ด้วยการซื้อหนังสือ "มรดก" 1ชุด 7เล่ม (หนังสือเก่า) ในราคาชุดละ 700 บาท (รวมค่าส่งทางไปรษณีย์)

สนใจสั่งซื้อทาง E-mail :- nana_sara1000@ymail.com



New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add travelaround's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.