space
space
space
space

วิธีป้องกันโรคหัวใจวาย





หัวใจ



7 วิธีป้องกันโรคหัวใจวาย (Health Plus)

ไม่อยากหัวใจวายเพราะโรคหัวใจ อ่าน 7 เคล็ดลับต่อไปนี้ แล้วปฏิบัติตามเสียโดยดี

1.หากคุณสูบบุหรี่ ให้หยุดสูบซะ

          การสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดแดงแข็ง และมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น เพียงหนึ่งปีหลังเลิกบุหรี่ ความเสี่ยงดังกล่าวลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง ร่างกายกลับแข็งแรงเป็นปกติ

2.หากคุณกำลังอยู่ในช่วงวัยทองหรือหลังวัยทอง

          และไม่เคยรับการตรวจเช็กความดันโลหิต ควรไปพบแพทย์ให้ตรวจ ความดันโลหิตสูงจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น

3.กินอาหารที่มีประโยชน์

          ข่าวดีคือถั่วเหลืองไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการวัยทอง เช่น อาการร้อนวูบวาบ แต่มีหลักฐานยืนยันว่า ถั่วเหลืองช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลลดต่ำลง ถั่วเหลืองพบมากในเต้าหู้ นมถั่วเหลือง และแป้งถั่วเหลือง การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ

          ผลการวิจัยพบว่าวิตามินอีมีแอนตี้ออกซิแดนท์สูง หากทานในปริมาณมาก ๆ จะช่วยให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบลดลง วิตามินอีพบในถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ และเมล็ดพืช น้ำมันปลา อโวคาโด ข้าวกล้อง และน้ำมันพืช แหล่งแอนตี้ออกซิแดนท์อื่น ๆ พบในผักผลไม้หลากสี จึงควรทานมาก ๆ

          การมีกรดอะมิโนที่เรียกว่า โฮโมซีสเทอีน (homocysteine) ในระดับสูงมีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ ดังนั้นควรทำให้กรดอะมิโนดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำ จึงควรกินอาหารที่มีวิตามินบี6 บี12 และโฟเลต พบในผลไม้หลากหลายชนิด ผักใบเขียวและผลิตภัณฑ์จากเมล็ดข้าวที่เติมกรดโฟลิก

4.ต้องลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ให้ต่ำลง และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)

          เพื่อลด LDL ต้องงดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ซึ่งพบมากในเนย เนื้อสัตว์ เนยแข็งและครีม กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งพบในมาร์การีน เค้กและคุกกี้ เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ระดับ LDL เพิ่มขึ้น และHDL ลดลง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนพบในน้ำมันทานตะวัน ถั่วเปลือกแข็งบางชนิด และเมล็ดพืช ส่วนใหญ่จะช่วยทำให้ LDL ในเลือดลดลง เพื่อให้เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี รวมถึงกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ควรรับประทานน้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็ง และอโวคาโด

5.รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม

          การมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ยิ่งทำให้ความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูงขึ้น น้ำหนักตัวที่ลดลง 10% จะช่วยให้ความเสี่ยงดังกล่าวลดลงด้วย

6.ออกกำลังกายมาก ๆ

          ควรออกกำลังกายแต่พอเหมาะวันละ 30 นาที เช่น เดินเป็นประจำ การออกกำลังกายช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HLD ที่ช่วยปกป้องหัวใจและทำให้ความดันโลหิตลดลง

7.จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะทำให้ความดันโลหิตสูง แนะนำให้ดื่มไม่เกิน 14 ยูนิตต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พอประมาณ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร the American Journal of Clinical Nutrition เมื่อเร็ว ๆ นี้สรุปว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละ 1 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ของผู้หญิงหลังวัยทองได้ 4-5% และถ้าดื่มวันละ 2 แก้วจะช่วยลดความเสี่ยงได้ 10-13% เชื่อกันว่าแอลกอฮอล์ช่วยลดระดับโฮโมซีสเทอีน







 

Create Date : 14 มิถุนายน 2556   
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 8:53:19 น.   
Counter : 5352 Pageviews.  
space
space
สารพัดโรคที่สิงห์อมควันต้องเผชิญ

สูบบุหรี่

สารพัดโรคที่สิงห์อมควันต้องเผชิญ (e-magazine)

ในแต่ละปี คนไทยเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ปีละ 52,000 คน วันละ 142 คน หรือชั่วโมงละ 6 คน ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิต ด้วยโรคอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ปีละ 5,000,000 คน หรือวันละ 13,000 คน ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกได้คำนวณไว้ว่า ในอีกประมาณ 25 ปีข้างหน้า ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคที่มาจากการสูบบุหรี่สูงขึ้นเป็นปีละ 10 ล้านคน นับเป็นวันละ 27,000 คน หรือนาทีละ 20 คน และโรคที่เราจะกล่าวถึงกันในวันนี้จะเป็นโรคร้ายที่สิงห์อมควันอาจต้องพบปะ

โรคถุงลมโป่งพอง

          โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่เนื้อปอดค่อย ๆ เสื่อมสมรรถภาพจากการได้รับควันบุหรี่ ตามปกติแล้วพื้นที่ในปอดจะมีถุงลมเล็ก ๆ กระจายอยู่เต็มทั่วปอด เพื่อทำหน้าที่รับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย สารไนโตรเจนไดออกไซด์ในควันบุหรี่จะทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมให้ฉีกขาดทีละน้อย จนรวมกันกลายเป็นถุงลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เกิดโรคถุงลมโป่งพอง

          สำหรับโรคถุงลมโป่งพองในระยะท้าย ๆ ของโรคจะทำให้ผู้ป่วยทรมานมาก เนื่องจากจะรู้สึกเหนื่อยจนไม่สามารถทำอะไรได้ จากรายงานการศึกษาพบว่า ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่อาการอยู่ในระยะสุดท้ายจะตายภายใน 10 ปี โดยมีอาการเหนื่อยหอบตลอดเวลาจนกว่าจะเสียชีวิต

โรคหลอดเลือดหัวใจ

          การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจที่สามารถป้องกันได้ เมื่อเทียบกับสาเหตุของโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งล้วนเกิดจากกรรมพันธุ์ และการกินดีอยู่ดีเกินไปตามกระแสสังคม ขณะนี้โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ใน 3 อันดับแรกของคนไทย

โดยส่วนใหญ่ การสูบบุหรี่ถือเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ ได้แก่ นิโคติน ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และสารก่ออนุมูลอิสระ เป็นตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด และเกิดก้อนเลือดในหลอดเลือดหัวใจ รูหลอดเลือดหัวใจจึงตีบลง ทำให้เลือดผ่านได้น้อยจนเป็นอุปสรรคต่อการนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ และเกิดภาวะหัวใจหลอดเลือดตีบตัน จนหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ทำให้เกิดอาการจุกเสียด เจ็บหน้าอก จนถึงขั้นทำให้หัวใจวาย หรือเสียชีวิตเฉียบพลัน

โรคมะเร็งปอด

          การเกิดโรคมะเร็งปอดระยะแรกจะไม่มีอาการ เมื่อมีอาการแสดงว่าโรคเป็นมากแล้ว โดยอาการที่พบคือ ไอเรื้อรัง ไอเสมหะมีเลือดปน น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีไข้เล็กน้อย เจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นอาการร่วมของโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด จึงมักทำให้ผู้ป่วยมาหาแพทย์ช้าและการวินิจฉัยโรคล่าช้า

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดในระยะที่เป็นมากแล้วจะมีอาการไอเป็นเลือด น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ปวดกระดูกซี่โครงและไหปลาร้า หรือสะบัก อาจมีอาการหอบเหนื่อย บวมบริเวณหน้า คอ แขน และอกส่วนบน กลืนอาหารลำบาก ไม่สามารถกลั้นอุจจาระและปัสสาวะได้ โดยเฉลี่ยผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้หลังจากเริ่มมีอาการประมาณ 6 เดือน หรือร้อยละ 80 จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี และแม้ว่าจะให้การรักษาอย่างดี ก็จะมีอัตราการรอดชีวิตเพียงร้อยละ 2–5 เท่านั้น

          ร้อยละ 90 ของโรคมะเร็งปอด มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ ในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งปอดนั้นมีประมาณร้อยละ 30 เป็นผลจากการที่ได้รับควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบ

สารพิษในควันบุหรี่

          ในบุหรี่ 1 มวนประกอบด้วย ใบยาสูบ กระดาษที่ใช้มวน และสารเคมีหลายร้อยชนิดที่ใช้ในการปรุงแต่งกลิ่นและรส ถ้าเกิดการเผาไหม้จะทำให้มีสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด สารหลายร้อยชนิดมีผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และสาร 60 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง สารพิษที่สำคัญได้แก่

นิโคติน มีลักษณะคล้ายน้ำมันไม่มีสี เป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติดและทำให้เกิดโรคหัวใจ

ทาร์ ประกอบด้วยสารหลายชนิด เป็นละอองเหลวเหนียว สีน้ำตาลคล้ายน้ำมันดิน สารก่อมะเร็งส่วนใหญ่จะอยู่ในสารทาร์นี้

คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นก๊าซชนิดเดียวที่พ่นออกจากท่อไอเสียรถยนต์ ก๊าซนี้จะขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผู้สูบบุหรี่ได้รับออกซิเจนน้อยลง ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ถึง 15 หัวใจต้องเต้นเร็วขึ้นและทำงานมากขึ้น ทำให้หัวใจวายได้

การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคต่าง ๆ ถึง 25 โรค และทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้สุขภาพดีขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตของผู้สูบบุหรี่ลงได้ โดยมีรายงานว่า ผู้สูบบุหรี่ที่เลิกสูบบุหรี่ก่อนอายุ 30 ปี จะลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดได้เกือบทั้งหมด ในขณะที่ถ้าเลิกสูบบุหรี่ก่อนอายุ 50 ปี จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ครึ่งหนึ่ง
                        ขอบคุณ  e-magazine.info




 

Create Date : 02 เมษายน 2556   
Last Update : 2 เมษายน 2556 11:42:30 น.   
Counter : 1909 Pageviews.  
space
space
สังกะสีแก้ปัญหาผมร่วง




 

Create Date : 20 มีนาคม 2556   
Last Update : 20 มีนาคม 2556 7:15:15 น.   
Counter : 2199 Pageviews.  
space
space
กิน‘ฟาสต์ฟู้ด’ทำลายตับ

แม้เป็นที่ทราบกันมานานว่าอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดนั้นส่งผลเสียสุขภาพร่างกายได้หลายประการ ล่าสุดมีผลการศึกษาที่ทำให้เห็นอันตรายของอาหารฟาสต์ฟู้ดเพิ่มขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ จากการเปิดเผยผ่านรายการโทรทัศน์ “The Doctors” ที่ออกอากาศในหลายประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก และอื่นๆของ ดร.ดรูว์ ออร์ดอน ระบุว่า มีผลการศึกษาใหม่แสดงให้เห็นว่าการบริโภคอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อรูปร่างทำให้หุ่นตุ้ยนุ้ยไม่งามเท่านั้น ยังสามารถทำลายตับได้คล้ายโรคไวรัสตับอักเสบ โดยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเอนไซม์ต่างๆในตับคล้ายโรคดังกล่าว สุดท้ายจะทำให้ตับล้มเหลว

การศึกษายังพบด้วยว่า แม้มีการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเพียง 1 เดือน ก็สามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตับอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ เฟรนช์ฟรายถือว่าอันตราย เพราะมีการเติมสารปรุงแต่งเป็นจำนวนมาก โดยมีการเติมเกลือและต้องปรุงในไขมัน นอกจากนี้ยังมีน้ำตาล โดยการใส่น้ำตาลลงไปเพื่อให้เฟรนช์ฟรายเป็นสีออกเหลืองน่ารับประทาน นอกเหนือจากนี้ยังมีอาหารทอดอื่นๆที่ส่งผลเสียต่อตับ เช่น ไก่ทอด หัวหอมทอด ซึ่งมีไขมันและไขมันอิ่มตัวมากทำให้เกิดเงื่อนไขที่เรียกว่าโรคกรดไขมันพอกตับ

ดร.ออร์ดอนกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้บริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเพิ่มจำนวนมากขึ้นเช่นเดียวกับผู้ขาย โดยเฉพาะในสหรัฐมีภัตตาคารอาหารฟาสต์ฟู้ดมากถึง 160,000 แห่ง ขายให้ลูกค้าราว 50 ล้านคนต่อวัน แม้แต่เมนูสุขภาพที่นำเสนอในร้านฟาสต์ฟู้ดยังเต็มไปด้วยสารเคมีหลายอย่าง




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2556   
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2556 18:02:18 น.   
Counter : 1462 Pageviews.  
space
space
งดเหล้าลดมะเร็งตับ หยุดเสี่ยงโรคยอดฮิต
งดเหล้าลดมะเร็งตับ หยุดเสี่ยงโรคยอดฮิต


หลังจากผ่านพ้นปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่สากลไปได้ไม่นาน ก็จะเข้าสู่วันสงกรานต์หรือ ปีใหม่ไทยในอีกไม่กี่เดือน สิ่งหนึ่งที่มักพบเห็นอยู่เป็นประจำในงานเลี้ยง คือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หากดื่มมากก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลนนทเวช

อยากชวนนักดื่มทั้งหลายให้ลด ละ เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล จากสถิติกระทรวงสาธารณสุขปี 2553 พบว่า "มะเร็งตับ" ยังครองแชมป์โรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยมีชายไทยป่วยเพิ่มขึ้น 1 คน ทุก 1 ชั่วโมง ส่วนหญิงไทยป่วย 1 คน ทุก 1 ชั่วโมง เฉลี่ยพบผู้ป่วยวันละกว่า 30 คน และผู้ป่วย ส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ ซึ่งมักจะเป็นในระยะที่ 3 หรือ 4 คือ ระยะสุดท้าย ทำให้โอกาสในการรักษาให้หายขาดมีน้อยลง

มะเร็งตับอาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตับ และอีกชนิดคือมะเร็งของเซลล์ทางเดินน้ำดี ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตับ เพราะเป็นมะเร็งตับที่พบมากได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนมะเร็งทางเดินน้ำดีจะพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ส่วนใหญ่อาจ มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บใต้ชายโครงด้านขวา หากรุนแรงมากขึ้นอาจมีอาการแน่นท้อง น้ำหนักลด หรืออาจมีตับโตจนคลำพบได้


สำหรับการรักษามะเร็งตับนั้น มีวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.การผ่าตัด เมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก และยังไม่ลุกลามไปยังตับส่วนที่เหลืออยู่ เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็งร่วมด้วย มักมีตับส่วนที่ทำงานเหลืออยู่ไม่เพียงพอหลังการผ่าตัด

2.การฉีดยาเคมีเพื่ออุดกั้นหลอดเลือดที่เลี้ยงมะเร็งตับ เป็นการรักษาโดยการใส่สายขนาดเล็กทางหลอดเลือดแดง (บริเวณขาหนีบ) และฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปอุดกั้นเส้นเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็งในตับเพื่อให้เซลล์มะเร็งตาย

3.การใช้คลื่นความร้อนทำลายมะเร็งตับ เป็นการทำลายก้อนมะเร็งด้วยการสอดเข็มขนาดเล็ก ผ่านผิวหนังหน้าท้อง โดยอาศัยเครื่องอัลตราซาวด์หรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่วยนำทางเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง และปล่อยกระแสไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนเพื่อไปทำลายก้อนมะเร็ง ซึ่งผลการรักษาจะขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็งด้วย

4.การฉีดสาร Absolute Alcohol โดยการสอดเข็มขนาดเล็กผ่านผิวหนังเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง แล้วฉีดสารเข้าไปทำลายก้อนมะเร็งโดยตรง 5.การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับ เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนตับที่มีก้อนมะเร็งออกไป 6.การรักษาด้วยวิธี Targeted Therapy เป็นการรักษาโดยใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งจะออกฤทธิ์ทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง ซึ่งปัจจุบันจะใช้กับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามแล้วเพื่อช่วยยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งตับ


หากลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ได้ย่อมเป็นเรื่องดี ที่สำคัญนอกจากจะห่างไกลจากมะเร็งตับแล้ว ยังปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อีกด้วย




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2556   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2556 9:05:14 น.   
Counter : 1446 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

tanas251235
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]






space
space
[Add tanas251235's blog to your web]
space
space
space
space
space