|
|
เมื่อเกิดอาการ...เสียวฟัน และ คอฟันสึก |
|
ท่านมีอาการอย่างนี้บ้างหรือไม่.... เสียวฟันมากเวลา...ดื่มน้ำเย็น... เสียวฟันมากเวลา...กินขนมหวาน ถ้าทั้งเย็นและหวานด้วย เลิกเลย อย่ามาชวนทางไอศกรีมเชียวล่ะ ขยาดจริงๆ อาการเสียวฟันไม่ใช่อาการเจ็บฟัน...แต่เป็นแล้ว เราๆ ท่านๆ จะเข็ดเขี้ยวกับมันจริงๆ
เสียวฟันเกิดจากอะไร? หากฟันไม่ผุ...ที่พบบ่อยๆ และเป็นกันมากคือ คอฟันสึก ส่วนใหญ่ฟันจะสึกบริเวณคอฟันตรงขอบเหงือก และมักเป็นร่วมกับการมีเหงือกร่น
คอฟันสึกจนถึงชั้นเนื้อฟัน จะเสียวฟันมากเมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง (ของเย็นหรือร้อน) ของหวาน หรือการแปรงฟัน
คอฟันสึกเกิดจากอะไร?
* ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น ดื่มน้ำมะนาวเป็นประจำ น้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้เกิดการละลายตัวของเนื้อฟันวันละเล็กวันละน้อย เริ่มจากเป็นรอยขีดตื้นๆ จนเป็นรอยลึกใหญ่ คล้ายต้นไม้ที่ถูกบาก เมื่อรอยสึกลึกมากก็เสียวฟันมาก
* แปรงฟันผิดวิธี ใช้ขนแปรงแข็งเกินไป
คอฟันสึกที่เกิดจากการเสียดสี เกิดได้ง่ายถ้าใช้แปรงขนแข็งมาก และแปรงผิดวิธี ปกติฟันเป็นซี่ๆ อยู่ติดกัน แนวที่จะเอาอาหารออกคือแนวที่ไปตามซี่ฟัน เพราะฉะนั้นเวลาแปรงก็ปัดไปตามซี่ฟัน
o ฟันบนปัดลงล่าง o ฟันล่างปัดขึ้นบน
แต่วิธีการแปรงแบบนี้ บางท่านบอกมันไม่ถนัด ยาก ก็เลยเอาความสะดวกเป็นที่ตั้ง แปรงเข้าแปรงออกไปตามคอฟัน ถ้าอย่างนี้ฟันก็กร่อน สึกเร็ว
* ใช้ ยาสีฟันที่มีผงขัดมาก ผงขัดฟันที่ผสมในยาสีฟันเพื่อใช้ขจัดคราบบางอย่าง ถ้าเป็นผงขัดที่มีลักษณะหยาบมากๆ แล้วใช้ประจำ คราบที่ติดตัวฟันอาจจะออกง่าย แต่ก็ทำให้คอฟันสึกได้ง่ายเช่นกัน
ถ้ามีคอฟันสึกจะแก้ไขอย่างไร?
ถ้าสึกไม่มาก จะลดอาการเสียวฟันโดยใช้ฟลูออไรด์ที่มีความเข้มข้นสูงทาบริเวณนั้น แต่ถ้าสึกมาก ทันตแพทย์ก็จะอุดบริเวณคอฟัน โดยใช้สารที่เรียกว่า Composite Resin หรือ Glass ionomer
อาการเสียวฟันมีสาเหตุจากคอฟันสึกเป็นส่วนใหญ่ เป็นทีไรก็สร้างความกังวลในการเลือกรับประทานอาหารมากทีเดียว และส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะเราทำให้เกิด หากเราสามารถลดอาหารที่มีกรดมาก ไม่รับประทานเป็นประจำ หรือแปรงฟันให้ถูกวิธี ไม่ใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งเกินไป เลือกยาสีฟันที่มีผงขัดฟันละเอียด ก็มีโอกาสที่จะช่วยป้องกัน หรือลดอาการคอฟันสึกได้มากทีเดียว
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
Create Date : 07 ตุลาคม 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 5:28:21 น. |
| |
Counter : 2426 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
ทานเจอย่างไรให้ได้สุขภาพที่ดี |
|
เทศกาลกินเจ เป็นเทศกาลซึ่งชาวจีนถือปฏิบัติสืบต่อเป็นประเพณีกันมาช้านาน โดยเทศกาลกินเจจะเริ่มตั้งแต่ 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทย และในปีนี้เทศกาลกินเจจะตรงกับวันที่ 29 กันยายน - 7 ตุลาคม 2551 ในปัจจุบัน คุณสาวๆ ได้หันมารับประทานเจในช่วงเทศการกินเจกันมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป บางคนทานเพื่อสุขภาพ บางคนทานเพื่อละเว้นการทำกรรม ละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งหลักสำคัญในการกินเจก็คือ การ งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ เครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ เลือกกินเฉพาะพืช ผัก ผลไมั ทานเจอย่างไรให้ได้สุขภาพที่ดี
1. ต้องทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเราสามารถทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ด้วยโปรตีนจากถั่ว 2. ทาน ผักให้เยอะกว่าปกติเพราะกากใยจากพืชผักจะช่วยให้ระบบย่อยและระบบขับถ่ายทำ งานได้ดีขึ้น ช่วงเวลากินเจเป็นช่วงเวลาที่ดีเหมาะสำหรับขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย 3. ทานอาหารเจจากร้านอาหารที่ปรุงสะอาด สดใหม่ 4. เมื่อ รับประทานเป็นประจำจะทำให้ร่างกายปรับตัวอยู่ในสภาวะสมดุล ช่วยในการหมุนเวียนโลหิตและช่วยให้ระบบทางเดินอาหารมีเสถียรภาพมากขึ้น
รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะรับประทานเจให้ถูกวิธี ไม่ใช่ทานตามกระแฟชั่น หรือใช่ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสในการลดน้ำหนัก เพื่อที่คุณจะได้มีสุขภาพที่ดีและอิ่มบุญกันถ้วนหน้าต้อนรับเทศกาลกินเจในปี นี้
Create Date : 06 ตุลาคม 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 5:30:52 น. |
| |
Counter : 1322 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
เคล็ดลับดูแลร่างกาย... เมื่อเลข 5(0) มาเยือน |
|
มนุษย์เราหลีกหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปไม่พ้น เมื่อย่างเข้าสู่วัยเลข 5 เมื่อนั้นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอันไม่พึงปรารถนาก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกายแก่ จิตก็แก่ขึ้นตามไปด้วย แต่เป็น แก่-กล้า มิใช่ แก่ชรา เหมือนสังขาร บางคนอายุ 70 แต่หัวใจหยุดไว้ที่ 50 ดูกระชุ่มกระชวยรุ่มรวยอารมณ์ขัน สุขภาพจึงแข็งแรงพอที่จะหาความสำราญให้ชีวิตได้อยู่ ตรงกันข้ามบางคนเลขอายุยิ่งมาก ใจยิ่งห่อเหี่ยวขึ้นทุกวัน อย่างนี้เห็นทีจะอยู่ไม่ยึด อันนี้ไม่ได้แช่งแต่อยากแนะนำว่า มาใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุขจนหยดสุดท้ายกันดีกว่า
กายภาพเปลี่ยนไปตามวัย
อายุ 40 ความเปลี่ยนแปลงเริ่มมาเยือนเป็นการชิมลาง โดยเฉพาะลายเส้นบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้นและดูจะถาวรเพราะเริ่มลึกลบออกยาก ผิวแห้ง ผมเริ่มมีสีเทาแซมและเส้นเล็กลง บางลงด้วย
อายุ 50 ผิวหนังเริ่มลดความยืดหยุ่นดึ๋งดั๋งลง กลายเป็นว่ายืดแล้วไม่ค่อยคืนรูป บางคนจะมีจุดด่างสีน้ำตาลปละปลายบนผิวหนังทั่วไป เป็นสัญลักษณ์ที่หลอกตัวเองยากว่าขณะนี้เรานั้นเข้าสู่วัยตกกระหรือวัย ทองอย่างแท้จริง กล้ามเนื้อยืดหยุ่นน้อยลงเช่นกัน กระดูกเริ่มบางลง เรียกได้เต็มปากว่าเข้าสู่วัยเมโนพอส สำหรับผู้หญิง และแอนโดรพอสสำหรับผู้ชาย
อายุ 70 ระบบประสาทสัมผัสการรับรู้ส่วนต่างๆ เริ่มเชื่องช้า ทั้งสายตา การรับฟัง การคิด การเคลื่อนไหว ตลอดจนการรับรสของลิ้นก็ไม่ดีเหมือนเดิม จนอาจทำให้ไม่เจริญอาหาร การย่อยอาหารก็ช้าลง เส้นเลือดแข็งขึ้น คนช่วงวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจก็เริ่มไม่ดีเหมือนเดิมด้วย
อายุ 80 การทำงานของระบบปัสสาวะจะควบคุมได้ลำบากขึ้น ความจำต่างๆ ไม่ดีเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ แต่ไม่ว่าอายุจะผ่านไปเท่าใดคนเราก็ควรจะดูแลตัวเอง หรือญาติผู้ใหญ่อย่างดีเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีสุขที่สุดตามวัย เรามีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ที่คุณอาจลืมนึกถึง มาฝากกัน...
* ผิวพรรณ ทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผิวแห้งชุ่มชื่นขึ้น ปกป้องผิวจากปัญหาต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง เช่น ผิวแห้งอักเสบ ตกสะเก็ด คัน แล้วเผลอเกาเป็นแผล * หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงกลางวัน * หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีต่างๆ เช่น ผงซักฟอก ถ้าจำเป็นให้ใส่ถุงมือยางเสมอ
ผม * ใช้แชมพูอ่อนๆ สระผมทุก 3-4 วัน ใช้ครีมนวดผมเท่าที่จำเป็น * ใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุ่นสระผมเท่านั้น เพราะน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นเกินไปจะทำให้รากผมหลุดร่วง * ถ้าไม่ชอบผมขาว การย้อมสีผมอาจช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้บ้าง
ตา * เมื่อรู้สึกว่าตามีปัญหาควรรีบไปตรวจเช็คสายตากับจักษุแพทย์ รวมทั้งอย่าลืมตรวจวัดสายตาเป็นระยะ ควรเปลี่ยนแว่นสายตาให้พอดีเสมอ * พบจักษุแพทย์ทุก 2-3 ปี เพื่อตรวจเช็คกระจกตาและความดันโลหิตในตา * จัดแสงในบ้านให้สว่างพอเพียง
หู * หลีกเลี่ยงเสียงดัง * พบแพทย์เมื่อหูหรือการรับฟังมีปัญหา และควรยอมรับการใช้อุปกรณ์ช่วยฟังหากจำเป็น
เซ็กซ์ * มนุษย์ เราสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดอายุขัยไม่ว่าจะอายุเท่าไรตราบที่ยังมีความ ปรารถนา แต่ต้องระวังหากมีโรคประจำตัว เช่นโรคหัวใจ โรคติดเชื้อ หอบหืด เป็นต้น * สำหรับฝ่ายหญิงหลังวัยเมโนพอสอาจใช้สารหล่อลื่นช่วยได้
ระบบขับถ่าย * ควรพบแพทย์เมื่อคุณมีปัญหาการขับปัสสาวะ เพราะปัญหาบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการรักษา * การ ใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ อาจมีความจำเป็นในบางรายที่ไม่สามารถควบคุมระบบขับถ่ายได้ ซึ่งน่าจะทำให้สะดวกสบาย ไปไหนมาไหนได้อย่างไม่ต้องกังวล
กล้ามเนื้อและหัวใจ * ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนออกกำลังกาย ว่ามีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง * เลือกบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่เหมาะสมกับวัยสูงอายุ เช่น บริหารแขน ขา ด้วยการแกว่งไปมา หรือยกขึ้นลง * เลือกการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป เพื่อให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหว ปอด และหัวใจ ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น * การเดิน ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ * เมื่อ เริ่มต้นออกกำลังกาย ให้เริ่มต้นเบาๆ อย่าหักโหม แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดในวันต่อไป ควรออกกำลังกาย 3-5 วันต่อสัปดาห์ วันละ 15-60 นาที ต่อครั้ง * หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อออกกำลังกาย เช่น หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ฯลฯ ควรพบแพทย์
ข้อต่อต่างๆ * รักษาข้อต่อต่างๆ ด้วยการบริหารสม่ำเสมอ หมุนคอ ข้อไหล่ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า เอว - ยืดข้อศอก และเข่า - บิดหมุนลำตัวไปมา - ถ้ายัง sit ups ได้ก็ควรทำ - แกว่งขาหน้า-หลัง - บริหารนิ้วบ่อยๆ อาจจะด้วย การเล่นดนตรี พิมพ์คอมพิวเตอร์ หรือทำงานอดิเรกอื่นๆ ที่ใช้นิ้วมากๆ * เล่นโยคะ ไทชี่ จะทำให้ข้อต่อต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้น และทำให้การหายใจ และเลือดลมในร่างกายหมุนเวียนดี มีความสมดุลมากขึ้น * รักษา มือและเท้าด้วยการใส่ support หรือถุงเท้า ถุงมือในยามนอนตอนกลางคืน เพื่อป้องกันความเย็นทำให้กล้ามเนื้อยึดเกร็งจนเป็นตะคริวได้
กระดูก * ใน ผู้หญิงมักจะพบปัญหากระดูกบางลงในคนที่อายุ 60 ปีไปแล้ว ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและเสริมด้วยผลิตภัณฑ์แคลเซียม อื่นๆ * ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัยทองเมื่อเข้าสู่วัยเมโนพอส เพราะอาจจำเป็นต้องได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน
ฟัน * แปรงฟันให้สะอาดทั้งเช้าและก่อนนอน เลือกยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง * ใน ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน คนที่ฟันเหลือน้อยควรใส่ฟันปลอมเพื่อช่วยในการเคี้ยว และควรพบทันตแพทย์ปรับเปลี่ยนฟันปลอมเมื่อรู้สึกว่ามีปัญหา เช่นไม่แน่นพอดี หรือใส่แล้วเจ็บ เป็นต้น * พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจสุขภาพเหงือกและฟัน
ข้อ ปฏิบัติง่ายๆ เหล่านี้ จริงๆ แล้วล้วนเป็นกิจวัตร ของเราๆ ที่พึงใส่ใจอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยผู้ใหญ่สูงอายุ แต่อาจจะลืมนึกถึงไปบ้างด้วยความเคยชิน จากนี้ไปอย่าลืมเติมความใส่ใจตัวเองมากขึ้นอีกนิดนะคะ
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
Create Date : 04 ตุลาคม 2551 | | |
|
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 5:43:19 น. |
| |
Counter : 1344 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
ใช้ยาระบายติดต่อกันนานๆ จะเป็นอันตรายไหม? |
|
โครงการ ล้านคำถามเรื่องยา ปรึกษาเภสัชกร โดยความร่วมมือของสภาเภสัชกรรม กับ อย.
ยาระบายในที่นี้คงหมายถึง ยาเม็ดเคลือบสีเหลือง และยาอื่นที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ซึ่งเป็นยาที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีการใช้กันเป็นประจำเมื่อต้องการถ่ายอุจจาระ
เมื่อมีการใช้ยานี้เป็นประจำ ร่างกายจะมีการปรับตัวด้วยการดื้อยาหรือต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นๆ เรื่อยๆ จึงจะได้ผล เช่น ในกรณีที่เริ่มต้นใช้ยาระบายชนิดนี้โดยทั่วไปจะใช้ครั้งละ 1-2 เม็ด ก่อนนอน แล้วยาจะเริ่มออกฤทธิ์ช่วยให้ถ่ายอุจจาระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อมีการใช้เป็นประจำ ติดต่อกันนานๆ จากครั้งละ 2 เม็ด ก็ต้องเพิ่มเป็น 3, 4, 5,
และเพิ่มมากขึ้นๆ ตามความถี่และระยะเวลาที่ใช้ยา จากประสบการณ์ของผมเคยพบรายหนึ่งที่ใช้ยาระบายครั้งละ 20 เม็ดเพื่อใช้ระบายหรือถ่ายอุจจาระ 1 ครั้ง เพราะถ้าไม่ใช้ยา ร่างกายจะไม่ถ่ายอุจจาระด้วยตนเองตามปกติ จะต้องใช้ยาระบายกระตุ้นทุกครั้งจึงจะถ่ายอุจจาระได้
ปัญหาหลักๆ ของผู้ใช้ยากลุ่มนี้ คือ มักมีความเชื่อว่า ควรถ่ายอุจจาระทุกวันเป็นประจำ เพราะว่าถ้าไม่ได้ถ่ายทุกวันตอนเช้า จะรู้สึกผิดปกติ หรือในบางคนบ่นว่ารู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ และผายลมบ่อย ด้วยเหตุนี้จึงมีการกินยาระบายอย่างประจำทุกวันก่อนนอน แต่ในทางการแพทย์พบว่า ความถี่บ่อยของการถ่ายอุจจาระขึ้นอยู่กับลักษณะจำเพาะของแต่ละบุคคล ในบางคนอาจถ่ายอุจจาระทุกวัน แต่ในบางคนวันเว้นวัน หรือวันเว้นสองวัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละคน ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องถ่ายทุกวันเหมือนกันหมด นอกจากนี้การถ่ายอุจจาระยังขึ้นอยู่กับลักษณะของอาหารการกิน ปริมาณน้ำที่ดื่ม และการออกกำลังกายอีกด้วย
อาหารที่มีเส้นใยไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร จะเหลือเป็นกากอาหารและยังคงช่วยดูดซับน้ำในลำไส้ใหญ่ไว้ เป็นการช่วยเพิ่มปริมาณและเพิ่มความเหลวของอุจจาระได้ดีอีกด้วย
ถ้าดื่มมากๆ (มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน) ช่วยให้อุจจาระอุ้มน้ำ พองตัว เหลว ไม่แข็ง และถ่ายได้ง่าย ส่วนเรื่องการออกกำลังกายนั้น การเคลื่อนไหวเบาๆ ตอนเช้า เช่น การเดิน ก็ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้ขับถ่ายอุจจาระออกมาได้ง่ายอีกทาง หนึ่งด้วย
การใช้ยาระบายบางชนิดเป็นประจำ อาจทำให้เกิดการดื้อยา และต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายเคยชินไม่ยอมถ่ายอุจจาระด้วยตนเอง และไม่ควรยึดถือความเชื่อที่ว่า ทุกคนควรถ่ายอุจจาระทุกวัน
ภก.วิรัตน์ ทองรอด ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
Create Date : 03 ตุลาคม 2551 | | |
|
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 4:44:58 น. |
| |
Counter : 3011 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|