Goal! England! - We Are Scientists ไม่ใช่แค่ความเป็นเมกันที่อยากดั้นด้นเป็นอังกฤษทางด้านดนตรีเท่านั้น We Are Scientists ยังพิศวาสอังกฤษถึงขึ้นแต่งเพลงเชียร์ขึ้นมาให้ด้วย เพลงนี้วงแต่งเป็นพิเศษและเล่นออกอากาศที่ BBC Radio 1 รายการคุณZane Lowe ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา วงยังทำเพลงได้ขำแหลกกว่าเพลงอื่นๆ ทั้งมวล และเผลอๆ ดูดีกว่าทุกเพลงจาก Barbara อัลบั้มใหม่ล่าสุดของตัวเองด้วยซ้ำ ร้องเชียร์หมู (Wayne Rooney) ซะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าถ้าหมูเขาโชว์ฟอร์มอัดประตูแหลกในนัดที่สหรัฐอเมริกาจะเจอกับอังกฤษนัดแรกของทั้งคู่ วงจะว่ายังไง
World At Your Feet - Embrace ถ้ายังจำกันได้กับเพลงอย่างเป็นทางการของทีมชาติอังกฤษตอนฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว บ่งบอกทั้งความเป็นดนตรีสไตล์นุ่มละมุนเยี่ยงอังกฤษ และส่อนัยถึงความเป็นตัวตนทางฟุตบอลของทีมชาติพวกเขาเองด้วย ส่วนใครแทบความจำเลอะเลือนแล้วว่า Embrace คือใคร หรือสงสัยว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยเหรอ อัลบั้มใหม่ต่อจาก This New Day เมื่อครั้งบอลโลกครั้งที่แล้วของวงแว่วว่าจะออกมาภายในปีนี้แล้วล่ะ
Vindaloo – Fat Les ดังเพลงเดียวจอดของ Fat Les ก็นี่แหละ เพลงเมื่อบอลโลก ’98 ซึ่งแต่งโดย Alex James สนุกสนาน ฮึกเหิม ล้อเลียนเพลงเชียร์ของแฟนบอล (nah nah nahๆๆ) และได้บรรยากาศบอลอังกฤษของแท้ ไม่ต้องพูดถึงความก๊ากของเอ็มวีที่มี Richard Ashcroft (ตัวปลอม) เวอร์ชั่นเสื่อม ซึ่งทำเอาถนนอันเงียบเหงาซึ่ง Ashcroft (ตัวจริง) เคยเดินใน Bitter Sweet Symphony เกลื่อนกลาดไปด้วยพวกบ้าบอวายป่วงเต็มไปหมด
Come On England - The Roars นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่า The Roars มันคือผู้ใด แต่เพลงเขาก็น่าฟังดีเหมือนกัน
World In Motion - New Order โอเค ตัดจอห์น บาร์นสออกไป เพลงนี้ก็คือหนึ่งในงานสุดยอดของ New Order อยู่ดี World In Motion เคยทำออกมาในเวอร์ชั่นของ England New Order ให้เป็นเพลงประจำ บอลโลก ’90 ของทีมชาติอังกฤษที่มีจอห์น บาร์นสมาร่วมแร็ปด้วย เพลงถูกนำมาใช้หากินหลายครั้งในเกือบทุกช่วงบอลโลก จึงมีหลายเวอร์ชั่นที่รีมิกซ์อะไรนิดๆ หน่อยๆ ใส่เข้าไปใหม่ แถมครั้งนึงเอฟเอได้เคยขัดขวางไม่ให้เบคแคมมาแร็ปในเพลงเวอร์ชั่นใหม่ เราเลยไม่มีโอกาสรู้ว่าเบคแคมจะทำได้ห่วยน้อยว่าจอห์น บาร์นส หรือจะยิ่งทำให้เพลงนี้ห่วยมากขึ้นกันแน่
Back Home - England 1970 World Cup Squad นักบอลมาร้องเพลง เพลงนี้เคยโด่งดังเมื่อครั้งบอลโลกปี ’70 โน่นที่นักบอลชาติอังกฤษทั้งทีมพากันมาแหกปากร้องกันเพื่อชาติ และตัวเพลงเองก็พลุแตกใช่เล่น ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในสมัยนั้นไปหลายอาทิตย์ สวนทางกับผลงานที่พวกเขาเองต้องพ่ายให้กับเยอรมันตะวันตกในรอบแปดทีม อันเป็นอีกหนึ่งแมตช์คลาสสิกของฟุตบอลโลก ขณะที่ใครดูรายการฟุตบอลทางโทรทัศน์บ่อยๆ ก็น่าจะคุ้นกับทำนองเพลงนี้เป็นอย่างดี
Three Lions 2010 - The Squad Three Lions เวอร์ชั่นของ Baddiel, Skinner & The Lightning Seeds ในยูโร ’96 เคยสร้างความขลังไว้ให้เพลงฟุตบอลมาแล้ว เพลงนี้ก็เหมือนเคย ยังกลับเอามาใช้หากินได้อยู่ร่ำไป เวอร์ชั่นล่าสุดทำใหม่เพื่อบอลโลกครั้งนี้มีการผสมผสานทั้งโอเปราจาก ACM Gospel Choir และ Robbie Williams และ...Russell Brand (กรี๊ดดดดด)
Live for Love United - Love United เล่นขนเอาซูเปอร์สตาร์มากมายทั้งซีดาน ฟิโก้ โรแบร์โต้ คาร์คอส คันนาวาโร อองรี ปิแรส โรนัลดิญโญ่ ฯลฯ อีกเกือบครึ่งร้อย เพลงทำคอนเซ็ปต์ได้ดีมากกับการให้ขบวนนักบอลหลากหลายเชื้อชาติและสโมสรเหล่านั้นมาร่วมร้องเพลงที่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แถมในเอ็มวี บางคนอย่างโรแบร์โต้ คาร์ลอสในลีลาร้องประกอบท่าทางแบบสมบทบาทเต็มที่ ขนาดว่าบอยแบนด์ตัวจริงยังอาย
Diamond Lights - Glenn Hoddle & Chris Waddle เกล็น ฮอดเดิ้ล กับคริส วอดเดิ้ล เมื่อว่างจากการเล่นให้ทอตแนม ฮอตสเปอร์เมื่อครั้งก่อนโน้นเลยหันมาร้องเพลงบ้าง เพลงออกมาฟังดูคล้าย b-side ของ Depeche Mode ที่เดฟ เกฮานหลอดลมอักเสบยังไงยังงั้น แต่อย่าว่าเขาไป ทั้งคู่เคยไปร้อง (ลิปซิง) ออกรายการ Top of the Pops มาแล้วนะ ลองคิดภาพให้มีคนเอาเพลงมาทำใหม่ก็น่าสน ว่าแต่จะเป็นใครดี? ไม่รู้เอมิล เฮสกี้กับปีเตอร์ เคร้าช์จะสนใจหรือปล่าว
England United – (How Does It Feel To Be) On Top Of The World England United ก็คือ Echo and the Bunnymen, Ocean Colour Scene, Space และวงของคุณนายเบคแคม เพลงประจำบอลโลก ’98 ที่ไม่ค่อยจะดังเท่าเพลงอื่นๆ อย่าง Vindaloo หรือ Three Lions 98 แต่ก็ถือว่าเป็นการรวมซูเปอร์กรุ๊ปแห่งเกาะอังกฤษซึ่งกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองของบริทพ็อพเอาไว้ ทั้งยังได้ตรึงภาพประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีอังกฤษในช่วงยุค ’90 ที่ดังระเบิดระเบ้อ แม้ผลงานในฟุตบอลโลกของพวกเขาครั้งนั้นจะไปไม่ถึงฝันอีกก็ตาม
Bafana Bafana - Cop On The Edge เพลงจากอัลบั้มพิเศษ Fast Forward: The World Cup Goes Indie ของ WC 2010 ป๊าบๆ น่ารักๆ อย่างพลพรรคบาฟานาคงได้ครื้นเครงกันแน่ๆ ถ้าได้เพลงนี้เป็นเพลงอย่างทางการจริงๆ
England's Heartbeat - Shuttleworth (feat. Mark E. Smith) อีกหนึ่งเพลงของบอลโลกปีนี้ที่ทำมาเพื่อเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงเพลงสำหรับทีมชาติอังกฤษ ตอนของ The Fall นั้น Mark E. Smith ก็เคยทำ Theme From Sparta F.C. เป็นเพลงฟุตบอลเจ๋งๆ มาแล้ว ครั้งนี้ฝีมือยังคงไม่ตก แม้ลีลาจะไม่พังค์จ๋าเท่าใดก็ตาม
We Share the Same Skies – The Cribs ความจริง มันไม่ใช่เพลงที่แต่งเพื่อฟุตบอลเลยสักนิด แต่หลังจากรายการ Match of the Day 2 เอาเพลงซิงเกิ้ลที่สองจาก Ignore The Ignorant ของ The Cribs ไปใช้เป็นเพลงธีมรายการ ฉันก็เริ่มติดเพลงนี้ไปพร้อมๆ กับภาพนักบอลทำประตูอยู่ในหัวจนสลัดไม่ค่อยออก ความเร้าใจของท่อนกีต้าร์ริฟฟ์อันสะดุดหู ที่เป็นกลิ่นลวดลายจากลายเซ็นต์จอห์นนี่ มาร์เองน่าจะเป็นเอกลักษณ์ของดนตรีอังกฤษได้เป็นอย่างดี
กลุ่มเอ แอฟริกาใต้ 1. Cop On The Edge – Bafana Bafana ไม่มีอะไรน่ารักกว่าการแต่งเพลงที่บอกว่า “จะชนะเพื่อชาร์ลิซ เธอรอน” แล้ว เม็กซิโก 2. Standard Fare – Vaya Vaya México! นี่ดีหนึ่งอย่างคือท่อน “โอเล่ๆ” อุรุกวัย 3. Showstar – Uruguay! ท่อนคอรัสฮึกเหิม แต่เพลงก็เบาๆ ไม่ได้โหดเช่นทีมเขา ฝรั่งเศส 4. The Very Most – Irlande เหมือน The Coral เวอร์ชั่นแอ๊บ twee
กลุ่มบี อาร์เจนตินา 5. The Dirty 9s – Ballad of El Diego ไม่ทราบว่าจะพยายามหอนโอเปร่าไปเพื่อเหตุอันใด ไนจีเรีย 6. Grand Pocket Orchestra – Nigeria ประหนึ่งว่าเพลงการ์ตูนดิสนีย์แบบแนวทดลอง เกาหลีใต้ 7. Pearse McGloughlin – Jongmyo Shrine เปียโนสวยๆ ไม่ถึงขั้นรื่นหู เกลี้ยงเกลา แต่พอฟังไปชิลๆ กรีซ 8. At Last An Atlas – The Pirate Ship อิเล็กโทรเสียงกุกกัก โป๊งเป๊ง ฟังแล้วก็รู้สึกยานๆ เหมือนการเล่นของกรีซดี
กลุ่มซี อังกฤษ 9. Detox Cute – St George’s Day ตัวเพลงพยายามอย่างยิ่งที่จะหวานละมุน แต่..หลับเท่านั้น! คงน่าขายหน้าถ้ามีเพลงประจำชาติแบบนี้ สหรัฐอเมริกา 10. Echo Orbiter – Game Without A Name เพลงประหลาดๆ ไม่รู้เสียงอะไรมั่ง แต่น่าฟังกว่าของชาติข้างบน แอลจีเรีย 11. Boca Chica – Wildlife of Algeria คันทรี่แบบฝรั่งเศส บรรยากาศสบายแบบพฤกษ์ไพร สโลวีเนีย 12. Lightholler – Slovenia’s Dream แค่ดนตรีบรรเลงสั้นๆ แต่งดงาม เคลิ้มๆ ดีมากกกกกกกกก
กลุ่มดี เยอรมนี 13. Betty and the Cavalero – Meet Me At The Red Light เพราะมาก การร้องคลอเสียงอคูสติคของเครื่องดนตรีน่ารักกรุ๊งกริ๊ง ประกอบไวโอลินเคล้าเข้ามา เสียงของนักร้องชายหญิงก็ใสกิ๊ง. ออสเตรเลีย 14. Sleep Good – Australia ร้องอะไรวนไปวนมาอยู่ได้ หลับตามชื่อเพลงไปเลย เซอร์เบีย 15. Hunter-Gatherer – Serbia ความพยายามจะทำ Kid A 2.0 โดยมนุษย์ต่างดาวที่ยังไม่มีพัฒนาการเต็มที่ กานา 16. The Invisible Clock Factory – We Are The Black Stars เพลงชาติแบบนอกกระแส (ประมาณว่าของคนชายขอบ?)
กลุ่มอี ฮอลแลนด์ 17. Burning Codes – Wooded Land โฮ่ โฮๆๆ มากไปจนน่าเบื่อ แถมเสียงยังไม่ค่อยดี เดนมาร์ก 18. Cleemann – Princes of Denmark อาจฟังดูแบบแดนิชร็อคทั่วไป แต่เพลงติดหูง่ายใช่เล่น ญี่ปุ่น 19. Goatboy – Japanese City Nights เพลงบรรเลง ฟังแล้วน่าหลับ แคมเมอรูน 20. Spirit Spine – Field Way (Song For Cameroon) ชูเกสแบบแอฟริกา!
กลุ่มเอฟ อิตาลี 21. Le Man Avec Les Lunettes – Don’t Get Fooled By The Football Players’ Summery Outfit แหม่! วงเขาเป็นอิตาลี แต่ชื่อวงเป็นฝรั่งเศส และร้องเพลงเป็นอังกฤษ เอากะมันสิ! แต่เพลงนี้มัน twee น่ารักคิกขุ เลี่ยนดีจริงๆ (หมายถึง “เลี่ยน” แบบจะอ้วกนะ ไม่ใช่เลี่ยนแบบอิตาเลียน) ปารากวัย 22. Harry Bird – Pesadilla No.7 โฟล์คแบบน้องๆ ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเคิลที่พยายามร้องเพลงลุงบ็อบ ดีแลน นิวซีแลนด์ 23. Adam & Darcie – Aotearoa ฟังสบายๆ ไพเราะเพราะพริ้งไม่หยอก แถมท่อนคอรัสงดงามดีมาก สโลวาเกีย 24. Escape Act – Slovakia เนื้อร้องขำๆ ทำนองเพลิดเพลินคึกคัก
กลุ่มจี บราซิล 25. Someone Still Loves You Boris Yeltsin – Back To You ยังไม่ได้รู้สึกกลิ่นดนตรีแซมบ้าดี เพลงก็รีบจบลงอย่างรวดเร็วซะงั้น เกาหลีเหนือ 26. Francis Bacon’s Ghost – Kim Jung II กีต้าร์ครืดคราดไปมารกรุงรัง แถมเสียงร้องยังห่วยแตก ไอวอรี่โคสต์ 27. Storkboy Choons – Côte d’Ivoire ช้างดำได้เพลงบรรเลงลอยๆ หลอนๆ ฟังดีจังนะ โปรตุเกส 28. Tap Tap – Dry Dry Land ดนตรีและสำเนียงโคตตตตตตรจะอังกฤษ
กลุ่มเอช สเปน 29. The Yellow Melodies – Vamos A Ganar El Mundial ฉันไม่เข้าใจสแปนิชหรอก แต่เพลงกิ๊วก๊าวเข้าท่าดี สวิตเซอร์แลนด์ 30. Candy Claws – Alp Sway Snow Team ดรีมพ็อพแบบที่ฟังแล้วนึกถึงบรรยากาศสวิสๆ ฮอนดูรัส 31. My Brother Woody – Carlos Dreams of World Cup Glory ลองไม่ขำกับความพิลึกของทั้งทำนองและเนื้อร้องได้หรือ ชิลี 32. Manwomanchild – Chile La Roja อาจเป็นไปได้ว่าชิลีเขาก็มีดนตรีการาจโจ๊ะจ๊ะแบบนี้ก็ได้
Metric – 'Eclipse (All Yours)' Muse – 'Neutron Star Collision (Love Is Forever)' The Bravery – 'Ours' Florence And The Machine – 'Heavy In Your Arms' Sia – 'My Love' Fanfarlo – 'Atlas' The Black Keys – 'Chop And Change' The Dead Weather – 'Rolling In On A Burning Tire' Beck And Bat For Lashes – 'Let’s Get Lost' Vampire Weekend – 'Jonathan Low' UNKLE (Featuring The Black Angels) – 'With You In My Head' Eastern Conference Champions – 'A Million Miles An Hour' Band Of Horses – 'Life On Earth' Cee-Lo Green – 'What Part Of Forever' Howard Shore – 'Jacob's Theme'
Q: คุณเคยเล่นกีต้าร์ฮีโร่เพลงตัวเองมั้ย แมตต์: ผมเล่นกีต้าร์ฮีโร่ได้โคตรห่วยเลย หัวผมตามมันไม่ทันอ่ะ ผมไม่เข้าใจไอ้พวกการทำงานกันของปุ่มและทุกอย่าง ดอมและคริสนี่เล่นเก่งมากๆ ฮะ ถึงงั้นผมก็พยายามเล่น Livin’ On A Prayer นะ และผมชอบ On The Road Again ของวิลลี่ เนลสันครับ
แต่คราวนี้ฉันจะมาทำหน้าที่มาอวยมันแทน เนื่องจาก Congratulations อัลบั้มที่สองของดูโอจากนิวยอร์คได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งความรู้สึกและจิตใจฉันให้ฉันไปเอาอารมณ์คลั่งเมื่อครั้งได้ฟัง OS ครั้งแรกกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังพลันจะหลงใหลได้ปลื้มจนเกือบจะละทิ้งความหมั่นไส้วงนี้ไปซะ
มันรู้สึกประหนึ่งว่า Andrew และ Ben เดินเข้ามาขย้ำคอฉัน และปาอัลบั้มนี้ใส่หน้า พร้อมตะคอกว่า “อยากจะหมั่นไส้ต่อไปมะ ฮึ?”
ภายใต้การโปรดิวซ์ของ Peter Kember (สมาชิกผู้ก่อตั้ง Spaceman 3) และวงเอง จงดีใจเถิดที่คนฟังจะได้เห็นพวกเขาในทางใหม่ขึ้นกว่าเดิมมาก แถมสิ่งที่จะเคยสร้างความหมั่นไส้ในความดังก็ถูกขจัดไป เมื่อวงบอกว่าจะไม่ปล่อยเพลงใดเป็นซิงเกิ้ลทั้งนั้น (ไม่รู้คณะกรรมการ Grammy Awards จะอกแตกตายหรือปล่าว เพราะนั่นอาจทำให้ MGMT ไม่มีเพลงที่โด่งดัง พ็อพๆ และเป็นที่รู้จักเท่า Kids จนไปเข้าหูพวกเขาและเสนอชื่อวงเข้าชิง Best New Artist หลังเวลาผ่านไปสองล้านห้าแสนปีแบบนั้นก็ได้)
แม้ Congratulations จะประกอบไปด้วยความแปลกประหลาดเมื่อได้ฟัง แต่สิ่งที่เร้าหูให้ติดหนึบ เพลงติดหูง่ายๆ ก็มีอยู่เช่นกัน เพียงแต่มันอาจไม่ใช่อัลบั้มที่จะถูกใจผู้รักใคร่เพลงแบบ Time To Pretend, Kids และหวังจะให้มีแบบนั้นอีก ใครที่หวังเช่นนั้น หูคุณจะกลับโดน Congratulations ข่มขืนด้วยเพลงที่น่าอุทานว่า “อะไรของมันฟะ!”
A Song for Dan Treacy คือเพลงกลิ่นเซิร์ฟ ร็อคแบบที่วงเคยบอกว่าจะปรากฏในอัลบั้ม ซึ่งนอกจากจะแปลกแล้ว ยังเป็น MGMT ในแนวใหม่ไฉไลกว่าเดิม น่ารักลัลลาและเหมาะกับซัมเมอร์ ขณะที่เพลงดำเนินไปก็ยังสอดแทรกเสียงซินธ์แหน่วๆ ดื๊อๆ ไปด้วย ได้ยินเสียงเคาะกรุ๊งกร๊งดังมาเบาๆ จากแบ็กกราวน์ ฟังเพลงนี้เริ่มต้นมาคล้าย The Drums แต่พอฟังจบแล้วนึกว่า Black Kids
Someone’s Missing ก่อร่างสร้างท่วงทำนองด้วยความเชื่องช้า เสียง Andrew ร้องแบบหอนๆ คลอไปกับเครื่องดนตรีน้อยชิ้น ก่อนที่ตอนใกล้จบจะประสานเสียงกระหึ่มขึ้นมา
I Found A Whistle บรรยากาศลอย มีเครื่องดนตรีเรียบเรียงกันไปแบบเสียงหวีดๆ ลึกลับ และรำลึกกลับไปหาซาวนด์แบบชุดแรกได้ เพลงยังมีกลิ่นซินธ์อบอวลอยู่ในความฟุ้งแห่งอคูสติคกีต้าร์
Brian Eno (เวลาเห็นโปรดอย่าสับสน นี่คือเพลงของ MGMT ที่ชื่อ Brian Eno ไม่ใช่เพลงของ Brian Eno ที่ชื่อ MGMT!) เรียกว่าถ้าไม่ฮาแตกก็แอบอมยิ้มเอาได้ในความน่ารักของเพลงทั้งเนื้อหา และจังหวะฮุคๆ ติดหูง่าย เด้งดึ๋ง ยักย้ายได้ไม่เลว หรือจะแหกปาก “บร้าย-อั่น อิ๊-โนๆๆๆ” ตามด้วยล่ะจะยิ่งได้อารมณ์
Lady Dada’s Nightmare เพลงบรรเลงที่ไม่ใช่แค่น่าขนลุกแต่ชื่อ ตัวเพลงก็อ้อยสร้อย และเสียงกรีดร้องครวญครางยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ เพลงน่าสนใจเมื่อเห็นชื่อ นึกว่าจะมีเนื้อร้องอะไร ผิดหวังเล็กน้อยที่ออกมาเป็นแบบนี้
รายชื่อเพลง อัลบั้มวางขาย 13 เมษายนที่อเมริกา (MGMT ไม่เคยมีแผ่นลิขสิทธิ์ไทย ซึ่งโซนี่ มิวสิค ไทยแลนด์เคยทำแผ่นวงเทือกนี้บ่อยซะที่ไหน) 1. It's Working 2. Song For Dan Treacy 3. Someone's Missing 4. Flash Delirium 5. I Found A Whistle 6. Siberian Breaks 7. Brian Eno 8. Lady Dada's Nightmare 9. Congratulations
เพลงแนะนำ: A Song for Dan Treacy สามารถเข้าไปฟังเพลงทั้งหมดได้ที่เว็บวง //www.whoismgmt.com/
Brian ผู้ซึ่งตัดผม (ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่) มีโชว์ร่องอกสุดเซ็กซี่ >_< Stefan ไม่ค่อยสาวแฮะ แต่หุ่นเนี่ย ดีจริงๆ โอวว ส่วน Steve Forrest ถึงจะไม่ค่อยชอบใจการเข้ามา แต่พี่แกตีมันส์ใช่เล่น และการถอดเสื้อเนี่ย แอบเห็นความเซ็กซี่เลยนะจ๊ะ ว่าแต่ เขาเป็นเพศใดฤา? >_<”
setlist 1. For What It's Worth เปิดตัวมันส์และอลังการ 2. Ashtray Heart มี เซนีเซโรๆๆๆ อย่างเจ๋ง! 3. Battle For The Sun โคตรไ่ม่ชอบเพลงนี้ แต่พอเล่นสดแล้วโยกลืมตาย กับมีอิมโพรไวซ์มันส์ๆ ดี 4. Every You Every Me มันเล่นเร็วจริงๆ ด้วยอ่ะ ตั้งตัวไม่ทัน มาไวไปไว แต่ตั้งใจมาฟังมากกก 5. Breathe Underwater นี่ก็มันส์ 6. The Never-Ending Why เออ Brian บอกว่ามันคือเพลงเกี่ยวกับชาวพุทธ งงเลย เพิ่งรู้ 7. Meds เวอร์ชั่นสั้นไปหน่อย และไม่เร้าใจเท่าไหร่ แต่ก็โอเค 8. Song To Say Goodbye เสียงอุบาทว์อ่ะ 9. Special K ชอบโคตร เป็นเพลงที่โดดทั้งเพลงอ่ะ ทำไปได้ไงวะ 10. The Bitter End จำไม่ได้และ 11. Bright Lights จริงๆ ชอบเพลงนี้ แต่เกลียดเวอร์ชั่นที่ร้อง bright lights and blackholes เพิ่มมานี่ 12. Trigger Happy ไม่คิดว่าจะเล่น 13. Infra-red เสียง Brian โดนกลบมาก ยิ่งตอนท่อนฮุค ไม่รู้เรื่อง 14. Taste In Men โชว์ขูดกีต้าร์และเบสระทมหูสุดๆ แต่พลังเสียงกระชากใจ กระทั่งวงและนักดนตรีแอ็คอัพออกมาขอบคุณและจากไป
เล่นเพลงใหม่เยอะมาก แอบอยากฟังเพลงเก่าหรืออันที่อยากมีโอกาสได้ฟัง อย่าง Where Is My Mind? หรือ Running Up That Hill ไรงั้น ไม่ก็ Speak In Tongues หรือ Soul Mates (Sleeping With Ghosts) หรือ Follow The Cops Back Home ก็ได้
วงเล่นเพลงใน DoD เยอะจริงๆ 24-25, Second To Numb, Renegade รวมถึงได้ “โอเค ไอ เก็ทททท อิทททฺ” ใน Mrs. Cold หรือ Boat Behind ที่ก่อนจะร้อง Erlend และ Eirik แบ่งแยกผู้ชมออกเป็นสองกลุ่ม ให้คนดูร้อง “โอ้ววววววว โอวๆๆๆ อ๊า อา” หนุกหนานกันเลยทีเดียวช่วงนี้ ส่วน Rule My World เพลงที่ดูเหมือนจะเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองไทยในตอนนี้ วงเลยมอบให้พวกเราซะเลย ใครถูก ใครผิดล่ะ? -*- Erlend ยังบอกว่าที่พวกเขามาไทยก็เพื่ออยากมาดูสถานการณ์ ณ ขณะนี้ด้วยตัวเอง ว่าเป็นไง หลังดูจาก CNN แล้วงงเหลือเกิน ไม่รู้ว่าพอมาเห็นจริงๆ แล้วจะคิดยังไง
เพลงเก่าๆ ก็มี I Don’t Know What I Can Save You From, Singing Softly To Me, The Girl of Back Then และยังเล่นเพลงที่วงไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้ว แต่เล่นตามคำเรียกร้องมาอย่าง Failure
Erlend น่าจะมีปัญหาเรื่องซาวน์ดหรืออะไรสักอย่าง เลยแอบมีโมโหแบบฮาๆ บอก “we’re doing this for you, okay?” อ๊ายยย แอบโหด เค้ากลัวววว นอกจากแอบโหดยังมีงอนด้วย และพ่อคุณมุขเยอะดีจริงๆ แฮะ แถมมีลีลาท่าเล่นกีต้าร์ตอนจบเพลงแบบกวนๆ ดูแล้วน่ารักและขำดี ไม่เนิร์ดมากอย่างที่คิดด้วย
เออ มีตอนนึงคนนี่แหละบอกว่าแบบนี้คงจะต้องกลับมาไทยอีก – ก็เอาให้มันแน่เหอะ ฮ่า ก็พูดแบบนี้กันทุกวง แต่พนันได้ว่าวงคงประทับใจแฟนๆ ที่นี่แบบคาดไม่ถึงมาก่อนแน่นอน เช่นเดียวกับที่บัตรมัน sold out อย่างนั้น
setlist My Ship Isn’t Pretty 24-25 Me In You นับจากนี้ไปไม่เรียงเพราะจำไม่ค่อยได้ I Don’t Know What I Can Save You From Mrs. Cold Singing Softly To Me Misread The Girl of Back Then Second To Numb Boat Behind Failure Renegade Rule My World Cayman Islands Peacetime Resistance I’d Rather Dance With You
encore: Homesick Know How
ลืมอะไรไหม?
มี เพลง encore น้อยกว่าที่หวังไว้ จริงๆ อยากฟัง Toxic Girl, Stay Out Of Trouble, Little Kids ที่ดันเก็งไว้นึกว่าจะเล่นด้วย แต่ดันไม่มีซะนี่ แต่ก็เอาเถอะ ขอบคุณวง ขอบคุณผู้จัดที่น่ารักมากกก :)
ภาพจากคุณ เต็งเช็งเหลียง กระดาษ OOOH ตอนเพลง Me In You นี่ทำไปคุ้มจริงๆ ได้จับแขนและจั๊กกะแร้ Eirik ด้วย!
ป.ล. ซื้อดีวีดี No Distance Left To Run มาดองไว้ประมาณชาตินึงได้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดู ไม่ทราบเป็นแมวน้ำอะไรของมัน! คงยังไม่อยากดูให้ช้ำใจว่าอิ Damon คงไม่กลับมาทำ Blur อีกแล้วจริงๆ
Two Door Cinema Club คือวงเดจาวู ชนิดที่ลองบอกว่าวงนี้ไม่ใช่วงหน้าใหม่ แต่โกหกว่าเป็นเพลงของวงนั้น วงนี้ คุณอาจจะหลงเชื่อเอาถ้าไม่ไตร่ตรองหรือได้ฟังไปแค่แบบผิวเผิน
อาการที่คุณอาจจะเป็นเมื่อได้ฟัง TDCC เช่น - กรี๊ดดดดดด Bloc Patry ซาวดน์แบบแรกที่คิดถึงหายมาอยู่นี่เอง - นี่มัน Foals ชัดๆ - อ๊ายยยยย Phoenix ออกชุดใหม่ไวจัง ไหนว่าหนีไปเลี้ยงลูก - อ้าวว Ben Gibbard มาทำ side project ที่ห้าสิบเก้าหรอกหรือ คราวนี้คึกคักและซินธ์กระจุยกระจายเชียว - Late of the Pier ไม่น่าเป็นอย่างนี้นี่นา - โอ้ ไม่นะ We Are Scientists กลับมาแล้ว - Bombay Bicycle Club เปลี่ยนมาอิเล็กโทรไวจัง - Franz Ferdinand มาลองทำแนวนี้ก็เจ๋งดีนิ - อ๊ะ เพลงนี้ The Futureheads ดีๆ นี่เอง ฯลฯ
ผลงานของ TDCC วงอิเล็กโทรซึ่งประกอบด้วยสามชีวิตที่ซุกหัวนอนอยู่ ณ แบงกอร์ ไอร์แลนด์เหนือ หลังจากปล่อย EP มาสองชุด คือ Four Words To Stand On และ I Can Talk กลายมาเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกชื่อว่า Tourist History อัลบั้มที่ควรเตรียมขาและร่างกายไว้ให้พร้อมก่อนฟัง และก่อนฟังจบก็ต้องเตรียมทำใจ เพราะมันจบไวเหลือเกิน ข้อสำคัญคืออัลบั้มมันช่าง พ็อพ พ็อพ และพ็อพ และติดหูได้ง่ายประหนึ่งว่าเอากาวตราช้างมาโปะหู แล้วราดคอนกรีตทับซ้ำแปดรอบ เคลือบด้วยคาราเมลและเกล็ดขนมปัง และเพลงในเวอร์ชั่นอัลบั้มนี้ ไม่เพียงแต่เสียงที่คุณภาพใสแจ๋วขึ้น แต่ซาวดน์ก็สะอาดสะอ้าน และมีการปรับเปลี่ยนการมิกซ์เสียงบางส่วนซึ่งฟังแล้วดูดีขึ้นด้วยกว่าที่เคยใน EP ด้วย
แค่เพลงแรก Cigarettes In The Theatre ก็คือประโยชน์สำหรับคนที่คิดถึงซาวน์ดแบบเดิมๆ ของ Bloc Party (เมื่อฟังเพลงนี้มันจะย้ำเตือนคุณว่า Silent Alarm เคยยอดเยี่ยมแค่ไหน) แต่คราวนี้ดูเหมือนจับเอา Foals มา feat. ด้วยยังไงยังงั้น แถมด้วยเสียงกีต้าร์จัดจ้านยังตามมาสบทบความมันส์ตอนท้ายอย่างสะใจ
Come Back Home ท่อนคอรัสกินขาด เหมือน The Rifles เวอร์ชั่นอิเล็กโทร
Do You Want It All ที่แม้จะเริ่มต้นมาแบบจังหวะช้าๆ อารมณ์นุ้งนิ้งนิดๆ แต่กระทั่งได้สัมผัสกับความเร้าใจของท่อนฮุค และส่วนช่วงครึ่งหลังของเพลงที่เอฟเฟ็กต์ฟุ้งกับการร้องแหกปากซ้ำๆ ไปจนจบ นั่นก็คือรสชาติสุดยอดของเพลงคุณภาพอีกหนึ่ง
This Is The Life ท่อนริฟ ท่อนฮุค วิเศษ และ Bombay Bicycle Club คงอยากมองค้อนเอานิดๆ
Something Good Can Work พ็อพมาก พ็อพมากก และพ็อพที่สุด ฟังเพลินๆ เหมาะกับอารมณ์ชายหาดและซัมเมอร์
I Can Talk ไม่ต้องสงสัย เราได้ Bloc Party กลับมาแล้วแน่ๆ ต่างก็แค่ Ben Gibbard มาร้องแทน ฟังแล้วอยากจะเต้น เต้น เต้น เต้น ระเบิดร่างกายให้ครึกครื้นกับเพลงคึกคัก
What You Know อารมณ์สุดจะสำเริงเริงรื่น เหมือนเพลงรำวงแบบฝรั่ง ผสมด้วยบีทครื้นเครง
Eat That Up, It’s Not Good For You พูดได้แค่ว่า “น่ารัก” ที่สุดในอัลบั้ม และอีกครั้งกับการเพิ่มความร้อนแรงของเครื่องดนตรีในตอนท้าย
You’re Not Stubborn แม้จะยังอารมณ์ค้างกับการโลดแล่นตีลังกาหน้ายิ้มแป้นอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ แต่เพลงก็ทำหน้าที่เป็นแทร็กปิดท้ายได้อย่างไม่เสียหายอะไร
Tourist History จะวางขายวันที่ 1 มีนาคมนี้ ที่สหราชอาณาจักร รายชื่อเพลง 1.Cigarettes In The Theatre 2. Come Back Home 3. Do You Want It All 4. This Is The Life 5. Something Good Can Work 6. I Can Talk 7. Undercover Martyn 8. What You Know 9. Eat That Up It's Good For You 10. You're Not Stubborn
อัลบั้มอื่นๆ ที่กำลังฟังและชอบ Vampire Weekend – Contra 9.5/10 Los Campesinos! – Romance Is Boring 8/10 Hot Chip – One Life Stand 7.5/10 The Soft Pack – The Soft Pack 8/10 Broken Bells – Broken Bells 8.2/10 Apparatjik – We Are Here 7/10 Surfer Blood – Astrocoast 7.5/10 The Magnetic Fields – Realism 6.2/10 Rogue Wave – Permalight 8/10 These New Puritans – Hidden 8.4/10 Delphic – Acolyte 7.9/10
ไม่ชอบ The Sunshine Underground – Nobody's Coming To Save You 5.5/10 Good Shoes – No Hope, No Future 4/10 Errors – Come Down With Me 5.6/10 OK Go - Of The Blue Colour Of The Sky 4/10
ยังไม่รู้ Yeasayer – Odd Blood Chew Lips – Unicorn Spoon – Transference Codeine Velvet Club – Codeine Velvet Club Ocean Colour Scene – Saturday Midlake - The Courage Of Others The Idyllists – The Idyllists Lightspeed Champion - Life Is Sweet! Nice To Meet You
ป.ล. เป็นเอนทรี้ที่อุบาทว์และผักชีมาก เพราะกำลังจะเข้าขุมนรกสอบปลายภาค แต่มาอัพฯ ตามแรงกดดันของคนบางคน-ฮ่าาาาาาาาาาาา (และจากนี้คงดองยาวววววว) ป.ล. 2 ฝาก Apparatjik อัลบั้มแรกด้วย We Are Here ออกมาแล้ว ป.ล. 3 เรื่อง British Sea Power มาไทยที่เคยบอกไป ฉันสอบถามไปอีกที ได้ความว่าเลื่อนกำหนดไปแล้ว ขอแก้ไขข้อมูลว่าวงจะมาเดือนพฤษภา เหตุผลก็คือวงหาเครื่องเปลี่ยนมาลงที่นี่ไม่ทัน ป.ล. 4 เดือนหน้า Kings of Convenience!!!
My Top 12 Albums of the Year & All My Faves of 2009
My Top 12 Albums of 2009
อันดับ 12 Julian Casablancas - Phrazes For The Young
เพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนฝูงและยืดเวลาทรมานแฟนๆ ที่รอคอยฟัง The Strokes ชุดใหม่ต่อไป Julian ผู้มีสุนัขและเจ๊ Oscar Wilde เข้ามาร่วมวงด้วยใน Phrazes For The Young จึงได้สร้างผลิตผลแห่งความครื้นเครงให้ฟลอร์เต้นรำมาอีกหนึ่งอัลบั้ม แม้ทั้งหมดทั้งปวงจะไม่ใช่งานแบบที่วงของเขาเคยทำมา แต่ก็ใช่ว่าจะห่างไกลเกินกว่าที่คนซึ่งคุ้นเคยกับสำเนียง Strokes หรือไลน์เบสและกีตาร์แบบนี้ (คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเสียงร้อง) จะไม่คุ้นหูเอาได้ สิ่งที่เจ๋งขึ้นคือการสร้างความเด้งดึ๋งโสตประสาทหูอย่างคึกคักของจังหวะซินธ์ สำเนียงอิเล็กโทร หรือดรัม แมชีนที่ทำหน้าที่แทนสองมือของ Fab แต่เชื่อเถอะว่าฟังเผินๆ ก็แยกความต่างไม่ค่อยออก อย่างน้อยเพลงแรก Out Of The Blue เราก็ได้พบกับ Last Nite ภาค 2 ที่หลุดเข้าไปในโลกแห่งซินธ์และซุกไซ้เข้ากับอุ่นไอดิสโก้ ขณะที่ใน 11th Dimension คือเพลงน่าทึ่งซึ่งคงกลิ่นอายยุค 80’s แต่โปะรวมอารมณ์แห่งยุคใหม่เอาไว้ได้อย่างลงตัว
อันดับ 10 Bombay Bicycle Club - I Had The Blues But I Shook Them Loose
ชุดแรกแต่เป็นความก้าวหน้าและก้าวล้ำของวงดนตรีที่น่าจะจับตามองจากลอนดอน Bombay Bicycle Club เป็นวงที่ไม่แปลกอะไรจากวงสำเนียงดาดๆ ที่มีอยู่ทั่วเกาะอังกฤษ แม้เอกลักษณ์ที่เสียงร้องก้องกังวานอย่างเมาๆ บางที ของ Jack Steadman ยังฟังแล้วละม้ายคล้ายคลึงกับเสียง Brian Molko แห่ง Placebo ไม่มีผิด และสำหรับอัลบั้มนี้ฟังเผินๆ ก็คงผ่านหูไปเลยและไม่ได้มีอะไรส่งผลกระชากใจในทันทีทันใด แต่หากลองให้ะโอกาสหลายๆ ครั้งแล้ว เพลงหลายเพลงมีสิทธิไปนั่งอยู่ในใจ ตั้งแต่ Lamplight จังหวะน่าโยกหัว ขาไปด้วย ขณะที่เสียงกีต้าร์ก็เท่ขึ้น โดยเฉพาะความครึกครื้นในท่อนฮุค และความมันส์ตัดสลับกับจังหวะหยุดกึกของเพลง ฟังจบแล้วจึงเหมือนอารมณ์ค้าง Always Like This ที่คุ้มค่ากับการเปิดซ้ำไปซ้ำมา Dust On The Ground ก็เช่นเดียวกัน ตัวเพลงเหมาะเหม็งกับเสียงร้องยวนๆ แบบนี้ ไม่เพียงแต่เพลงร็อคจังหวะสนุกสนาน เพลงหวานๆ อคูสติคใน I Had The Blues But I Shook Them Loose ก็รื่มรมย์ใจได้ไม่แพ้กัน
*****************************
อันดับ 9 Manic Street Preachers - Journal For Plague Lovers ได้เขียนไว้ในนี้
ไม่ต้องสงสัยว่าความสามารถในการสร้างท่อนคอรัสที่ระเบิดปะทุขึ้นมาอย่างฮึกเหิม “โด๊หมิโน่สฺ โด๊หมิโน่สฺ โด๊หมิโน่สฺ โด๊หมิโน่สฺ” ใน Dominos ได้เฉียบขาดและติดหูผู้คนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ The Big Pink แทบจะครอบครองพื้นที่ความเป็นสุดยอดวงอิเล็กโทรร็อคที่โดดเด่นประจำปี รวมถึงการเป็นน้องใหม่ยังส่งเสริมให้ตัวอัลบั้มได้รับการกล่าวขวัญถึง ผลบุญอันน่ามหัศจรรรย์นี้จะไม่สมบูรณ์แบบ หากว่าภาพรวมอัลบั้มทั้งหมดของพวกเขาทำออกมาได้ไม่ดี แต่ A Brief History Of Love ก็คืองานที่ควรค่ากับการกล่าวคำว่า “จับจิต” หรือ “น่าทึ่ง” ได้เหมือนกัน ชื่ออัลบั้มที่ดูเหมือนจะเกี่ยวพันกับความรัก แต่ภาพรวมก็เป็นความรักที่เพ้อรำพันไปในทางเศร้าโศก น่าอนาถ เจ็บใจ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า เปล่าเปลี่ยว อารมณ์เพลงแม้จะพอถูไถไว้เต้นแร้งเต้นกาตามสไตล์อิเล็กโทรบวกซินธ์ที่จัดจ้าน เมายากริ่มๆ และเคลิ้มกับกลิ่นไซคีเดลลิคได้ แต่ความหวานโศกของท่วงทำนองในบางเพลงก็เร้าความรู้สึกเงียบสงัด เพลงอย่าง Too Young To Love แสดงการฟาดฟันของซินธ์ได้ดิบสะเด่า Tonight เร้าใจด้วยการขยี้กันของเสียงเบสและท่อนร้องซ้ำไปมา กระทั่ง Velvet ก็กระชากอารมณ์ที่ไม่รู้จะเศร้าหรือจะมีความสุขในสไตล์ชูเกสได้แจ่มแจ๋ว
*****************************
อันดับ 6 Brakes – Touchdown
ถ้าไม่ใช่เพราะ Eamon Hamilton ดังแล้วแยกวง เราคงไม่ได้ฟังวงพันธมิตรใหม่ทางดนตรีของ British Sea Power และ Electric Soft Parade ที่น่ารักจากไบรท์ตันวงนี้ แม้อัลบั้มจะรวบรวมแนวเพลงที่หลากหลายเอาไว้ แต่ความกลมกลืนทำให้รู้สึกยากเกินกว่าที่จะข้ามแทร็กใดแทร็กหนึ่งไป เพราะแต่ละก้าวของอัลบั้มคือขั้นกว่าของเพลงที่สมดุลกันยิ่งขึ้นนั่นเอง ลองไล่ฟังตั้งแต่ Two Shocks ที่เปิดตัวความเป็น Brakes ดั้งเดิม และอาจเพราะวงเห็นความหลอนและผลลัพธ์จากการที่ Brandon Flowers ถูกเอเลี่ยนลักพาตัว Brakes ไม่อยากโดนบ้างเลยว่าอ้อนวอนเอาในเพลง Don’t Take Me To Space (Man) หนกขูกระตุ้นขี้หูกับ Red Rag ด้วยเสียงกระหึ่มแรงขึ้นของกลองกับกีต้าร์ ตามติดกันมาอย่างเพลงอื่นๆ อยู่ระดับฟังเพลินๆ แอบไว้ด้วยกลิ่นอายคันทรี่ในแนวพ็อพๆ ไปจนถึงแทร็กกระชากความมันส์ หรือเพลงที่จะทำให้คิดถึง Pixies (Crush On You) ขณะที่ Worry About It Later ก็ฟังติดหูได้แทบจะในทันทีด้วยท่วงทำนองน่ารัก กระทั่งแทร็กปิดท้าย Leaving England เสียง Eamon ในอารมณ์นุ่มนิ่มเสนาะหูกับเสียงเครื่องดนตรีเคาะจังหวะสัมพันธ์กันนุ้งนิ้ง ยัน hidden track อย่าง First Dance ก็ยังฟังแล้วเข้าที ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ Touchdown คือมันสั้นและจบเร็วเกินไปเท่านั้นเอง
*****************************
อันดับ 5 Idlewild - Post Electric Blues
ใครบอกว่า Idlewild เป็นวงดีที่โลกลืมฉันก็พร้อมจะสนับสนุนและยัดเอา Post Electric Blues ความพยายามครั้งที่หกของพวกเขามาเป็นอัลบั้มสุดโปรดประจำปีเป็นกำลังใจและความชมเชยให้กับวง ไม่สำคัญที่การช่างน้ำหนักอัลบั้มนี้ไปที่อารมณ์ก้ำกึ่งของความเป็นร็อคหรือโฟล์ค หรือการใส่ใจความสก็อตติชที่พยายามอเมริกันของพวกเขา เพราะถึงอย่างไรก็ตาม Post Electric Blues ยังมีเพลงเด่นๆ และมีเสน่ห์มากมายให้ลิ้มรส Younger Than America เก๋ไก๋ด้วยไวโอลิน โดดเด่นกับบรรยากาศคันทรี่ หรือ Readers & Writers ก็เป็นแทร็กน่าหลงใหลแทบจะในทันทีที่ได้ฟัง เพราะลีลาทรัมเป็ต เสียงน่ารักกรุ๊งกริ๊ง จังหวะจะโคนที่ยังร็อคได้ผนวกด้วยกีต้าร์ที่เร้าหู การสร้างความตรึงหูอีกครั้งด้วย City Hall ที่ท่อนคอรัสกินอกกินใจ แทร็กโฟล์คๆ เช่น (The Night Will) Bring You Back To Life แม้จะให้อารมณ์ประหนึ่ง Roddy Woomble แอบเอา side project มายัดใส่ แต่ก็กลมกลืนได้ไม่น้อยกับอัลบั้ม พวกเขายังมีจังหวะกีต้าร์ริฟหนักอยู่หลายจังหวะ ดังนั้นอย่ามองข้ามบรรยากาศเก่าๆ หรือคิดไปว่าอารมณ์ดิบๆ ที่วงเคยมีมาจะถูกละทิ้งไปทั้งหมด Idlewild ยังแทรกความกลมกล่อมแบบนั้นไว้ในอัลบั้มกลิ่นโฟล์คได้อย่างลงตัว
*****************************
อันดับ 4 The Twilight Sad - Forget The Night Ahead
อัลบั้มที่สองของ The Twilight Sad ยังคงสำรอกสำเนียงสก็อตติชเยี่ยงคนลิ้นไก่สั้นอย่างแน่นหนักและฟังไม่ออก ที่ต่างขึ้นมากคือการก้าวเข้าสู่อาณาจักรอันมืดหม่น และความเข้มข้นของเสียงกีต้าร์ซึ่งดูจะได้รับการเน้นในทุกเพลง กับ James Graham ที่ยังเอาเสียงร้องซึ่งทุ้ม ลากเลื้อยอย่างเยียบเย็นผ่านบทเพลงซึ่งในบางอารมณ์อาจรู้สึกสบายใจ แน่นิ่ง ไปจนถึงหดหู่ซึมเศร้า และพาลเกลียดชังโลก Forget the Night Ahead จึงให้ความรู้สึกเสมือนหนึ่งคุณถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว โดดเดี่ยวจนหวาดกลัว รอคอยให้ความมืดมิดแห่งค่ำคืนคลืบคลานเข้ามากัดกินจิตใจ พวกเขาขมขื่นหูคุณด้วยเพลงอมทุกข์อย่าง Scissors, Floorboards Under the Bed หรือ Reflections of the Television ท่อนฮุคอันทรงพลังในเพลงเสียดสีแรงๆ ของ I Became a Prostitute ซึ่งเหมือนกับว่าการร้อง “bleed you dry” ได้สาปคนฟังให้ลืมหายใจไปชั่วขณะ อัลบั้มยังเพิ่มรสชาติด้วยความเข้มข้นของเบสไลน์ใน Reflections of the Television เสียงเปียโนที่วิ่งเข้าหาความสลด มืดมนใน At the Burnside หรือ The Room สิ่งสำคัญคือในความเป็นวงชูเกสที่ดีของ The Twilight Sad พวกเขาได้สร้างสรรค์สไตล์อันมีเอกลักษณ์ของตัวเองในแบบที่วงอื่นยากจะทำได้
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เมื่อฉันได้ฟัง Two Dancers แล้วถูกอัลบั้มนี้เล้าโลมให้เคลิบเคลิ้มใหลหลง จนแทบอยากไปสู่ขออัลบั้มนี้มาเป็นคู่ตุนาหงันถ้าหากเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นความนิ่มนวล สละสวย งดงามหมดจด อิ่มเอิบ สุขุมหยาดย้อย เสียงร้องสูงเย็นยะเยือกกินใจซึ่งบางทีก็หลอน น่าขนลุกของ Hayden Thorpe ผู้มีเสียงเหมือนผีกะเทยฝรั่ง แต่เพลงที่เขาร้องดันสร้างความสุขด้วยกลิ่นดรีมพ็อพฟุ้งๆ บรรยากาศลอยๆ เย็นซ่านเข้าไปในจิตใจ และบำบัดอารมณ์ให้เทียบเท่ากับประทับอยู่ ณ สรวงสวรรค์อันบรรเจิด อัลบั้มมีการเปิดตัวอย่างงามสง่าด้วย The Fun Powder Plot ที่จังหวะสวยงามสราญอารมณ์ให้องค์ประกอบที่ขัดกันเล็กน้อยกับเพลงที่รำพึงรำพันเนื้อร้องอย่าง “disowned us daddies like the poopers of the party” หรือ “my boot up your arse hole!” ในเพลงยั่วยวนอย่าง Hooting & Howling นั้นก็สวยงามยิ่งกว่าฝัน จะเปิดฟังสักหมื่นรอบ และแหกปาก “ฮูทฺทิ้งงงงงๆ แอนด์ เฮาวววววลิ้งงงง” สักแสนรอบก็คงไม่เบื่อง่ายๆ หรือ All The King’s Men ก็เป็นแทร็กคุณภาพซึ่งต้องยกประโยชน์ให้ตั้งแต่จังหวะคึกอารมณ์ คอรัสโฮ โฮวว โฮ่ และเสียงร้องโหยหวนตรงแบ็กกราวน์ Two Dancers บรรจุเพลงเข้มๆ อารมณ์หนักแน่น และสลับฉากแบบหวานๆ ปล่อยห้วงคำนึงให้ละเมอฝัน ข้อสรุปที่ได้จากอัลบั้มนี้ก็คือ Wild Beasts นับเป็นผลิตผลอันสมบูรณ์แบบที่ลีดส์ควรพึงสงวนไว้ให้ยั่งยืนนาน
My Own Private Lists
My Most-listened Album of 2009: Muse – The Resistance
My Favourite Breakthrough Band: Dinosaur Pile-up
Best Comeback Album: Kasabian – West Ryder Pauper Lunatic Asylum
Album That Was a Lot Better Than Expected: Jason Lytle - Yours Truly, the Commuter
Most Disappointing Album: Editors - In This Light And On This Evening
My Brightest Hope: Dinosaur Pile-up
My Favourite Soundtrack: Karen O and the Kids - Where the Wild Things Are OST
Album That Just Isn’t My Thing: The Horrors – Primary Colours
My Favourite Compilation: Danger Mouse and Sparklehorse - Dark Night of the Soul
Best Album Artwork: Muse - The Resistance
My Top 10 EPs 1. Animal Collective - Fall Be Kind 2. Dinosaur Pile-up - The Most Powerful EP In the Universe!!! 3. Take to the Seas - It's Science EP 4. Free Energy - Free Energy 5. The Sunshine Underground - Everything, Right Now EP 6. Two Door Cinema Club - Four Words To Stand On 7. Modest Mouse - No One's First, and You're Next 8. Bon Iver - Blood Bank 9. The Drums - I Felt Stupid 10. Deerhunter - Rainwater Cassette Exchange
My Top 20 Tracks of the Year 1. The Twilight Sad – I Became a Prostitute 2. Animal Collective – What Would I Want? Sky 3. Wild Beasts - Hooting & Howling 4. Kasabian – Underdog 5. Phoenix – 1901 6. The Big Pink – Dominos 7. The Rifles- The Great Escape 8. The Veils – The House She Lived In 9. The Cribs – Victim of Mass Production 10. Arctic Monkeys – Cornerstone 11. Muse – Resistance 12. Brakes – Worry About It Later 13. White Lies – Unfinished Business 14. Bombay Bicycle Club – Always Like This 15. Idlewild – Readers & Writers 16. Take to the Seas – Take to the Seas 17. Manic Street Preachers - Jackie Collins Existential Question Time 18. Dinosaur Pile-up – Summer Hit Single 19. Julian Casablancas – Out Of The Blue 20. The Kissaway Trail – SDP
New Bands/Artists to Watch - Dinosaur Pile-up - Take to the Seas - Free Energy - Goldheart Assembly - Darwin Deez - The Drums - 4 Or 5 Magicians - Chapel Club - Delphic - Two Door Cinema Club
My Top 10 Favourite Films of 2009 1. A Prophet ถึงกับสละเวลาไปดูสองรอบเมื่อตอน BKK International Film Fest ปีก่อน ด้วยเหตุผลนึงก็คือ อยากดูฉากที่มีเพลง Gobbledigook ของ Sigur Ros!!! 2. Inglorious Basterds 3. Antichrist 4. Slumdog Millionaire 5. I Killed My Mother 6. 35 Shots of Rum 7. Pineapple Express 8. Synecdoche, New York 9. Star Trek 10. Le Donk & Scor-zay-zee